บทที่ 845 โครงสร้างเมืองตงไห่!
by หลิงหยุน
08:01,Mar 31,2021
ไม่รู้ว่าเป็นผลมาจากบนโลกอินเทอร์เน็ตหรือเปล่ามุมมองที่เสิ่นบี้จวินมีต่อฮัวเฉินยวีและบรรพบุรุษตระกูลฮัวได้เปลี่ยนไปอย่างเลวร้ายมาก
ด้วยเหตุนี้โจวหยางไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากเขาทราบที่มาที่ไปทั้งหมดของเรื่องนี้และรู้อีกด้วยว่าเรื่องในระหว่างนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในส่วนของความดีและความร้ายของเรื่องนี้นั้นในมุมมองของตัวเขาเองเขารู้สึกว่ามีเรื่องหลายอย่างเราไม่สามารถไปตัดสินผ่านความดีหรือความร้ายอย่างเดียว
บางทีอาจจะเป็นเพราะระดับขั้นของตัวเองอยู่สูงขึ้นมุมมองที่โจวหยางมีต่อโลกนี้ก็มีเพิ่มมากขึ้นเขารู้อยู่แกใจดีมากว่าในโลกนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องดีและเรื่องร้ายสองอย่างนี้เท่านั้น
บางทีฆาตกรคนนึงก็อาจจะช่วยชีวิตหมาข้างทางตัวนึงได้
อันที่จริงจิตใต้สำนึกของฆาตกรคนนั้นใจบุญมากแต่เนื่องจากเขาเป็นคนที่อารมณ์ร้อนง่ายไม่สามารถยอมรับความรู้สึกผิดเสียใจแม้แต่นิดเดียว
แค่คำพูดล้อเล่นที่ไม่ได้จริงจังของคนอื่นก็ถือว่าเป็นการจงใจกลั่นแกล้งเขาได้เช่นกันซึ่งเรื่องนี้มันไม่ได้หนักหนาอะไรเลยแต่เขาก็ได้ทำการฆ่าคนคนนั้นไปแล้ว
แต่ถ้าวันปกติธรรมดาทั่วไปไม่มีคนไปหาเรื่องเขาพฤติกรรมที่เขามีต่อคนอื่นก็จะเป็นมิตรมากเช่นกัน
คนแบบนี้นับว่าเป็นคนดีหรือคนร้าย?
บางทีอาจจะมีคนจำนวนมากที่คิดว่าเขาเป็นคนดีคนนึง
เพราะเขาเป็นคนประเภทที่ขอแค่คุณไม่ไปยั่วยุเขาเขาก็จะเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่งถ้าพูดตามแบบนี้แล้วล่ะก็ผู้คนที่ถูกเขาฆ่าทุกคนต่างสมควรได้รับกรรมที่ตัวเองกระทำ
แต่ในความเป็นจริงมันเป็นแบบนั้นจริงๆหรอ?
มองข้ามเรื่องความถูกผิดในตรรกะของคนคนนั้นก่อนแค่เพ่งเล็งไปบนตัวเขาคนที่อารมณ์ร้อนขนาดนั้นไม่มีทางที่ตัวเองจะไม่เคยกระทำผิดเลยแม้แต่นิด
ยกตัวอย่างเช่นการเข้าใจผิดคนที่อารมณ์ร้อนง่ายๆเหมือนเขาต้องไม่มีทางให้โอกาสคนอื่นได้อธิบายแน่นอน
เพราะฉะนั้นแล้วคนธรรมดาทั่วไปไม่ใช่เทพที่ไหนนะใครบ้างที่ไม่เคยทำความผิดบนโลกใบนี้ไม่มีคนที่ไม่เคยกระทำผิดเลยแม้แต่นิดแน่นอน
หลักการที่แท้จริงบนโลกมนุษย์ก็แค่ต้องการจุดที่เป็นสมดุลจุดเดียวเท่านั้นการเป็นมนุษย์อย่าไปยึดติดกับความผิดที่ตัวเองเคยกระทำไว้ในอดีตการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันถึงจะเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดมากที่สุด
หลังจากเหตุการณ์นั้นโจวหยางเคยไปเยี่ยมเยียนฮัวเฉินยวีพบว่าถึงแม้สถานการณ์ในตอนนี้ของเขาจะดูอนาถมากไม่ว่าจะเดินไปถึงที่ไหนก็มีแต่เสียงด่าทอกล่าวว่ามากไปกว่านั้นคือแค่เดินอยู่บนถนนก็มีคนโยนก้อนหินมาใส่เขาด้วยแต่ชีวิตประจำวันของเขากลับดูมีคุณค่ามากๆ
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าตัวเองมีชีวิตไปเพื่ออะไรไม่เหมือนกับในอดีตที่แสวงหาแต่ความสุขชั่วคราวไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าในอนาคตตัวเองจะทำอะไรต่อ
ฮัวเฉินยวีในเมื่อก่อนต้องเปลี่ยนผู้หญิงวันละคนๆแต่เขาไม่เคยตกหลุมรักใครจริๆงเลยแม้แต่คนเดียว
วันนี้หลังจากที่ออกมาจากห้องนอนของหญิงสาวคนนี้เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าก้าวต่อไปเขาควรจะไปที่ไหนดี
เขาที่อยู่ในสายตาคนอื่นอาจจะเป็นคนที่ชีวิตเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่างแต่สำหรับตัวเขาแล้วชีวิตแบบนั้นไม่ต่างอะไรจากศพที่เดินได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ดีที่เขาได้หลุดออกมาจากชีวิตแบบนั้นแล้ว
แต่แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่เรื่องในอนาคตความสนใจหลักๆของโจวหยางในตอนนี้ยังอยู่ที่ตระกูลสวี่เหมือนเดิม
จากการที่ปรึกษาหารือกับญญเขารู้แล้วว่าจริงๆตระกูลสวี่ได้ถือกำเนิดออกมายังโลกภายนอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สองเดือนก่อนที่โจวหยางจะมุ่งหน้าไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตระกูลสวี่ก็ได้ถือกำเนิดออกมายังโลกภายนอกตั้งแต่เดือนแรกแล้ว
พลังอำนาจเล็กๆใหญ่ๆทั่วทั้งเมืองตงไห่มีคนบางส่วนที่ยังไม่เคยได้ยินความแข็งแกร่งของตระกูลสวี่มาก่อนเลยแต่ก็สามารถสัมผัสได้เหมือนกันว่าเหมือนมีพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นกำลังครอบทั้งเมืองตงไห่อยู่
เป็นดั่งที่โจวหยางคาดการณ์เอาไว้เป้าหมายแรกหลังจากที่ตระกูลสวี่ออกมายังโลกภายนอกแล้วก็คือครอบครองกิจการธุรกิจของเมืองตงไห่
กิจการของตระกูลสวี่แทบจะมีอยู่ทุกสายอาชีพเลยเริ่มตั้งแต่ของกินเสื้อผ้าและของใช้ต่างๆในชีวิตประจำวันจนกระทั่งถึงธุรกิจใหญ่ๆต่างมีเงาของตระกูลซ่อนเร้นตระกูลสวี่ซุกซ่อนอยู่
พวกเขาได้เข้าซื้อกิจการร้านเสื้อผ้าในเมืองตงไห่เป็นจำนวนมากร้านอาหารรวมไปถึงร้านอะไหล่รถยนต์มากไปกว่านั้นยังมีโรงแรมอีกหลายแห่งด้วยเช่นกัน
เมื่อลองดูผ่านภายนอกแล้วเหมือนของพวกนี้จะไม่ได้โดดเด่นอะไรเลยสิ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจได้จริงๆนั่นก็คือองค์กรขนาดใหญ่ที่พวกเขาได้ซื้อทั้งสององค์กรแต่ว่าทรัพย์สินมูลค่าในตลาดมีมูลค่าแค่ประมาณสองพันกว่าล้านโครงสร้างต่างๆยังไม่ใหญ่โตเท่าบริษัทหมิงหยางเลย
แต่ทว่าโจวหยางกลับสามารถสัมผัสได้ถึงปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่ภายในอย่างเฉียบคมอุตสาหกรรมที่เล็กๆย่อยๆนั้นมีมากเกินไปแล้วซึ่งของพวกนี้เหมือนเป็นรากที่ตระกลูสวี่ได้ปักเป็นฐานในตงไห่ค่อยๆส่งมอบสารอาหารให้เหล่าวัตถุที่ยิ่งใหญ่อย่างลับๆ
ถ้าเกิดแค่เพียงเพ่งเล็งความสนใจไปยังอุตสาหกรรมที่ใหญ่โตทั้งสององค์กรนั้นงั้นพวกโจวหยางก็จะติดกับแล้วหละ
เพราะฉะนั้นถ้าเกิดอยากเอาชนะตระกูลสวี่ผ่านทางเศรษฐกิจก็ต้องไปกำจัดอุตสาหกรรมเล็กๆน้อยๆของพวกเขา!
แต่นี่เป็นจุดที่ทำได้ยากข้อนึง
สิ่งที่ตระกูลสวี่เข้าซื้อต่างมีรูปแบบโครงสร้างที่ไม่ใหญ่ต่างเป็นร้านที่ขายดีมาก
ซึ่งร้านต่างๆพวกนี้ต่างมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นของตัวเองมีความสามารถในการอยู่รอดสูง
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าถ้าเกิดโจวหยางอยากเปิดร้านที่มีรูปแบบคล้ายๆร้านพวกนั้นข้างๆร้านเหล่านั้นเพื่อไปดึงดูดความสนใจในธุรกิจของพวกเขาแบบนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ขอบเขตที่กว้างแบรนด์ที่มีความซับซ้อนความสามารถในการอยู่รอดแข็งแกร่งอยากจะโค้นให้มันล้มในกระบวนท่าเดียวแบบนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ทว่าโจวหยางได้เตรียมพร้อมมาตั้งแต่แรกแล้ว
เขาได้ทำการติดต่อไปยังท่าเรือชุ้นเทียนก่อนเป็นอันดับแรก
ให้ท่าเรืออย่าขายวัตถุดิบที่ส่วนใหม่ให้ร้านอาหารของตระกูลสวี่
ซึ่งการกระทำนี้มันส่งผลกระทบได้เป็นอย่างมาก
ต้องรู้ไว้ก่อนว่าตงไห่เป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับทะเลในเมืองแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารไหนที่โดดเด่นหรือมีเอกลักษณ์ในเมนูอาหารของร้านพวกนั้นต้องมีเมนูประเภทอาหารทะเลอยู่ด้วยแน่นอน
และวัตถุดิบทางทะเลที่ใหม่สดมากที่สุดก็ต่างมาจากท่าเรือเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
แน่นอนว่าคุณสามารถไปซื้อได้ที่ตลาดสดแต่วัตถุดิบในตลาดสดไม่มีทางสดใหม่กว่าวัตถุดิบที่ส่งตรงมาจากท่าเรือแน่นอนซึ่งมันก็คือหลักการเหตุผลแบบนี้นั่นเอง
หลังจากนั้นเขายังได้รับการสนับสนุนจากอาคารหอการค้าเทียนตี้ด้วยอย่างไรก็ตามไม่ว่าตระกูลสวี่จะเดินเกมได้สวยงามมากแค่ไหนแต่ฝั่งโจวหยางก็ไม่ได้เป็นแค่ลูกไก่ในกำมือตัวเดียว
เขาในตอนนี้มีหน้าที่พัฒนาบริษัทหมิงหยางไปด้วยและรอคอยข้อผิดพลาดในธุรกิจของตระกูลสวี่ไปด้วย
ดูเหมือนทุกอย่างจะดำเนินการไปได้ดีทั้งเมืองตงไห่อยู่ในความสงบแต่ความเป็นจริงแล้วกำลังมีพลังที่ชั่วร้ายขับเคลื่อนอยู่อย่างลับๆเศรษฐกิจของเมืองต้องสำคัญเป็นธรรมดาอยู่แล้วแต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็ยังคงเป็นความแข็งแกร่งในด้านพลังการต่อสู้ของตระกูลสวี่
ตระกูลสวี่ซ่อนเร้นอยู่ไม่ได้ถือกำเนิดออกมาในโลกภายนอกมานานนับร้อยปีแล้วพวกเขาไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะถึงซื้อกิจการที่เยอะขนาดนี้ได้?
ง่ายมากพวกเขาได้ส่งปรมาจารย์การต่อสู้จำนวนมากไปเข้ารักษาการอยู่ในตระกูลเก่าแก่ที่ร่ำรวยต่างๆซึ่งนี่ก็เท่ากับว่าพวกเขาได้คุมตระกูลเก่าแก่ที่ร่ำรวยเหล่านี้ไปด้วยอย่างลับๆ
เพราะฉะนั้นจะดูถูกผลกระทบของตระกูลสวี่ที่มีต่อเมืองตงไห่ในตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่โจวหยางจะกลับมาถึงตงไห่ปรมาจารย์การต่อสู้สองคนของตระกูลสวี่ได้ทำการบุกรุกเข้าไปจับแม่ของโจวหยางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งนี่จึงทำให้เห็นว่าทั้งเมืองตงไห่สายลับของตระกูลสวี่ได้พัฒนาถึงระดับขั้นที่น่าสยดสยองในระดับหนึ่งแล้ว
โจวหยางนั่งวิเคราะห์อยู่ในออฟฟิศอย่างเงียบๆทันใดนั้นเองประตูของออฟฟิศก็ถูกเปิดออกเสิ่นบี้จวินเดินเข้ามาในชุดเครื่องแบบการทำงาน
ในฐานะที่เป็นประธานกรรมการของบริษัทหมิงหยางการที่เสิ่นบี้จวินจะเข้าไปในออฟฟิศของโจวหยางนั้นไม่มีความจำเป็นต้องเคาะประตูเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
บนใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มจางๆทันทีที่เดินเข้ามาก็ได้เดินมานั่งบนโต๊ะทำงานของโจวหยางเลยพลางจ้องมองไปที่เขา
"เจ้านายของผมนี่คุณจะทำอะไรกันแน่ท่าทางนี้ของคุณสามารถล่อให้คนอื่นกระทำผิดได้ง่ายมากจริงๆนะครับ"โจวหยางกุมหน้าผากตัวเองพลางพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปลง
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของโจวหยางเสิ่นบี้จวินไม่เพียงจะไม่ได้เก็บอาการแต่กลับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์อีกด้วย"ฉันว่าหลายวันที่ผ่านมานี้คุณก็ลำบากมามากพอแล้วว่ายังไงจะให้ฉันมอบรางวัลให้คุณหน่อยไหม?"
ด้วยเหตุนี้โจวหยางไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากเขาทราบที่มาที่ไปทั้งหมดของเรื่องนี้และรู้อีกด้วยว่าเรื่องในระหว่างนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในส่วนของความดีและความร้ายของเรื่องนี้นั้นในมุมมองของตัวเขาเองเขารู้สึกว่ามีเรื่องหลายอย่างเราไม่สามารถไปตัดสินผ่านความดีหรือความร้ายอย่างเดียว
บางทีอาจจะเป็นเพราะระดับขั้นของตัวเองอยู่สูงขึ้นมุมมองที่โจวหยางมีต่อโลกนี้ก็มีเพิ่มมากขึ้นเขารู้อยู่แกใจดีมากว่าในโลกนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องดีและเรื่องร้ายสองอย่างนี้เท่านั้น
บางทีฆาตกรคนนึงก็อาจจะช่วยชีวิตหมาข้างทางตัวนึงได้
อันที่จริงจิตใต้สำนึกของฆาตกรคนนั้นใจบุญมากแต่เนื่องจากเขาเป็นคนที่อารมณ์ร้อนง่ายไม่สามารถยอมรับความรู้สึกผิดเสียใจแม้แต่นิดเดียว
แค่คำพูดล้อเล่นที่ไม่ได้จริงจังของคนอื่นก็ถือว่าเป็นการจงใจกลั่นแกล้งเขาได้เช่นกันซึ่งเรื่องนี้มันไม่ได้หนักหนาอะไรเลยแต่เขาก็ได้ทำการฆ่าคนคนนั้นไปแล้ว
แต่ถ้าวันปกติธรรมดาทั่วไปไม่มีคนไปหาเรื่องเขาพฤติกรรมที่เขามีต่อคนอื่นก็จะเป็นมิตรมากเช่นกัน
คนแบบนี้นับว่าเป็นคนดีหรือคนร้าย?
บางทีอาจจะมีคนจำนวนมากที่คิดว่าเขาเป็นคนดีคนนึง
เพราะเขาเป็นคนประเภทที่ขอแค่คุณไม่ไปยั่วยุเขาเขาก็จะเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่งถ้าพูดตามแบบนี้แล้วล่ะก็ผู้คนที่ถูกเขาฆ่าทุกคนต่างสมควรได้รับกรรมที่ตัวเองกระทำ
แต่ในความเป็นจริงมันเป็นแบบนั้นจริงๆหรอ?
มองข้ามเรื่องความถูกผิดในตรรกะของคนคนนั้นก่อนแค่เพ่งเล็งไปบนตัวเขาคนที่อารมณ์ร้อนขนาดนั้นไม่มีทางที่ตัวเองจะไม่เคยกระทำผิดเลยแม้แต่นิด
ยกตัวอย่างเช่นการเข้าใจผิดคนที่อารมณ์ร้อนง่ายๆเหมือนเขาต้องไม่มีทางให้โอกาสคนอื่นได้อธิบายแน่นอน
เพราะฉะนั้นแล้วคนธรรมดาทั่วไปไม่ใช่เทพที่ไหนนะใครบ้างที่ไม่เคยทำความผิดบนโลกใบนี้ไม่มีคนที่ไม่เคยกระทำผิดเลยแม้แต่นิดแน่นอน
หลักการที่แท้จริงบนโลกมนุษย์ก็แค่ต้องการจุดที่เป็นสมดุลจุดเดียวเท่านั้นการเป็นมนุษย์อย่าไปยึดติดกับความผิดที่ตัวเองเคยกระทำไว้ในอดีตการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันถึงจะเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดมากที่สุด
หลังจากเหตุการณ์นั้นโจวหยางเคยไปเยี่ยมเยียนฮัวเฉินยวีพบว่าถึงแม้สถานการณ์ในตอนนี้ของเขาจะดูอนาถมากไม่ว่าจะเดินไปถึงที่ไหนก็มีแต่เสียงด่าทอกล่าวว่ามากไปกว่านั้นคือแค่เดินอยู่บนถนนก็มีคนโยนก้อนหินมาใส่เขาด้วยแต่ชีวิตประจำวันของเขากลับดูมีคุณค่ามากๆ
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าตัวเองมีชีวิตไปเพื่ออะไรไม่เหมือนกับในอดีตที่แสวงหาแต่ความสุขชั่วคราวไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าในอนาคตตัวเองจะทำอะไรต่อ
ฮัวเฉินยวีในเมื่อก่อนต้องเปลี่ยนผู้หญิงวันละคนๆแต่เขาไม่เคยตกหลุมรักใครจริๆงเลยแม้แต่คนเดียว
วันนี้หลังจากที่ออกมาจากห้องนอนของหญิงสาวคนนี้เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าก้าวต่อไปเขาควรจะไปที่ไหนดี
เขาที่อยู่ในสายตาคนอื่นอาจจะเป็นคนที่ชีวิตเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่างแต่สำหรับตัวเขาแล้วชีวิตแบบนั้นไม่ต่างอะไรจากศพที่เดินได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ดีที่เขาได้หลุดออกมาจากชีวิตแบบนั้นแล้ว
แต่แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่เรื่องในอนาคตความสนใจหลักๆของโจวหยางในตอนนี้ยังอยู่ที่ตระกูลสวี่เหมือนเดิม
จากการที่ปรึกษาหารือกับญญเขารู้แล้วว่าจริงๆตระกูลสวี่ได้ถือกำเนิดออกมายังโลกภายนอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สองเดือนก่อนที่โจวหยางจะมุ่งหน้าไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตระกูลสวี่ก็ได้ถือกำเนิดออกมายังโลกภายนอกตั้งแต่เดือนแรกแล้ว
พลังอำนาจเล็กๆใหญ่ๆทั่วทั้งเมืองตงไห่มีคนบางส่วนที่ยังไม่เคยได้ยินความแข็งแกร่งของตระกูลสวี่มาก่อนเลยแต่ก็สามารถสัมผัสได้เหมือนกันว่าเหมือนมีพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นกำลังครอบทั้งเมืองตงไห่อยู่
เป็นดั่งที่โจวหยางคาดการณ์เอาไว้เป้าหมายแรกหลังจากที่ตระกูลสวี่ออกมายังโลกภายนอกแล้วก็คือครอบครองกิจการธุรกิจของเมืองตงไห่
กิจการของตระกูลสวี่แทบจะมีอยู่ทุกสายอาชีพเลยเริ่มตั้งแต่ของกินเสื้อผ้าและของใช้ต่างๆในชีวิตประจำวันจนกระทั่งถึงธุรกิจใหญ่ๆต่างมีเงาของตระกูลซ่อนเร้นตระกูลสวี่ซุกซ่อนอยู่
พวกเขาได้เข้าซื้อกิจการร้านเสื้อผ้าในเมืองตงไห่เป็นจำนวนมากร้านอาหารรวมไปถึงร้านอะไหล่รถยนต์มากไปกว่านั้นยังมีโรงแรมอีกหลายแห่งด้วยเช่นกัน
เมื่อลองดูผ่านภายนอกแล้วเหมือนของพวกนี้จะไม่ได้โดดเด่นอะไรเลยสิ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจได้จริงๆนั่นก็คือองค์กรขนาดใหญ่ที่พวกเขาได้ซื้อทั้งสององค์กรแต่ว่าทรัพย์สินมูลค่าในตลาดมีมูลค่าแค่ประมาณสองพันกว่าล้านโครงสร้างต่างๆยังไม่ใหญ่โตเท่าบริษัทหมิงหยางเลย
แต่ทว่าโจวหยางกลับสามารถสัมผัสได้ถึงปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่ภายในอย่างเฉียบคมอุตสาหกรรมที่เล็กๆย่อยๆนั้นมีมากเกินไปแล้วซึ่งของพวกนี้เหมือนเป็นรากที่ตระกลูสวี่ได้ปักเป็นฐานในตงไห่ค่อยๆส่งมอบสารอาหารให้เหล่าวัตถุที่ยิ่งใหญ่อย่างลับๆ
ถ้าเกิดแค่เพียงเพ่งเล็งความสนใจไปยังอุตสาหกรรมที่ใหญ่โตทั้งสององค์กรนั้นงั้นพวกโจวหยางก็จะติดกับแล้วหละ
เพราะฉะนั้นถ้าเกิดอยากเอาชนะตระกูลสวี่ผ่านทางเศรษฐกิจก็ต้องไปกำจัดอุตสาหกรรมเล็กๆน้อยๆของพวกเขา!
แต่นี่เป็นจุดที่ทำได้ยากข้อนึง
สิ่งที่ตระกูลสวี่เข้าซื้อต่างมีรูปแบบโครงสร้างที่ไม่ใหญ่ต่างเป็นร้านที่ขายดีมาก
ซึ่งร้านต่างๆพวกนี้ต่างมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นของตัวเองมีความสามารถในการอยู่รอดสูง
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าถ้าเกิดโจวหยางอยากเปิดร้านที่มีรูปแบบคล้ายๆร้านพวกนั้นข้างๆร้านเหล่านั้นเพื่อไปดึงดูดความสนใจในธุรกิจของพวกเขาแบบนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ขอบเขตที่กว้างแบรนด์ที่มีความซับซ้อนความสามารถในการอยู่รอดแข็งแกร่งอยากจะโค้นให้มันล้มในกระบวนท่าเดียวแบบนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ทว่าโจวหยางได้เตรียมพร้อมมาตั้งแต่แรกแล้ว
เขาได้ทำการติดต่อไปยังท่าเรือชุ้นเทียนก่อนเป็นอันดับแรก
ให้ท่าเรืออย่าขายวัตถุดิบที่ส่วนใหม่ให้ร้านอาหารของตระกูลสวี่
ซึ่งการกระทำนี้มันส่งผลกระทบได้เป็นอย่างมาก
ต้องรู้ไว้ก่อนว่าตงไห่เป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับทะเลในเมืองแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารไหนที่โดดเด่นหรือมีเอกลักษณ์ในเมนูอาหารของร้านพวกนั้นต้องมีเมนูประเภทอาหารทะเลอยู่ด้วยแน่นอน
และวัตถุดิบทางทะเลที่ใหม่สดมากที่สุดก็ต่างมาจากท่าเรือเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
แน่นอนว่าคุณสามารถไปซื้อได้ที่ตลาดสดแต่วัตถุดิบในตลาดสดไม่มีทางสดใหม่กว่าวัตถุดิบที่ส่งตรงมาจากท่าเรือแน่นอนซึ่งมันก็คือหลักการเหตุผลแบบนี้นั่นเอง
หลังจากนั้นเขายังได้รับการสนับสนุนจากอาคารหอการค้าเทียนตี้ด้วยอย่างไรก็ตามไม่ว่าตระกูลสวี่จะเดินเกมได้สวยงามมากแค่ไหนแต่ฝั่งโจวหยางก็ไม่ได้เป็นแค่ลูกไก่ในกำมือตัวเดียว
เขาในตอนนี้มีหน้าที่พัฒนาบริษัทหมิงหยางไปด้วยและรอคอยข้อผิดพลาดในธุรกิจของตระกูลสวี่ไปด้วย
ดูเหมือนทุกอย่างจะดำเนินการไปได้ดีทั้งเมืองตงไห่อยู่ในความสงบแต่ความเป็นจริงแล้วกำลังมีพลังที่ชั่วร้ายขับเคลื่อนอยู่อย่างลับๆเศรษฐกิจของเมืองต้องสำคัญเป็นธรรมดาอยู่แล้วแต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็ยังคงเป็นความแข็งแกร่งในด้านพลังการต่อสู้ของตระกูลสวี่
ตระกูลสวี่ซ่อนเร้นอยู่ไม่ได้ถือกำเนิดออกมาในโลกภายนอกมานานนับร้อยปีแล้วพวกเขาไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะถึงซื้อกิจการที่เยอะขนาดนี้ได้?
ง่ายมากพวกเขาได้ส่งปรมาจารย์การต่อสู้จำนวนมากไปเข้ารักษาการอยู่ในตระกูลเก่าแก่ที่ร่ำรวยต่างๆซึ่งนี่ก็เท่ากับว่าพวกเขาได้คุมตระกูลเก่าแก่ที่ร่ำรวยเหล่านี้ไปด้วยอย่างลับๆ
เพราะฉะนั้นจะดูถูกผลกระทบของตระกูลสวี่ที่มีต่อเมืองตงไห่ในตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่โจวหยางจะกลับมาถึงตงไห่ปรมาจารย์การต่อสู้สองคนของตระกูลสวี่ได้ทำการบุกรุกเข้าไปจับแม่ของโจวหยางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งนี่จึงทำให้เห็นว่าทั้งเมืองตงไห่สายลับของตระกูลสวี่ได้พัฒนาถึงระดับขั้นที่น่าสยดสยองในระดับหนึ่งแล้ว
โจวหยางนั่งวิเคราะห์อยู่ในออฟฟิศอย่างเงียบๆทันใดนั้นเองประตูของออฟฟิศก็ถูกเปิดออกเสิ่นบี้จวินเดินเข้ามาในชุดเครื่องแบบการทำงาน
ในฐานะที่เป็นประธานกรรมการของบริษัทหมิงหยางการที่เสิ่นบี้จวินจะเข้าไปในออฟฟิศของโจวหยางนั้นไม่มีความจำเป็นต้องเคาะประตูเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
บนใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มจางๆทันทีที่เดินเข้ามาก็ได้เดินมานั่งบนโต๊ะทำงานของโจวหยางเลยพลางจ้องมองไปที่เขา
"เจ้านายของผมนี่คุณจะทำอะไรกันแน่ท่าทางนี้ของคุณสามารถล่อให้คนอื่นกระทำผิดได้ง่ายมากจริงๆนะครับ"โจวหยางกุมหน้าผากตัวเองพลางพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปลง
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของโจวหยางเสิ่นบี้จวินไม่เพียงจะไม่ได้เก็บอาการแต่กลับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์อีกด้วย"ฉันว่าหลายวันที่ผ่านมานี้คุณก็ลำบากมามากพอแล้วว่ายังไงจะให้ฉันมอบรางวัลให้คุณหน่อยไหม?"
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved