ตอนที่ 5 หนึ่งล้าน
by หนอนหนังสือที่ถูกข้าศึกยึดไป
17:05,Oct 21,2020
วังซี่ห่าวนอนกองอยู่ที่ข้างบนฝากระโปรงรถ เขาเอามือกุมที่อกและไอไม่หยุด
ในขณะเดียวกันในใจก็ด่าทออู๋ไป๋ซุย เขาเป็นถึงวังซี่ห่าว ชายหนุ่มผู้รูปงามและร่ำรวย แต่กลับถูกคนบ้าต่อยเสียได้ เรื่องนี้เขาไม่สามารถรับได้ หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาจึงค่อยๆคลายความเจ็บลง จากนั้นก็ลุกขึ้นพูดด้วยความโมโหว่า “แกกล้าเตะฉัน ฉันจะฆ่าแก?”
แต่เมื่อเขาลุกขึ้นจึงพบว่าอู๋ไป๋ซุยนั้นจากไปโดยไม่เหลือแม้แต่เงา
เวลาบ่ายสองโมงครึ่ง หลี่ฉางเซิงและผู้นำอีกสองสามคนได้ทำการพบปะกัน หลังจากดื่มเหล้าเข้าไป ทำให้เกิดอาการมึนเล็กน้อย จึงสั่งคนขับรถขับไปส่งที่บ้าน
ที่เมืองซีหยวน หลี่ฉางเซิงพักอยู่ที่คฤหาสน์ หลังเดี่ยวสามชั้นหรูหรา สำหรับชาวบ้านธรรมดาในเมืองซีหยวนแล้วนี่เป็นที่ที่แม้แต่ฝันก็คงมากเกินไป แต่สำหรับเศรษฐีอันดับหนึ่งของมณฑลเจียงตงแล้วนั้น สถานที่แห่งนี้เป็นเพียงที่พักอาศัยชั่วครู่ชั่วคราว
เมื่อเข้ามาถึงด้านในคฤหาสน์ หลี่ฉางเซิงกำชับกับคนขับรถว่า “ผมขอตัวไปนอนก่อนนะ ตอนกลางคืนยังมีประชุมอีก รบกวนปลุกผมตอนห้าโมงด้วยนะครับ”
เมื่อพูดจบหลี่ฉางเซิงเปิดประตูคฤหาสน์แล้วเดินเข้าไป
เมื่อเดินเข้าไปถึงห้องรับแขกหลี่ชางครึ่ง ตกใจจนสะดุ้งเพราะบนโซฟาในห้องรับแขกนั้น ปรากฏบุคคลหนึ่งนั่งอยู่
“ ใคร? ”
หลี่ฉางเซิงสร่างเมาในทันที เขาพูดออกมาโดยอัตโนมัติ
คนที่อยู่บนโซฟานั้นค่อยๆหันกลับมาแล้วยิ้มให้กับหลี่ฉางเซิง
คนๆนี้ก็คืออู๋ไป๋ซุย1นั่นเอง
หลี่ฉางเซิงขยี้ตาตัวเองแล้วพูดอย่างไม่เชื่อว่า “คุณชายสามใช่ไหม?”
อู๋ไป๋ซุยเดินมาทางหลี่ฉางเซิงอย่างช้าๆ เขาเดินมาหยุดต่อหน้าหลี่ฉางเซิง แล้วเอ่ยปากถามว่า “ผมอยู่ที่เมืองซีหยวนมาถึงสามปี ทำไมคุณไม่เคยมาหาผมเลยนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้หลี่ฉางเซิงถึงกับขาอ่อน ขาทั้งสองข้างทรุดลงไปกองที่พื้น เขาคุกเข่าอยู่ต่อหน้าอู๋ไป๋ซุย
เขาพูดอย่างตะกุกตะกักด้วยความหวาดกลัวว่า “คุณชายสาม ผมคิดว่าคุณตายไปแล้ว อีกอย่างที่เมืองซีหยวนนั้นผมมาไม่ค่อยบ่อยนัก ผมไม่รู้จริงๆว่าคุณอยู่ที่นี่”
เศรษฐีอันดับหนึ่งของมณฑลเจียงตง บัดนี้คุกเข่าลงต่อหน้าอู๋ไป๋ซุย ภาพนี้หากถูกแพร่ออกไปไม่รู้ว่าจะทำให้ผู้คนตกใจกันมากเท่าไหร่
แต่สำหรับอู๋ไป๋ซุยนั้นเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เขาใช้สายตาอันแหลมคมมองไปที่หลี่ฉางเซิงแล้วพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจดี ในเมื่อผมสามารถใช้มือคู่นี้พยุงคุณขึ้นมาได้ ก็สามารถใช้เท้าข้างนี้เตะคุณให้ลงไปได้เช่นกัน”
หลี่ฉางเซิงท่าทางหวาดกลัวอย่างสุดขีดแล้วพูดว่า “ผมเข้าใจดีครับ สำหรับผมแล้วนั้นคุณชายสามเปรียบเสมือนเทพเจ้า ต่อให้ผมเพิ่มความกล้าหาญอีกสิบเท่า ก็ไม่อาจหักหลังท่านได้หรอก” คำพูดนี้หลี่ฉางเซิงพูดออกมาจากใจจริง เขายกย่องอู๋ไป๋ซุยที่สุดในชีวิต
เมื่อสิบปีก่อน หลี่ฉางเซิงยังเป็นเพียงแค่คนงานธรรมดาๆคนหนึ่ง แต่อู๋ไป๋ซุยเห็นในความสามารถของเขาจึงได้ฝึกฝนเขามา และมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เขาไปก่อตั้งบริษัท ทำให้เขามีโอกาสทำงานด้านอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในมณฑลเจียงตงนี้
กลุ่ม ChangShengสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ และกลายเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงในประเทศทั้งหมดนี้เป็นเพราะความช่วยเหลืออย่างลับๆของอู๋ไป๋ซุย
คุณชายสามบ้านตระกูลอู๋นั้นไม่มีใครเทียบได้ สำหรับความสำเร็จทางด้านการค้าขายของเขา เขาเปรียบเสมือนเทพเจ้าจริงๆ
หลี่ฉางเซิงนั้นปฏิบัติต่ออู๋ไป๋ซุยอย่างถวายชีวิต
อันที่จริงอู๋ไป๋ซุยนั้นก็ให้ความเชื่อถือหลี่ฉางเซิงอย่างมาก เนื่องด้วยเหตุนี้เขาจึงทำการฝึกฝนหลี่ฉางเซิงและทำให้เขาเป็นตัวแทนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์
เพียงแต่ว่า ตัวเขาเมื่อสามปีก่อนถูกคนลอบทำร้าย เรื่องนี้ทำให้อู๋ไป๋ซุยต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น แม้จะเป็นลูกน้องคนสนิทที่เขาฝึกฝนมากับมือ ก็จำเป็นจะต้องถูกทดสอบเช่นกัน
จากปฏิกิริยาการตอบสนองและคำพูดเมื่อสักครู่ อู๋ไป๋ซุยแน่ใจว่าคนๆนี้สามารถไว้ใจได้ดังนั้นเขาจึงพูดว่า”ลุกขึ้นเถอะ”
หลี่ฉางเซิงรีบลุกขึ้นมา ผู้ที่ประสบความสำเร็จและพบปะผู้คนมามากต่อมากเช่นเขา ในขณะนี้เหงื่อท่วมไปทั้งตัว ขาทั้งสองข้างถึงขนาดยืนไม่สุข ผ่านไปสักพักเขาจึงเอ่ยปากพูดด้วยความระมัดระวังว่า”คุณชายสามครับ เมื่อสามปีก่อนผมได้ยินว่าคุณชายเสียชีวิตอย่างกะทันหัน และส่งคนออกไปสืบหาความจริงปรากฏว่าเป็นดังที่ลือกันเรื่องนี้เป็นอย่างไร?”
อู๋ไป๋ซุยพูดว่า “เมื่อสามปีก่อนมีคนอ้างชื่อของแม่ผม วางยาพิษแก่ผม หลังจากที่ตื่นมาผมก็จำอะไรไม่ได้และได้มาอยู่ที่เมืองนี้ แล้ว เซี่ยกวงเหยาแห่งตระกูลเซี่ยได้รับผมมาดูแล และยังให้ผมแต่งงานกับหลานสาวของเขาอีกด้วย คุณช่วยผมหาข้อมูลของเซี่ยกวงเหยาให้หน่อยนะ”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบ้านตระกูลอู๋เมื่อสามปีก่อนนั้น อู๋ไป๋ซุยเองพอเดาได้คร่าวๆ แต่ว่าเขาถูกใครช่วยมาและเหตุใดจึงมาอยู่ที่เมืองซีหยวนนั้น เขาไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียว และจำเป็นจะต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม
เมื่อฟังคำพูดของอู๋ไป๋ซุยจบ ประกอบกับข้อมูลที่ตนเองเคยสืบหาเมื่อหลายปีก่อน หลี่ฉางเซิงก็รู้ว่าบ้านตระกูลอู๋ถูกคนภายในบ้านหักหลังอย่างแน่นอน แต่เขาไม่ได้ถามให้มากความตอบกลับไปว่า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหาครับ คุณชายสาม ตอนนี้ท่านต้องการรับหน้าที่ดูแลกลุ่ม ChangShengด้วยตนเองไหม?”
หลี่ฉางเซิงเข้าใจดีว่า ตนเองนั้นเป็นเพียงอาวุธลับที่อู๋ไป๋ซุยฝึกฝนไว้ใช้ในยามจำเป็น หากอู๋ไป๋ซุยต้องการใช้เขา เขาก็จะถวายชีวิตให้
หลี่ฉางเซิงโบกมือแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ตอนนี้ยังไม่จำเป็น”
หลี่ฉางเซิงพยักหน้าและพูดว่า “ครับ”
เวลาห้าโมง อู๋ไป๋ซุยกลับมาถึงบ้าน
เมื่อเดินเข้ามาในบ้านหวางกุ้ยหลานก็เดินถือไม้แขวนเสื้อมาทางเขา และตีเขาอย่างไม่หยุด นางทั้งตีและด่าทอ “ใครใช้ให้แกไปทำร้ายคน? ใครให้แกไปทำร้ายคน??”
หวางกุ้ยหลานฟาดตรงไปอย่างสุดแรง แต่ว่าสำหรับอู๋ไป๋ซุยนั้นเป็นเหมือนมดกัด เขาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว
เมื่อเซี่ยม่อฮั่นเห็นเหตุการณ์ก็รีบเข้ามาห้ามหวางกุ้ยหลานเอาไว้
หวางกุ้ยหลานพูดอย่างไม่พอใจว่า “ลูกไม่ต้องมาห้าม วันนี้แม่จะต้องตีไอ้บ้านี้ให้ตาย?”
เซี่ยม่อฮั่นพูดอธิบายว่า “แม่ก็บอกเองว่าเขาเป็นคนบ้า แม่ตีเขาไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เดี๋ยวหนูจะพูดกับเขาเอง”
หวางกุ้ยหลานพูดว่า “ลูกต้องหย่ากับมัน” เมื่อพูดจบเธอก็เดินเข้าไปในห้องครัว
เซี่ยม่อฮั่นมองไปทางอู๋ไป๋ซุยอย่างผิดหวัง “ทำไมคุณต้องทำร้ายวังซี่ห่าว”
อู๋ไป๋ซุยพูดอย่างเรียบง่ายว่า “เขาขวางทางผม”
เซี่ยม่อฮั่นฝืนยิ้มและถามกลับว่า “ก็เพียงแค่เขาขวางทาง ทำไมต้องทำร้ายเขา”
อู๋ไป๋ซุยพูดอย่างตรงๆว่า “ผมไม่ได้ออกแรง” เขาเพียงแค่ไม่ชอบขี้หน้าวังซี่ห่าวเท่านั้น จึงอดไม่ได้ที่จะสั่งสอนเขาบ้าง แต่ขาเขาไม่ได้ลงแรง ไม่อย่างนั้นวังซี่ห่าวคงกลายเป็นศพไปแล้ว
เซี่ยม่อฮั่นโมโห “คุณใช้หรือไม่ใช้แรงคนรู้อยู่แก่ใจ คุณแยกแยะอะไรออกไหม” เมื่อพูดจบเซี่ยม่อฮั่น ยังไม่หายโมโหเธอจึงพูดต่อว่า”คุณทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ ก่อนหน้านี้คุณเป็นบ้า แต่ไม่เคยทำร้ายคน แต่ในตอนนี้คุณไม่เพียงจะถกเถียงกับคนอื่นและยังลงมือทำร้ายคนด้วย ตอนนี้ตัวฉันเองก็เริ่มกลัวและกังวลว่าคุณจะเป็นบ้าขึ้นมาอีกและแม้แต่ฉันคุณก็ตี”
อู๋ไป๋ซุยพูดอย่างชัดเจนทีละคำว่า “ผมจะไม่มีวันทำร้ายคุณเด็ดขาด ไม่มีวันทั้งชีวิต” แม้จะเป็นคำพูดธรรมดาๆ แต่ทำให้เซี่ยม่อฮั่นอบอุ่นหัวใจขึ้นมา
เซี่ยม่อฮั่นจากเดิมที่โกรธจัดอยู่ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะหย่ากับอู๋ไป๋ซุยและออกห่างจากคนบ้าน่ากลัวคนนี้เสียที แต่ในทันทีที่อู๋ไป๋ซุยพูดคำนี้ออกมา ทำให้เซี่ยม่อฮั่นไม่กล้าทำเช่นนั้น
เธอนิ่งไปชั่วครู่ เซี่ยม่อฮั่นจึงได้เอ่ยพูดอีกครั้งหนึ่งว่า “ต่อไปนี้ทำตัวดีๆหน่อย อย่าหาเรื่องอีกแล้วกัน” เมื่อพูดจบเธอก็เดินกลับไปในห้องนอน
เช้าวันต่อมาเวลากลางวัน
หวางกุ้ยหลานทำกับข้าวเสร็จ อู๋ไป๋ซุยออกมากินข้าวตรงเวลา แต่วันนี้หวางกุ้ยหลานจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอเองไม่ได้เอ่ยปากด่าอู๋ไป๋ซุยแม้แต่คำเดียว
อีกไม่นานต่อมาเซี่ยม่อฮั่นกลับมาจากบริษัท เมื่อถึงบ้านเธอก็ตรงมายังหวางกุ้ยหลานและพูดว่า “แม่คะ แม่เอาบ้านไปจำนำและเอาเงินไปเล่นพนันจริงหรอ?”
หวางกุ้ยหลานไม่กล้าเอ่ยอย่างเต็มปากเต็มคำถามว่า ลูกรู้แล้วเหรอ?”
เซี่ยม่อฮั่นโมโหมากเธอพูดว่า “เจ้าหนี้ไปหาหนูถึงที่ทำงาน หนูจะไม่รู้ได้ยังไง?”
หวางกุ้ยหลานถอนหายใจแล้วพูดว่า “ลูกก็รู้ดีว่าแม่ชอบเล่น ตรงนี้แม่แก้ไขไม่ได้จริงๆ” หวางกุ้ยหลานไม่ได้ทำงานมาตั้งนานแล้ว ตามปกติชีวิตเธอก็ได้แต่ไปเล่นไพ่บ้าง
เซี่ยม่อฮั่นไม่รู้จะพูดอย่างไร “เมื่อก่อนแม่เล่นไพ่ก็ไม่ได้เล่นเยอะขนาดนี้นี่ ทำไมครั้งนี้ถึงแม้กระทั่งเอาบ้านไปจำนำได้?”
หวางกุ้ยหลานอธิบายว่า “เมื่อวานนี้ลูกเขยให้นาฬิกาแบรนด์เนมนั่นมาจำได้ไหม เมื่อคืนตอนที่แม่ไปเล่นไพ่ก็ใส่มันไปด้วย หวังว่าแค่ไปอวดพวกเขา แต่พวกเพื่อนๆคิดว่าแม่มีตังค์ ก็เลยให้แม่เล่นค่อนข้างมาก แม่เองก็เห็นแก่หน้าเลยไม่สามารถระงับอารมณ์ตัวเองได้ ก็เลยไปตามน้ำ แต่คิดไม่ถึงว่าจะแพ้มาตลอดหลายตา จนกระทั่งเอาบ้านไปจำนำ แม่คิดว่าแม่จะสามารถชนะกลับมาได้ใครจะรู้ล่ะว่าจะแพ้หมดเนื้อหมดตัวแบบนี้” เมื่อพูดจบหวางกุ้ยหลานก็มีท่าทางรู้สึกผิดหวัง
เธอมีสามีเป็นบ้าแล้วยังต้องมาเจอเรื่องราวแบบนี้กับแม่ของตัวเองอีกเหรอ เซี่ยม่อฮั่นทำตัวไม่ถูกจริงๆ ดวงตาเธอแดงขึ้นในตอนนี้และตะโกนไปที่หวางกุ้ยหลานว่า “แม่ไม่รู้เหรอคะว่าที่บ้านเราสถานการณ์เป็นยังไง ทำไมแม่ทำอย่างนี้อยู่อีก คนในบ่อนบอกหนูแล้วว่าถ้าวันนี้เราไม่สามารถเอาเงินหนึ่งล้านออกมาได้ ก็จะไล่เราออกจากบ้าน พวกเราจะต้องไปนอนข้างถนนหรอคะ?”
หวางกุ้ยหลานพูดว่า “เอาเถอะน่า ตอนนี้มัวแต่โทษกันก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราต้องคืนเงินให้เขา ลูกลองไปหาวังซี่ห่าวเขาดูสิ เขามีตังค์ เงินแค่นี้สำหรับเขาเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเองเท่านั้น”
เซี่ยม่อฮั่นโมโหกว่าเดิมเธอตอบกลับไปว่า “แม่คิดจะทำอะไรอยู่ พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกัน หนูจะไปยืมเงินกับเขามากขนาดนั้นได้ยังไง?”
หวางกุ้ยหลานพูดอย่างไม่สนใจว่า “ไม่เห็นจะเป็นไร ยังไงซะลูกก็ต้องแต่งงานกับวังซี่ห่าวอยู่วันยังค่ำ เงินแค่นี้ก็ถือว่าเป็นค่าสินสอดแล้วกัน”
เซี่ยม่อฮั่นยังไม่ทันจะพูดอะไรออกไป ทันใดนั้น บุคคลที่ถูกปฏิบัติเหมือนอากาศอย่างอู๋ไป๋ซุยก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดอย่างตั้งใจว่า “อย่าไปหาเขาเลย ผมมีเงิน”
เซี่ยม่อฮั่นจากเดิมก็โมโหเรื่องของแม่อยู่แล้ว อู๋ไป๋ซุยพูดออกมาอย่างนี้ก็เหมือนกับเติมน้ำมันให้ไฟลุก จึงทำให้เธอระเบิดและตะโกนใส่อู๋ไป๋ซุยว่า “เงินอะไรของคุณ แม่ฉันติดเงินไม่ใช่บาทสองบาทนะ เงินหนึ่งล้านคุณฟังให้ดี หนึ่งล้านไม่ใช่หนึ่งน้อย คุณมีเงินมากขนาดนั้นเหรอ?”
“ได้”
เมื่อเขาพูดจบก็เดินหันหลังจากไป
ในขณะเดียวกันในใจก็ด่าทออู๋ไป๋ซุย เขาเป็นถึงวังซี่ห่าว ชายหนุ่มผู้รูปงามและร่ำรวย แต่กลับถูกคนบ้าต่อยเสียได้ เรื่องนี้เขาไม่สามารถรับได้ หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาจึงค่อยๆคลายความเจ็บลง จากนั้นก็ลุกขึ้นพูดด้วยความโมโหว่า “แกกล้าเตะฉัน ฉันจะฆ่าแก?”
แต่เมื่อเขาลุกขึ้นจึงพบว่าอู๋ไป๋ซุยนั้นจากไปโดยไม่เหลือแม้แต่เงา
เวลาบ่ายสองโมงครึ่ง หลี่ฉางเซิงและผู้นำอีกสองสามคนได้ทำการพบปะกัน หลังจากดื่มเหล้าเข้าไป ทำให้เกิดอาการมึนเล็กน้อย จึงสั่งคนขับรถขับไปส่งที่บ้าน
ที่เมืองซีหยวน หลี่ฉางเซิงพักอยู่ที่คฤหาสน์ หลังเดี่ยวสามชั้นหรูหรา สำหรับชาวบ้านธรรมดาในเมืองซีหยวนแล้วนี่เป็นที่ที่แม้แต่ฝันก็คงมากเกินไป แต่สำหรับเศรษฐีอันดับหนึ่งของมณฑลเจียงตงแล้วนั้น สถานที่แห่งนี้เป็นเพียงที่พักอาศัยชั่วครู่ชั่วคราว
เมื่อเข้ามาถึงด้านในคฤหาสน์ หลี่ฉางเซิงกำชับกับคนขับรถว่า “ผมขอตัวไปนอนก่อนนะ ตอนกลางคืนยังมีประชุมอีก รบกวนปลุกผมตอนห้าโมงด้วยนะครับ”
เมื่อพูดจบหลี่ฉางเซิงเปิดประตูคฤหาสน์แล้วเดินเข้าไป
เมื่อเดินเข้าไปถึงห้องรับแขกหลี่ชางครึ่ง ตกใจจนสะดุ้งเพราะบนโซฟาในห้องรับแขกนั้น ปรากฏบุคคลหนึ่งนั่งอยู่
“ ใคร? ”
หลี่ฉางเซิงสร่างเมาในทันที เขาพูดออกมาโดยอัตโนมัติ
คนที่อยู่บนโซฟานั้นค่อยๆหันกลับมาแล้วยิ้มให้กับหลี่ฉางเซิง
คนๆนี้ก็คืออู๋ไป๋ซุย1นั่นเอง
หลี่ฉางเซิงขยี้ตาตัวเองแล้วพูดอย่างไม่เชื่อว่า “คุณชายสามใช่ไหม?”
อู๋ไป๋ซุยเดินมาทางหลี่ฉางเซิงอย่างช้าๆ เขาเดินมาหยุดต่อหน้าหลี่ฉางเซิง แล้วเอ่ยปากถามว่า “ผมอยู่ที่เมืองซีหยวนมาถึงสามปี ทำไมคุณไม่เคยมาหาผมเลยนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้หลี่ฉางเซิงถึงกับขาอ่อน ขาทั้งสองข้างทรุดลงไปกองที่พื้น เขาคุกเข่าอยู่ต่อหน้าอู๋ไป๋ซุย
เขาพูดอย่างตะกุกตะกักด้วยความหวาดกลัวว่า “คุณชายสาม ผมคิดว่าคุณตายไปแล้ว อีกอย่างที่เมืองซีหยวนนั้นผมมาไม่ค่อยบ่อยนัก ผมไม่รู้จริงๆว่าคุณอยู่ที่นี่”
เศรษฐีอันดับหนึ่งของมณฑลเจียงตง บัดนี้คุกเข่าลงต่อหน้าอู๋ไป๋ซุย ภาพนี้หากถูกแพร่ออกไปไม่รู้ว่าจะทำให้ผู้คนตกใจกันมากเท่าไหร่
แต่สำหรับอู๋ไป๋ซุยนั้นเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เขาใช้สายตาอันแหลมคมมองไปที่หลี่ฉางเซิงแล้วพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจดี ในเมื่อผมสามารถใช้มือคู่นี้พยุงคุณขึ้นมาได้ ก็สามารถใช้เท้าข้างนี้เตะคุณให้ลงไปได้เช่นกัน”
หลี่ฉางเซิงท่าทางหวาดกลัวอย่างสุดขีดแล้วพูดว่า “ผมเข้าใจดีครับ สำหรับผมแล้วนั้นคุณชายสามเปรียบเสมือนเทพเจ้า ต่อให้ผมเพิ่มความกล้าหาญอีกสิบเท่า ก็ไม่อาจหักหลังท่านได้หรอก” คำพูดนี้หลี่ฉางเซิงพูดออกมาจากใจจริง เขายกย่องอู๋ไป๋ซุยที่สุดในชีวิต
เมื่อสิบปีก่อน หลี่ฉางเซิงยังเป็นเพียงแค่คนงานธรรมดาๆคนหนึ่ง แต่อู๋ไป๋ซุยเห็นในความสามารถของเขาจึงได้ฝึกฝนเขามา และมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เขาไปก่อตั้งบริษัท ทำให้เขามีโอกาสทำงานด้านอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในมณฑลเจียงตงนี้
กลุ่ม ChangShengสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ และกลายเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงในประเทศทั้งหมดนี้เป็นเพราะความช่วยเหลืออย่างลับๆของอู๋ไป๋ซุย
คุณชายสามบ้านตระกูลอู๋นั้นไม่มีใครเทียบได้ สำหรับความสำเร็จทางด้านการค้าขายของเขา เขาเปรียบเสมือนเทพเจ้าจริงๆ
หลี่ฉางเซิงนั้นปฏิบัติต่ออู๋ไป๋ซุยอย่างถวายชีวิต
อันที่จริงอู๋ไป๋ซุยนั้นก็ให้ความเชื่อถือหลี่ฉางเซิงอย่างมาก เนื่องด้วยเหตุนี้เขาจึงทำการฝึกฝนหลี่ฉางเซิงและทำให้เขาเป็นตัวแทนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์
เพียงแต่ว่า ตัวเขาเมื่อสามปีก่อนถูกคนลอบทำร้าย เรื่องนี้ทำให้อู๋ไป๋ซุยต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น แม้จะเป็นลูกน้องคนสนิทที่เขาฝึกฝนมากับมือ ก็จำเป็นจะต้องถูกทดสอบเช่นกัน
จากปฏิกิริยาการตอบสนองและคำพูดเมื่อสักครู่ อู๋ไป๋ซุยแน่ใจว่าคนๆนี้สามารถไว้ใจได้ดังนั้นเขาจึงพูดว่า”ลุกขึ้นเถอะ”
หลี่ฉางเซิงรีบลุกขึ้นมา ผู้ที่ประสบความสำเร็จและพบปะผู้คนมามากต่อมากเช่นเขา ในขณะนี้เหงื่อท่วมไปทั้งตัว ขาทั้งสองข้างถึงขนาดยืนไม่สุข ผ่านไปสักพักเขาจึงเอ่ยปากพูดด้วยความระมัดระวังว่า”คุณชายสามครับ เมื่อสามปีก่อนผมได้ยินว่าคุณชายเสียชีวิตอย่างกะทันหัน และส่งคนออกไปสืบหาความจริงปรากฏว่าเป็นดังที่ลือกันเรื่องนี้เป็นอย่างไร?”
อู๋ไป๋ซุยพูดว่า “เมื่อสามปีก่อนมีคนอ้างชื่อของแม่ผม วางยาพิษแก่ผม หลังจากที่ตื่นมาผมก็จำอะไรไม่ได้และได้มาอยู่ที่เมืองนี้ แล้ว เซี่ยกวงเหยาแห่งตระกูลเซี่ยได้รับผมมาดูแล และยังให้ผมแต่งงานกับหลานสาวของเขาอีกด้วย คุณช่วยผมหาข้อมูลของเซี่ยกวงเหยาให้หน่อยนะ”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบ้านตระกูลอู๋เมื่อสามปีก่อนนั้น อู๋ไป๋ซุยเองพอเดาได้คร่าวๆ แต่ว่าเขาถูกใครช่วยมาและเหตุใดจึงมาอยู่ที่เมืองซีหยวนนั้น เขาไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียว และจำเป็นจะต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม
เมื่อฟังคำพูดของอู๋ไป๋ซุยจบ ประกอบกับข้อมูลที่ตนเองเคยสืบหาเมื่อหลายปีก่อน หลี่ฉางเซิงก็รู้ว่าบ้านตระกูลอู๋ถูกคนภายในบ้านหักหลังอย่างแน่นอน แต่เขาไม่ได้ถามให้มากความตอบกลับไปว่า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหาครับ คุณชายสาม ตอนนี้ท่านต้องการรับหน้าที่ดูแลกลุ่ม ChangShengด้วยตนเองไหม?”
หลี่ฉางเซิงเข้าใจดีว่า ตนเองนั้นเป็นเพียงอาวุธลับที่อู๋ไป๋ซุยฝึกฝนไว้ใช้ในยามจำเป็น หากอู๋ไป๋ซุยต้องการใช้เขา เขาก็จะถวายชีวิตให้
หลี่ฉางเซิงโบกมือแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ตอนนี้ยังไม่จำเป็น”
หลี่ฉางเซิงพยักหน้าและพูดว่า “ครับ”
เวลาห้าโมง อู๋ไป๋ซุยกลับมาถึงบ้าน
เมื่อเดินเข้ามาในบ้านหวางกุ้ยหลานก็เดินถือไม้แขวนเสื้อมาทางเขา และตีเขาอย่างไม่หยุด นางทั้งตีและด่าทอ “ใครใช้ให้แกไปทำร้ายคน? ใครให้แกไปทำร้ายคน??”
หวางกุ้ยหลานฟาดตรงไปอย่างสุดแรง แต่ว่าสำหรับอู๋ไป๋ซุยนั้นเป็นเหมือนมดกัด เขาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว
เมื่อเซี่ยม่อฮั่นเห็นเหตุการณ์ก็รีบเข้ามาห้ามหวางกุ้ยหลานเอาไว้
หวางกุ้ยหลานพูดอย่างไม่พอใจว่า “ลูกไม่ต้องมาห้าม วันนี้แม่จะต้องตีไอ้บ้านี้ให้ตาย?”
เซี่ยม่อฮั่นพูดอธิบายว่า “แม่ก็บอกเองว่าเขาเป็นคนบ้า แม่ตีเขาไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เดี๋ยวหนูจะพูดกับเขาเอง”
หวางกุ้ยหลานพูดว่า “ลูกต้องหย่ากับมัน” เมื่อพูดจบเธอก็เดินเข้าไปในห้องครัว
เซี่ยม่อฮั่นมองไปทางอู๋ไป๋ซุยอย่างผิดหวัง “ทำไมคุณต้องทำร้ายวังซี่ห่าว”
อู๋ไป๋ซุยพูดอย่างเรียบง่ายว่า “เขาขวางทางผม”
เซี่ยม่อฮั่นฝืนยิ้มและถามกลับว่า “ก็เพียงแค่เขาขวางทาง ทำไมต้องทำร้ายเขา”
อู๋ไป๋ซุยพูดอย่างตรงๆว่า “ผมไม่ได้ออกแรง” เขาเพียงแค่ไม่ชอบขี้หน้าวังซี่ห่าวเท่านั้น จึงอดไม่ได้ที่จะสั่งสอนเขาบ้าง แต่ขาเขาไม่ได้ลงแรง ไม่อย่างนั้นวังซี่ห่าวคงกลายเป็นศพไปแล้ว
เซี่ยม่อฮั่นโมโห “คุณใช้หรือไม่ใช้แรงคนรู้อยู่แก่ใจ คุณแยกแยะอะไรออกไหม” เมื่อพูดจบเซี่ยม่อฮั่น ยังไม่หายโมโหเธอจึงพูดต่อว่า”คุณทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ ก่อนหน้านี้คุณเป็นบ้า แต่ไม่เคยทำร้ายคน แต่ในตอนนี้คุณไม่เพียงจะถกเถียงกับคนอื่นและยังลงมือทำร้ายคนด้วย ตอนนี้ตัวฉันเองก็เริ่มกลัวและกังวลว่าคุณจะเป็นบ้าขึ้นมาอีกและแม้แต่ฉันคุณก็ตี”
อู๋ไป๋ซุยพูดอย่างชัดเจนทีละคำว่า “ผมจะไม่มีวันทำร้ายคุณเด็ดขาด ไม่มีวันทั้งชีวิต” แม้จะเป็นคำพูดธรรมดาๆ แต่ทำให้เซี่ยม่อฮั่นอบอุ่นหัวใจขึ้นมา
เซี่ยม่อฮั่นจากเดิมที่โกรธจัดอยู่ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะหย่ากับอู๋ไป๋ซุยและออกห่างจากคนบ้าน่ากลัวคนนี้เสียที แต่ในทันทีที่อู๋ไป๋ซุยพูดคำนี้ออกมา ทำให้เซี่ยม่อฮั่นไม่กล้าทำเช่นนั้น
เธอนิ่งไปชั่วครู่ เซี่ยม่อฮั่นจึงได้เอ่ยพูดอีกครั้งหนึ่งว่า “ต่อไปนี้ทำตัวดีๆหน่อย อย่าหาเรื่องอีกแล้วกัน” เมื่อพูดจบเธอก็เดินกลับไปในห้องนอน
เช้าวันต่อมาเวลากลางวัน
หวางกุ้ยหลานทำกับข้าวเสร็จ อู๋ไป๋ซุยออกมากินข้าวตรงเวลา แต่วันนี้หวางกุ้ยหลานจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอเองไม่ได้เอ่ยปากด่าอู๋ไป๋ซุยแม้แต่คำเดียว
อีกไม่นานต่อมาเซี่ยม่อฮั่นกลับมาจากบริษัท เมื่อถึงบ้านเธอก็ตรงมายังหวางกุ้ยหลานและพูดว่า “แม่คะ แม่เอาบ้านไปจำนำและเอาเงินไปเล่นพนันจริงหรอ?”
หวางกุ้ยหลานไม่กล้าเอ่ยอย่างเต็มปากเต็มคำถามว่า ลูกรู้แล้วเหรอ?”
เซี่ยม่อฮั่นโมโหมากเธอพูดว่า “เจ้าหนี้ไปหาหนูถึงที่ทำงาน หนูจะไม่รู้ได้ยังไง?”
หวางกุ้ยหลานถอนหายใจแล้วพูดว่า “ลูกก็รู้ดีว่าแม่ชอบเล่น ตรงนี้แม่แก้ไขไม่ได้จริงๆ” หวางกุ้ยหลานไม่ได้ทำงานมาตั้งนานแล้ว ตามปกติชีวิตเธอก็ได้แต่ไปเล่นไพ่บ้าง
เซี่ยม่อฮั่นไม่รู้จะพูดอย่างไร “เมื่อก่อนแม่เล่นไพ่ก็ไม่ได้เล่นเยอะขนาดนี้นี่ ทำไมครั้งนี้ถึงแม้กระทั่งเอาบ้านไปจำนำได้?”
หวางกุ้ยหลานอธิบายว่า “เมื่อวานนี้ลูกเขยให้นาฬิกาแบรนด์เนมนั่นมาจำได้ไหม เมื่อคืนตอนที่แม่ไปเล่นไพ่ก็ใส่มันไปด้วย หวังว่าแค่ไปอวดพวกเขา แต่พวกเพื่อนๆคิดว่าแม่มีตังค์ ก็เลยให้แม่เล่นค่อนข้างมาก แม่เองก็เห็นแก่หน้าเลยไม่สามารถระงับอารมณ์ตัวเองได้ ก็เลยไปตามน้ำ แต่คิดไม่ถึงว่าจะแพ้มาตลอดหลายตา จนกระทั่งเอาบ้านไปจำนำ แม่คิดว่าแม่จะสามารถชนะกลับมาได้ใครจะรู้ล่ะว่าจะแพ้หมดเนื้อหมดตัวแบบนี้” เมื่อพูดจบหวางกุ้ยหลานก็มีท่าทางรู้สึกผิดหวัง
เธอมีสามีเป็นบ้าแล้วยังต้องมาเจอเรื่องราวแบบนี้กับแม่ของตัวเองอีกเหรอ เซี่ยม่อฮั่นทำตัวไม่ถูกจริงๆ ดวงตาเธอแดงขึ้นในตอนนี้และตะโกนไปที่หวางกุ้ยหลานว่า “แม่ไม่รู้เหรอคะว่าที่บ้านเราสถานการณ์เป็นยังไง ทำไมแม่ทำอย่างนี้อยู่อีก คนในบ่อนบอกหนูแล้วว่าถ้าวันนี้เราไม่สามารถเอาเงินหนึ่งล้านออกมาได้ ก็จะไล่เราออกจากบ้าน พวกเราจะต้องไปนอนข้างถนนหรอคะ?”
หวางกุ้ยหลานพูดว่า “เอาเถอะน่า ตอนนี้มัวแต่โทษกันก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราต้องคืนเงินให้เขา ลูกลองไปหาวังซี่ห่าวเขาดูสิ เขามีตังค์ เงินแค่นี้สำหรับเขาเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเองเท่านั้น”
เซี่ยม่อฮั่นโมโหกว่าเดิมเธอตอบกลับไปว่า “แม่คิดจะทำอะไรอยู่ พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกัน หนูจะไปยืมเงินกับเขามากขนาดนั้นได้ยังไง?”
หวางกุ้ยหลานพูดอย่างไม่สนใจว่า “ไม่เห็นจะเป็นไร ยังไงซะลูกก็ต้องแต่งงานกับวังซี่ห่าวอยู่วันยังค่ำ เงินแค่นี้ก็ถือว่าเป็นค่าสินสอดแล้วกัน”
เซี่ยม่อฮั่นยังไม่ทันจะพูดอะไรออกไป ทันใดนั้น บุคคลที่ถูกปฏิบัติเหมือนอากาศอย่างอู๋ไป๋ซุยก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดอย่างตั้งใจว่า “อย่าไปหาเขาเลย ผมมีเงิน”
เซี่ยม่อฮั่นจากเดิมก็โมโหเรื่องของแม่อยู่แล้ว อู๋ไป๋ซุยพูดออกมาอย่างนี้ก็เหมือนกับเติมน้ำมันให้ไฟลุก จึงทำให้เธอระเบิดและตะโกนใส่อู๋ไป๋ซุยว่า “เงินอะไรของคุณ แม่ฉันติดเงินไม่ใช่บาทสองบาทนะ เงินหนึ่งล้านคุณฟังให้ดี หนึ่งล้านไม่ใช่หนึ่งน้อย คุณมีเงินมากขนาดนั้นเหรอ?”
“ได้”
เมื่อเขาพูดจบก็เดินหันหลังจากไป
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved