บทที่ 8 ดีแต่พูด

ภายในสิบนาที ซูรั่วเสวี่ยเปลี่ยนเป็นชุดเดรสสีม่วง ทรวดทรงองเอวที่สมบูรณ์แบบ น่าทึ่งยิ่งกว่านางแบบเสียอีก

“ไอบ้าเสิ่นหลาง ไอ่คนตัวเหม็น แกมีสิทธ์อะไรมาโมโหใส่ฉัน!” ซูรั่วเสวี่ยกัดฟัน เธอปาหมอนที่อยู่ข้างเตียงออกไปด้วยความโกรธ

ตามคำขอที่เอาแต่ใจของเสิ่นหลางเมื่อสักครู่ ทำให้ซูรั่วเสวี่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตกลงที่จะปล่อยให้เขาไปด้วยกันในนามของแฟน

การปล่อยให้ผู้ชายคนนี้ไปด้วย ต้องทำให้ตัวเองขายหน้าแน่ ๆ! ซูรั่วเสวี่ยเดินออกจากห้องด้วยหน้าบึ้งตึง

บังเอิญเสิ่นหลางก็เดินออกจากห้องนอนพอดี

ตอนแรกซูรั่วเสวี่ยยังอยากจะบ่นสักสองสามคำ แต่เมื่อเธอเห็นเสิ่นหลางออกมาเธอก็อึ้งทันที

ในคืนนี้เสิ่นหลางดูเหมือนจะเป็นคนที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ชุดสูทลำลองที่เหมาะสม ยังเป็นสูทลำลองลายตารางยอดนิยมของ Givenchy ในคอเลกชันฤดูร้อนนี้ เข้ากับรูปร่างของเสิ่นหลางได้อย่างสมบูรณ์แบบ หล่อแทบไม่มีที่ติ

ดวงตาลึกล้ำดุจดวงดาว ทำให้รู้สึกสะดุดตาเป็นอันต้องมอง ด้วยรูปร่างที่สมส่วน คิ้วหนาหน้าคม แต่แฝงไปด้วยความดุดันและความเจ้าเล่ห์ แค่ย่างก้าวออกไปก็ทำให้รู้สึกเหมือนตกเข้าไปในภวังค์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชายผู้นี้เดินผ่านเธอไป ซูรั่วเสวี่ยได้กลิ่นน้ำหอมที่เย้ายวนใจทันที

นี่...พ่อหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ก็คือคู่หมั้นของตัวเองที่คิดว่าเป็นเหมือนขี้โคลนที่ฉาบไม่ติดผนังมาโดยตลอด?

ซูรั่วเสวี่ยเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง แต่เธอก็ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าผู้ชายคนนี้จะดูดีสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเสแสร้งมากแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถเปลี่ยนธรรมชาติที่น่ารังเกียจและหยาบคายของเขาได้หรอก

“เสร็จเรียบร้อยคุณผู้หญิง เราไปกันเถอะ” เสิ่นหลางตบไหล่ซูรั่วเสวี่ยแล้วพูดอย่างเย็นชา

ซูรั่วเสวี่ยหันหน้าตาม ความรู้สึกนี้ทำให้เธออึดอัดเล็กน้อย ราวกับว่าตัวตนของเธอและเสิ่นหลางถูกเปลี่ยนในทันที เสิ่นหลางกลายเป็นท่านประธานและเธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ

“ซูรั่วเสวี่ยเอ๋ยซูรั่วเสวี่ย ทำไมโง่จัง ทำไมถึงถูกผู้ชายแบบนี้ตกได้นะ?”

ซูรั่วเสวี่ยรีบปรับอารมณ์โดยไม่ให้เสิ่นหลางได้เห็นหน้าอันชื่นรื่นของเธอ เธอขับรถ Audi A5 เปิดประทุนสี่ที่นั่งออกจากโรงรถในตึกวิลล่าไปยังถนน แบบไม่ให้เป็นที่สนใจอย่างเงียบ ๆ

“ขึ้นมาสิ” ซูรั่วเสวี่ยพูดอย่างเยือกเย็น

เสิ่นหลางนั่งที่นั่งผู้โดยสาร

รถAudiออกจากหมู่บ้านวิลล่าและมุ่งหน้าไปยังใจกลางเมืองหลวง

“คุณไปเอาชุด Givenchy มาจากไหน?” ซูรั่วเสวี่ยถาม ถึงแม้ว่าชายคนนี้จะเลอะเทอะและไม่มีแรงจูงใจ แต่เขากลับมีเสื้อผ้าราคาแพงมากมาย ซึ่งทำให้ซูรั่วเสวี่ยรู้สึกสงสัยเล็กน้อย

“ถามอะไรเยอะแยะ คนรู้จักให้มา” เสิ่นหลางตอบกลับ

“ฉันก็ขี้เกียจจะถามเหมือนกัน!” ซูรั่วเสวี่ยขึ้นเสียง

สถานที่รับประทานอาหารคือร้าน Louise French Restaurant ซึ่งตั้งอยู่ในย่านที่เจริญที่สุดของใจกลางเมือง การตกแต่งหรูหราเป็นพิเศษสไตล์สถาปัตยกรรมฝรั่งเศส หรูหรา มีระดับและประณีตอย่างมาก

นี่คือร้านอาหารฝรั่งเศสที่หรูหราที่สุดในเมืองหวาหั่ย

มีรถหรู ๆ จอดอยู่ที่ลานจอดรถ เป็นที่ชัดเจนว่าผู้คนที่เข้าออกที่นี่โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนรวย แม้แต่ Audi A5 ก็ดูด้อยไปเลย

ซูรั่วเสวี่ยก็เคยมาร้านอาหารฝรั่งเศสระดับไฮเอนด์แบบนี้เพียงแค่ไม่กี่ครั้ง

หลังจากลงจากรถแล้ว เสิ่นหลางก็เหยียดแขนออกพยายามจับแขนของซูรั่วเสวี่ย

“คุณทำอะไร?” ซูรั่วเสวี่ยขมวดคิ้ว

เสิ่นหลางยักไหล่และพูดว่า: "คุณเป็นคู่หมั้นของฉันผม เราจะไปพบปะผู้คน หากเราไม่ได้จับมือกันมันจะดูเหมือนคู่หมั้นกันได้อย่างไร?”

“คุณฝันไปเถอะ!” หน้าของซูรั่วเสวี่ยค่อย ๆ แดง

“อย่าลืมสิ คุณเป็นคนสัญญาว่าจะพาผมไปพบพี่เหวินจืออะไรของคุณนั่นในนามของแฟน คุณสัญญาอะไรไว้ก็ควรทำตามที่สัญญาไว้สิ”

เสิ่นหลางคว้าแขนของซูรั่วเสวี่ยอย่างไม่เกรงใจและสั่งว่า: "จับไว้ให้แน่น ๆ!"

“นี่คุณ!" ใบหน้าสวย ๆ ของซูรั่วเสวี่ยเริ่มแดงก่ำ เธอไม่เคยสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่นมาก่อน นับประสาอะไรกับการจับแขนของผู้ชาย

ช่างมันไปเถอะ แค่ปฏิบัติกับผู้ชายคนนี้อย่างไร้ค่าก็พอ ใครให้ฉันไปยอมมันเองล่ะ

ซูรั่วเสวี่ยกัดฟันและจับแขนของเสิ่นหลาง

กลิ่นหอมคล้ายดอกจือจื่อโชยออกมาจากร่างกายของซูรั่วเสวี่ย มันเป็นกลิ่นของน้ำหอมระดับไฮเอนด์

สัมผัสที่นุ่มนวลของแขนและความขาวที่เย้ายวนใจของเนินหน้าอกบริเวณขอบเสื้อทำให้หัวใจของเสิ่นหลางสั่นไหว

แม้ว่าซูรั่วเสวี่ยจะดูหยิ่งและเย็นชาเล็กน้อย แต่หุ่นของเธอนั้นเกินคำบรรยายจริง ๆ

สำหรับอาหารในค่ำคืนนี้ซูรั่วเสวี่ยได้รับเชิญจากจางเหวินจื้อ ซึ่งจางเหวินจื้อเป็นเพื่อนร่วมชั้นมหาลัยของซูรั่วเสวี่ย

จางเหวินจื้อสืบทอดธุรกิจจากครอบครัวเมื่อเดือนที่แล้ว ครอบครัวของพวกเขาทำธุรกิจด้านการแพทย์ ในยุคนี้โรงพยาบาลและเวชภัณฑ์เป็นอุตสาหกรรมที่ทำกำไรได้มากและยังเป็นธุรกิจของครอบครัวอีกด้วย ครอบครัวของจางเหวินจื้อนั้นร่ำรวยมาก

สำหรับบริษัท หลิงหยา อินเตอร์เนชั่นแนล แฟชั่น กรุ๊ปของซูรั่วเสวี่ยนั้น ทั้งหมดได้รับการพัฒนาขึ้นด้วยการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากคุณปู่ของเธอ ไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่ที่มีรากฐานแข็งแรง ดังนั้นซูรั่วเสวี่ยจึงต้องเผชิญหน้ากับจางเหวินจื้อไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

แน่นอน ซูรั่วเสวี่ยยังคงสนใจจางเหวินจื้ออยู่ เพราะพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในตอนที่เป็นนักเรียน

จางเหวินจื้อรออยู่หน้าประตู Louise Restaurantด้วยตัวเอง จางเหวินจื้อคนนี้อายุราว ๆ 23-24 มีรูปร่างหน้าตาที่ธรรมดา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาเป็นทายาทเศรษฐีรุ่นที่สองเขาจึงแต่งตัวดีมาก สวมสูทหรูหรา และดูสง่างามทีเดียว

แม้ว่าเสิ่นหลางจะเป็นหนุ่มน้อยไฟแรง แต่เขาก็สูงและหล่อเหลา มีความสง่าผ่าเผยออกมาจากร่างกาย ในแง่ของรูปลักษณ์และความสง่า เขาดูหล่อกว่าจางเหวินจื้อมาก

เมื่อเห็นซูรั่วเสวี่ยเดินจับแขนของเสิ่นหลางมา ใบหน้าของจางเหวินจื้อก็แข็งชะงักเล็กน้อย

“ซูรั่วเสวี่ยเธอมาแล้ว ท่านนี้คือ...”

ก่อนที่ซูรั่วเสวี่ยจะพูดแนะนำตัว เสิ่นหลางก็ยิ้ม: "ผมเป็นแฟนของซูรั่วเสวี่ย ผมชื่อเสิ่นหลาง สวัสดีครับ"

“ส...สวัสดีครับ!”

จางเหวินจื้อพูดตะกุกตะกัก เชี่ยเอ้ย แฟน?

“รั่ว...รั่วเสวี่ย เธอมีแฟนแล้วหรอ?” จางเหวินจื้อตกตะลึง

ใบหน้าของซูรั่วเสวี่ยดูไม่เป็นธรรมชาติ แม้ว่าเธอจะไม่อยากยอมรับ แต่เธอก็พยักหน้าและพูดว่า "ใช่ เขาเป็นแฟนของฉัน"

ในความเป็นจริงซูรั่วเสวี่ยก็รู้สึกคลุมเครือเช่นกันว่าจางงเหวินจื้อมีความประทับใจที่ดีต่อเธอ เขาดูกระตือรือร้นมากเกินไปกับอาหารค่ำที่เขาเสนอไปก่อนหน้านี้

แม้ว่าซูรั่วเสวี่ยจะมีความประทับใจที่ดีต่อจางเหวินจื้อแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอชอบจางเหวินจื้อ ตอนนี้ก็ไม่เลวที่จะใช้เสิ่นหลางในการแสดงตัวตนของเธอ เพื่อให้จางเหวินจื้อรู้จักถอยเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สมควร

หน้าของจางเหวินจื้อดูหงอยนิดหน่อย ซูรั่วเสวี่ยมีแฟนแล้วเหรอ? ทำไมไม่บอกตัวเองตั้งแต่แรก?

จุดประสงค์ของมื้อนี้คือเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับซูรั่วเสวี่ย ถ้านางฟ้าสาวสวยมีแฟนหมดแล้ว งั้นก็เปล่าประโยนช์น่ะสิ!

แต่ในไม่ช้าจางเหวินจื้อก็เปลี่ยนใจและเจอข้อได้เปรียบของตัวเอง เพราะเขาพบว่าเสิ่นหลางนั่งรถของซูรั่วเสวี่ยมา ซึ่งหมายความว่าฐานะครอบครัวของเสิ่นหลางนั้นอาจจะธรรมดามากหรือยากจนเลยก็ว่าได้

จางเหวินจื้อชำเลืองมองไปที่เสิ่นหลาง เผยให้เห็นความไม่พอใจและความหึงหวงออกมา คนจนแบบนี้จะเหมาะสมกับนางฟ้าแสนสวยหรอ?

เขาได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เดี๋ยวเสิ่นหลางก็ต้องแสดงความละอายใจออกมา

“รั่วเสวี่ย ฉันดีใจมากเลยนะในที่สุดเธอก็ยอมออกมาทานอาหารเย็นกับฉัน" จางเหวินจื้อทักทายเธออย่างอบอุ่นและอยากจะจับมือกับซูรัวเสวี่ย

ในที่สาธารณะ การจับมือเป็นเรื่องปกติมาก

แต่ว่า ก่อนที่ซูรั่วเสวี่ยจะยื่นมือออกไป เสิ่นหลางก็ชิงยื่นมือออกไปจับมือของจางเหวินจื้อและพูดด้วยรอยยิ้ม: "สวัสดีครับ สวัสดี ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณจางรอนานเลย"

จางเหวินจื้อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจับมือกับเสิ่นหลางและหัวเราะตอบกลับ: "ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไร"

หลังจากพูดจบ จางเหวินจื้อกำลังเตรียมจะจับมือกับซูรั่วเสวี่ยอีกครั้ง ในใจรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาต้องการสัมผัสความรู้สึกของการจับมือเล็ก ๆ ของซูรั่วเสวี่ยไว้ในมือจริง ๆ

เสิ่นหลางไม่ให้โอกาสจางเหวินจื้อ และหันไปหาซูรั่วเสวี่ยแล้วพูดว่า “เสวี่ยน้อย เราเข้าไปข้างในกันเถอะ"

“เสวี่ยน้อย?

เมื่อได้ยินคำเรียกนี้ ซูรัวเสวี่ยก็แทบจะล้มลง หัวใจของเธอสั่นไหว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงหน้าด้านจัง กล้าดียังไงเรียกมาเรียกเธอแบบนี้?

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

61