บทที่ 8 ผมยังบริสุทธิ์มากๆอยู่นะ
by เหรินเซิงจีตู
09:06,Apr 12,2021
"มือถือของเขาอาจจะแบตหมดปิดเครื่องไปแล้ว แต่หนูก็ให้ที่อยู่กับเขาไปแล้ว พ่ออย่ากังวลเลย"
"เขา... ไม่มีเงินติดตัวเลย แต่เขาคงจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก"
"พ่อ หนูเองก็ไม่อยากให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น ใครจะรู้ว่าเขาจะขี้น้อยใจขาดนั้นกัน?"
"รู้แล้ว ถ้ามันไม่ไหวแล้วจริงๆหนูก็จะแจ้งความ น่าจะหาเขาได้เจอ"
"..."
พื้นที่หรูแห่งหนึ่งที่อยู่นอกมหาวิทยาลัยปักกิ่งไปสองกิโล เย่อิ่งเสวี่ยกำลังอยู่ที่ระเบียงของห้องที่เธอเช่าพูดโทรศัพท์กับเย่จาว บนใบหน้ามีความระอาใจอยู่ หยางเฟยจากไปตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงตอนนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้ หลังจากเย่จาวรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ด่าเธออยากหนัก ทำให้เธอเต็มไปด้วยความอัดอั้นใจ รู้สึกว่าเย่จาวเอาแต่ดูแลหยางเฟยแล้วก็ไม่สนเธอลูกสาวคนนี้อีก
พูดโทรศัพท์จบแล้วเธอก็หมุนตัวโยนโทรศัพท์ไว้ด้านข้างเอนตัวนั่งลงบนเก้าอี้พูดด่า "หยางเฟย ไอ้เวร!"
เธอถูกแต๊ะอั๋งเอาเปรียบก็ยังไม่ได้โกรธแค้นคิดบัญชี ล้วนอดทนทั้งหมด หยางเฟยเป็นผู้ชายคนหนึ่งกลับขี้น้อยใจเช่นนี้ ทั้งยังทำร้ายเธอให้ถูกเย่จาวตำหนิ คิดๆแล้วก็คับแค้นนัก
แต่ไม่ว่าในใจจะไม่สบายยังไงเธอเองก็ไม่มีวิธีทาง หยางเฟยไม่คุ้นเคยกับชีวิตในปักกิ่ง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆเย่จาวจะต้องไม่มีทางให้อภัยเธอ ใจที่รู้ผิดชอบชั่วดีของเธอเองก็ไม่สามารถสงบได้
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง...
แต่ในตอนที่เธอเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปดู หากไม่เข้าท่าแล้วจริงๆก็จะแจ้งความนั้นเสียงกริ๊งประตูก็ดังขึ้น คิ้วงามอดไม่ได้ที่จะขมวดขึ้น เพื่อที่จะทำงานได้สะดวกเธอเช่าอยู่ที่นี่มาสองปีแล้ว นอกจากเย่จาวที่เคยมาสองครั้งแล้ว เวลาอื่นนอกจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งแล้วก็ไม่มีใครมาอีก ตอนนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว จะเป็นใครกัน?
เดินไปด้วยความระแวดระวัง มองผ่านตาแมวไปด้านนอก แต่ด้านนอกกลับกลายเป็นว่าไม่เห็นใครสักคน
"หรือว่าจะมีคนตั้งใจมาแกล้ง?"
คิดๆแล้วก็อาจเป็นไปได้ เย่อิ่งเสวี่ยโยนความระวังทิ้งไปแล้วหมุนตัว สรุปแล้วเพิ่งจะหมุนตัวเสียงกริ๊งประตูก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ยังมีเสียงที่ทำให้เธอเกลียดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังขึ้นมาอีกด้วย "เย่อิ่งเสวี่ยวัวอกโตคนนั้นคงจะไม่ได้ให้ที่อยู่ผิดหรอกนะ? ทำไมไม่มีใครเปิดประตูเลยอ่ะ?"
เสียงที่ได้ยินก็คือเสียงของหยางเฟย ทั้งยังพูดว่าเธอเป็นวัวอกโต หลังจากถูกเย่จาวตำหนิเย่อิ่งเสวี่ยที่เดิมทีก็โกรธเคืองอยู่แล้วผลักประตูเปิดออกไป สีหน้าเย็นเยียบเล็กน้อย "คุณพูดอะไร?"
หยางเฟยที่เดินอยู่ด้านนอกสี่ห้าชั่วโมงถึงจะถึงที่นี่หลังพิงกำแพงหันหน้ากลับมา ในตอนที่เห็นเย่อิ่งเสวี่ยฉีกปากยิ้ม "ไม่ได้พูดอะไร แค่บอกว่าคุณ...แม่วัว!"
พูดไปแล้วก็ถูกเย่อิ่งเสวี่ยที่ในเวลาสวมชุดนอนสั้นๆที่แม้แต่ก้นก็ยังปิดไม่มิด โชว์ขาเรียวและพื้นที่ลึกลับสีขาวราวหิมะดึงดูดเข้าโดยสมบูรณ์ โดยเฉพาะเมื่อจับภาพได้ว่าบนชุดนอนมีจุดนูนสองจุดปรากฏขึ้นอย่างเด่ดชัด หยางเฟยลืมคำพูดที่จะชี้แจงลงทันทีพ่นสองคำแม่วัวออกไปตามจิตใต้สำนึก
เย่อิ่งเสวี่ยที่ยังคิดจะถามหยางเฟยว่าไปไหนมาก็มีปฏิกิริยากลับมา ใบหน้ารูปไข่แดงก่ำขึ้นมา แกว่งแขนใช้หนึ่งฝ่ามือตบออกไป แต่ถูกหยางเฟยหลบเลี่ยงได้ โกรธจนเธอกระทืบเท้าคล้ายจะเป็นบ้าอย่างไรอย่างนั้น "ไอ้เวรไร้ยางอาย ไอ้กุ๊ย!"
ด่าหนึ่งประโยคก็หมุนตัวเดินเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว ในใจยุ่งเหยิง ในเวลาปกติเธอไม่มีทางหละหลอมเช่นนี้ ถูกวัวอกโตสามคำนี้ทิ่มเข้าจริงๆถึงได้เปิดประตูออกไปทันทีโดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ถูกหยางเฟยเห็นด้านที่ลึกลับซ่อนเร้นของเธอ คิดๆเย่อิ่งเสวี่ยก็จะเป็นบ้าอยู่แล้ว เธอยังไม่เคยถูกผู้ชายเห็นการแต่งตัวเช่นนี้ของเธอมาก่อน
เมื่อคิดได้ว่าก่อนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งจะเปิดเรียนหยางเฟยยังอยู่ที่นี่ก่อนสักยี่สิบวัน เย่อิ่งเสวี่ยก็ยิ่งสติแตก
"ผมก็ไม่ได้ตั้งใจดูสักหน่อย เป็นคุณเองต่างหากที่ใส่ชุดแบบนี้ออกมาให้ผมดู จะรุนแรงทำไมกัน?"
เสียงปิดประตูดังปังดังขึ้นหยางเฟยก็บ่นมุบมิบกับปากประโยคหนึ่งแล้วเดินเข้าในห้องไป พื้นที่เจ็ดสิบกว่าตารางสองห้องนอนหนึ่งห้องรับแขก การตกแต่งเรียบง่ายไม่เสียบรรยากาศ เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางเหล่านี้ล้วนเป็นสีขาวนวล ทำให้คนรู้สึกสบายอารมณ์
จากสิ่งที่ได้เห็นได้ยินมาในวันนี้ หยางเฟยรู้ว่าห้องชุดเช่นนี้ที่อยู่ในพื้นที่นี้ ค่าเช่าทุกเดือนล้วนไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นหยวน
"เป็นนายทุนที่คงจะทุจริตเสียจริงๆนะ"
หนึ่งครอบครัวของหมู่บ้านชิงเหอลำบากหนึ่งปีเต็มอย่างมากที่สุดก็หาเงินได้สองสามหมื่น ยิ่งกว่านั้นมีบ้างที่แม้แต่หนึ่งหมื่นก็หาได้ไม่ถึง ค่าเช่าห้องชุดของเย่อิ่งเสวี่ยหนึ่งเดือนก็ไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่น หยางเฟยไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆ
แต่ว่าเมื่อไม่สามารถเข้าใจได้หยางเฟยเองก็ขี้เกียจจะพูดมากอะไร เก็บสายตากลับมาเดินไปที่ระเบียง เอากระเป๋าสะพายหลังวางไว้อีกด้านเอนตัวลงนอนบนเก้าอี้ พ่นเสียงออกมาอย่างพึงพอใจ "สบายจริงๆเลย!"
พูดไปสายตาก็ถูกเสื้อผ้าที่เย่อิ่งเสวี่ยแขวนตากไว้ด้านบนดึงดูดเข้า พูดให้ถูกก็คือถูกชุดเสื้อผ้าส่วนตัวเหล่านั้นของเย่อิ่งเสวี่ยดึงดูด ลำคออดที่จะแห้งผากไม่ได้ "ผู้หญิงคนนี้ปากหวานก้นเปรี้ยวแสดงออกว่าดีแต่ในใจคิดไม่ดีเสียจริงๆ ใส่ของพวกนี้ถ้าไม่ได้ใส่เสื้อผ้ากางเกงแล้ว จะแตกต่างอะไรกับไม่ได้ใส่ล่ะ?"
ส่ายหน้าส่งเสียงจุ๊ๆแล้วหยางเฟยก็หลับตาลง แล้วก็เริ่มวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงไปของร่างกายตนเอง
ต้องรู้ว่าเมื่อก่อนอย่าพูดถึงว่าทะเลาะกับบอดี้การ์ดผู้เชี่ยวชาญเลย แม้แต่ผู้ใหญ่ธรรมดาๆคนหนึ่ง กระทั่งว่าหลิวเสี่ยวถิงลงมือล้วนยังสามารถทุบเขาทุ่มลงพื้นได้ แต่ว่าวันนี้เผชิญหน้ากับบอดี้การ์ดสองคนนั้น สิ่งที่เรียนมาก่อนหน้านี้ล้วนสามารถใช้ได้ออกไปอย่างง่ายดาย ล้มพวกเขาได้อย่างสบายๆ มันน่าแปลกประหลาดหน่อยๆจริงๆ
และความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้แน่นอนว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งของที่พุ่งเข้าสู่ร่างกายเขาในขณะที่เขาร่วงลงในแม่น้ำลึก แต่เขาตรวจสอบแล้วกลับพบว่าในร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติ มันน่าแปลกเสียจริงๆ แม้ว่าเขาจะไม่เสียเวลาไปคิด แต่มากน้อยยังไงก็มีความใคร่รู้ ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าเรื่องราวเกิดขึ้นบนตัวของตนเอง
ไม่รอให้เขาเข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร เย่อิ่งเสวี่ยที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้านแล้วเดินเข้ามา คนทั้งคนสวมอย่างมิดชิด
เห็นหยางเฟยเอนอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรดที่เธอชอบใช้เอนอ่านหนังสือเวลาพักผ่อนที่สุดแล้ว เย่อิ่งเสวี่ยก็สูดหายใจลึกๆควบคุมอารมณ์แล้วเปิดปากพูด "วันนี้คุณหายไปไหนมา?"
ความคิดถูกตัดบท หยางเฟยลืมตาปัดความคิดออกไป เอียงหัวมองเย่อิ่งเสวี่ยที่สวมใส่อย่างมิดชิด บึนปากอย่างเบื่อหน่าย "พิษร้ายสุดคือจิตใจของผู้หญิงจริงๆด้วย! คุณทอดทิ้งผมไปไม่สนใจ แม้แต่เงินสักกระผีกเดียวก็ไม่ให้ผม ผมเดินเท้าตั้งสี่ห้าชั่วโมงกว่าจะถึงที่นี่ จะไปที่อื่นได้ที่ไหน?"
เย่อิ่งเสวี่ยชะงัก คิดไปถึงหอแพทย์แผนจีนที่ห่างจากที่นี่ประมาณยี่สิบกิโลเมตร บนตัวหยางเฟยไม่มีเงินนั่งรถจึงเดินมา ความโกรธเมื่อกี้หายไปเล็กน้อย "ครั้งนี้ถือว่าฉันผิดเอง เข้าไปในห้องเถอะ!"
ได้ยินคำแล้วหยางเฟยเกิดอาการตอบสนองกระโดดขึ้นมา สองมือกอดตัวเองไว้ สีหน้าหวาดกลัว "คุณคิดจะทำอะไร ผมยังบริสุทธิ์มากๆอยู่นะ วันนี้ถูกคุณรังแกให้เดินสี่ห้าชั่วโมงก็แล้วไปเถอะ คุณอย่าคิดถือโอกาสที่ผมอยู่ใต้ชายคาคนอื่นเอามลทินมาแปดเปื้อนตัวผมนะ"
"..."
เย่อิ่งเสวี่ยที่เพิ่งจะหายโกรธไปเล็กน้อยมีสีหน้าแข็งกระด้าง กัดริมฝีปากจนแทบจะฉีกขาด ความไร้ยางอายของหยางเฟยทำให้เธอมีความอยากพุ่งเข้าไปทุบตีคน "คุณที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ แม้ว่าฉันจะคิด แต่คุณจะไหวเหรอ?"
ถูกเย่อิ่งเสวี่ยพูดถึงจุดด้อยของตนเองออกไป แม้ว่าตอนนี้กำลังค่อยๆเติบโต แต่หยางเฟยก็ยังคงมีความอับอายอยู่เล็กน้อย "จะตีคนก็อย่าตบหน้า จะด่าคนก็อย่าเปิดเผยความผิด ไว้หน้ากันสักหน่อยเถอะ"
เห็นหยางเฟยเองก็มีช่วงเวลาที่อับอาย เย่อิ่งเสวี่ยรู้สึกว่าตนเองในที่สุดก็สามารถหายใจคล่องได้แล้ว "เช่นนั้นก็อย่าคิดสกปรก แค่เรื่องที่เข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งฉันจะจัดการให้ดีเอง ที่เรียกให้คุณเข้าห้องก็เพื่อลงทะเบียนสาขาที่จะเรียน"
"เสร็จเร็วอย่างนี้เลยหรือ?"
มีเสียงอืมแล้วเย่อิ่งเสวี่ยก็หมุนตัวเดินเข้าห้อง "ปีที่แล้วคุณถูกมหาวิทยาลัยปักกิ่งรับเข้าเรียน แต่กลับปฏิเสธเข้ารับรายงานตัว ดังนั้นฉันเลยเอาข้อมูลประวัติการป่วยของคุณสับเปลี่ยนโอนออกมาจากโรงพยาบาลซวนโจว ทำขั้นตอนลาป่วยรายการตัวช้าไปหนึ่งปี ฝ่ายรับสมัครทางนั้นก็ให้ผ่านแล้ว และคะแนนสอบเอนทรานซ์ปีที่แล้วของคุณอยู่ในลำดับที่ห้าของทั้งประเทศ"
ได้ยินคำมุมปากของหยางเฟยก็กระตุกตามเข้าไปในห้อง "คุณสับเปลี่ยนโอนข้อมูลประวัติการป่วยของผม ทำไมคุณชั่วร้ายขนาดนี้นะ? ถ้าคนอื่นเรียกผมว่าเป็นขันทีคนสุดท้ายของประเทศจีนล่ะ ผมไม่อับอายเลยหรือ?"
เย่อิ่งเสวี่ยที่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ขมวดคิ้ว เอือมระอากับคำหยาบคายของหยางเฟย "คุณวางใจเถอะ ฉันไม่ได้ไม่มีจรรยาบรรณเหมือนคุณ สิ่งที่สับเปลี่ยนโอนก็คือกรณีการป่วยด้านบกพร่องความสามารถทางร่างกายด้านนี้ ไม่ได้สับเปลี่ยนโอนกรณีป่วยที่คุณยากที่จะเปิดปากพูดด้านนั้น" นิ่งไปครู่ก็หันหน้าไป "นอกจากนี้ถ้าคุณเต็มใจฉันก็จะจัดการให้ สักกี่วันนี้ไปหอแพทย์แผนจีนทำการดำเนินการตรวจสอบให้ทุกด้าน ถ้าโชคดีก็อาจจะกระตุ้นการเจริญเติบโตของคุณได้"
แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ตอนนี้เจ้าจู๋น้อยกำลังเติบโตเอง ร่างกายเองก็เปลี่ยนไปดีขึ้นอย่างช้าๆ หยางเฟยไม่ต้องการให้คนอื่นมาตรวจสอบหรอก และไปที่หอแพทย์แผนจีนแล้ว ใครจะรู้ว่าเย่อิ่งเสวี่ยจะให้ตนเองไปรักษาช่วยเหลือผู้คนอีกหรือไม่?
"คุณก็พูดแล้วว่ายากที่จะเปิดปากพูด คุณคิดว่าผมจะไปหรือ?"
รู้ว่าหยางเฟยต่อต้านการไปหอแพทย์แผนจีน เย่อิ่งเสวี่ยเองก็ไม่พูดอะไรมากอีก หมุนตัวแล้วเปิดหน้าจอหนึ่งขึ้นมาในคอมพิวเตอร์ หลังจากจัดการอะไรแล้วก็ลุกขึ้นยืน "ใส่เลขบัตรประชาชนของคุณ เพียงเป็นสาขาที่ไม่มีคนเต็ม คุณก็สามารถเลือกลงเรียนได้"
หยางเฟยเดินเข้าไปแต่ไม่ได้นั่งลง เห็นเขาเช่นนี้เย่อิ่งเสวี่ยก็ถาม "ยังมีปัญหาอะไรหรือ?"
"ผมทำคอมพิวเตอร์ไม่เป็น"
หยางเฟยเกาหัวพูดประโยคนี้ออกไปอย่างอับอาย เย่อิ่งเสวี่ยที่ได้ยินชัดเจนอดหัวเราะไม่ได้ "ที่แท้แล้วก็มีเรื่องที่คุณอวดเก่งไม่ได้เหมือนกัน" นั่งลงแล้วยกมือขึ้น "บัตรประชาชน สาขาอะไร?"
ล้วงบัตรประชาชนออกมาวางไว้ในมือของเย่อิ่งเสวี่ย ในเวลาเดียวกันก็พูดสาขาที่ตนเองอยากเข้าเรียนออกไป "วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม"
วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม?
เย่อิ่งเสวี่ยที่มั่นใจแล้วว่าตนเองไม่ได้ยินผิดมองไปที่หยางเฟย "สมองคุณไม่ปกติใช่ไหม?"
หยางเฟยไม่อยากเรียนสาขาแพทย์แผนจีนเธอรู้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่หยางเฟยกลับอยากเรียนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม นี่เป็นสิ่งที่เย่อิ่งเสวี่ยคิดไม่ถึง
วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมแม้ว่าจะไม่ใช่สาขาที่ไม่ค่อยมีคนสนใจเรียน แต่เทียบกับการเงิน บัญชี สาขาพวกนี้แล้วก็ยังไม่น่าสนใจเป็นอย่างมาก คนที่เข้าเรียนทุกปีก็ไม่นับว่ามีมากนัก กระทั่งว่าเปิดรับสมัครก็ไม่ค่อยจะพออยู่บ่อยๆ ไม่มีคนมากมายนักหรอกที่หลังจากเรียนแล้วจะมาวิเคราะห์ฟ้าดินอากาศธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่ทั้งวัน
หยางเฟยมีใบหน้าจริงจัง น้ำเสียงพูดอย่างหนักแน่น "ผมต้องการเรียนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คุณฟังไม่ผิดหรอก"
เห็นหยางเฟยมีใบหน้าจริงจัง เย่อิ่งเสวี่ยก็ปัดความคิดที่จะสอบถามทิ้งไป "ฉันจะช่วยคุณลงทะเบียน ตอนนี้คุณไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้วันเสาร์พ่อฉันอยู่บ้านพอดี เขาอยากเจอคุณ"
รอจนหลังจากหยางเฟยออกไปแล้วเย่อิ่งเสวี่ยคิดเล็กน้อยแล้วเอาข้อมูลการเรียนของหยางเฟยทั้งยังมีวิธีคิดไปบอกกับเย่จาว ให้หยางเฟยเข้าสาขาแพทย์แผนจีนเป็นสิ่งที่เย่จาวคาดหวังไว้ที่สุด เรื่องนี้ยังคงให้เย่จาวรู้เอาไว้ก่อนจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นหากตนเองช่วยหยางเฟยไปแล้วจริงๆ ต่อไปก็อย่าคิดจะกลับเข้าบ้านอีกเลย
ในส่วนอื่นนั้น เธอขี้เกียจจะไปกังวลใจ และก็ไม่อยากไปกังวลใจในเรื่องใดๆเพื่อหยางเฟยที่ในใจของเธอเกลียดชังทั้งนั้น
"เขา... ไม่มีเงินติดตัวเลย แต่เขาคงจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก"
"พ่อ หนูเองก็ไม่อยากให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น ใครจะรู้ว่าเขาจะขี้น้อยใจขาดนั้นกัน?"
"รู้แล้ว ถ้ามันไม่ไหวแล้วจริงๆหนูก็จะแจ้งความ น่าจะหาเขาได้เจอ"
"..."
พื้นที่หรูแห่งหนึ่งที่อยู่นอกมหาวิทยาลัยปักกิ่งไปสองกิโล เย่อิ่งเสวี่ยกำลังอยู่ที่ระเบียงของห้องที่เธอเช่าพูดโทรศัพท์กับเย่จาว บนใบหน้ามีความระอาใจอยู่ หยางเฟยจากไปตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงตอนนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้ หลังจากเย่จาวรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ด่าเธออยากหนัก ทำให้เธอเต็มไปด้วยความอัดอั้นใจ รู้สึกว่าเย่จาวเอาแต่ดูแลหยางเฟยแล้วก็ไม่สนเธอลูกสาวคนนี้อีก
พูดโทรศัพท์จบแล้วเธอก็หมุนตัวโยนโทรศัพท์ไว้ด้านข้างเอนตัวนั่งลงบนเก้าอี้พูดด่า "หยางเฟย ไอ้เวร!"
เธอถูกแต๊ะอั๋งเอาเปรียบก็ยังไม่ได้โกรธแค้นคิดบัญชี ล้วนอดทนทั้งหมด หยางเฟยเป็นผู้ชายคนหนึ่งกลับขี้น้อยใจเช่นนี้ ทั้งยังทำร้ายเธอให้ถูกเย่จาวตำหนิ คิดๆแล้วก็คับแค้นนัก
แต่ไม่ว่าในใจจะไม่สบายยังไงเธอเองก็ไม่มีวิธีทาง หยางเฟยไม่คุ้นเคยกับชีวิตในปักกิ่ง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆเย่จาวจะต้องไม่มีทางให้อภัยเธอ ใจที่รู้ผิดชอบชั่วดีของเธอเองก็ไม่สามารถสงบได้
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง...
แต่ในตอนที่เธอเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปดู หากไม่เข้าท่าแล้วจริงๆก็จะแจ้งความนั้นเสียงกริ๊งประตูก็ดังขึ้น คิ้วงามอดไม่ได้ที่จะขมวดขึ้น เพื่อที่จะทำงานได้สะดวกเธอเช่าอยู่ที่นี่มาสองปีแล้ว นอกจากเย่จาวที่เคยมาสองครั้งแล้ว เวลาอื่นนอกจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งแล้วก็ไม่มีใครมาอีก ตอนนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว จะเป็นใครกัน?
เดินไปด้วยความระแวดระวัง มองผ่านตาแมวไปด้านนอก แต่ด้านนอกกลับกลายเป็นว่าไม่เห็นใครสักคน
"หรือว่าจะมีคนตั้งใจมาแกล้ง?"
คิดๆแล้วก็อาจเป็นไปได้ เย่อิ่งเสวี่ยโยนความระวังทิ้งไปแล้วหมุนตัว สรุปแล้วเพิ่งจะหมุนตัวเสียงกริ๊งประตูก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ยังมีเสียงที่ทำให้เธอเกลียดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังขึ้นมาอีกด้วย "เย่อิ่งเสวี่ยวัวอกโตคนนั้นคงจะไม่ได้ให้ที่อยู่ผิดหรอกนะ? ทำไมไม่มีใครเปิดประตูเลยอ่ะ?"
เสียงที่ได้ยินก็คือเสียงของหยางเฟย ทั้งยังพูดว่าเธอเป็นวัวอกโต หลังจากถูกเย่จาวตำหนิเย่อิ่งเสวี่ยที่เดิมทีก็โกรธเคืองอยู่แล้วผลักประตูเปิดออกไป สีหน้าเย็นเยียบเล็กน้อย "คุณพูดอะไร?"
หยางเฟยที่เดินอยู่ด้านนอกสี่ห้าชั่วโมงถึงจะถึงที่นี่หลังพิงกำแพงหันหน้ากลับมา ในตอนที่เห็นเย่อิ่งเสวี่ยฉีกปากยิ้ม "ไม่ได้พูดอะไร แค่บอกว่าคุณ...แม่วัว!"
พูดไปแล้วก็ถูกเย่อิ่งเสวี่ยที่ในเวลาสวมชุดนอนสั้นๆที่แม้แต่ก้นก็ยังปิดไม่มิด โชว์ขาเรียวและพื้นที่ลึกลับสีขาวราวหิมะดึงดูดเข้าโดยสมบูรณ์ โดยเฉพาะเมื่อจับภาพได้ว่าบนชุดนอนมีจุดนูนสองจุดปรากฏขึ้นอย่างเด่ดชัด หยางเฟยลืมคำพูดที่จะชี้แจงลงทันทีพ่นสองคำแม่วัวออกไปตามจิตใต้สำนึก
เย่อิ่งเสวี่ยที่ยังคิดจะถามหยางเฟยว่าไปไหนมาก็มีปฏิกิริยากลับมา ใบหน้ารูปไข่แดงก่ำขึ้นมา แกว่งแขนใช้หนึ่งฝ่ามือตบออกไป แต่ถูกหยางเฟยหลบเลี่ยงได้ โกรธจนเธอกระทืบเท้าคล้ายจะเป็นบ้าอย่างไรอย่างนั้น "ไอ้เวรไร้ยางอาย ไอ้กุ๊ย!"
ด่าหนึ่งประโยคก็หมุนตัวเดินเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว ในใจยุ่งเหยิง ในเวลาปกติเธอไม่มีทางหละหลอมเช่นนี้ ถูกวัวอกโตสามคำนี้ทิ่มเข้าจริงๆถึงได้เปิดประตูออกไปทันทีโดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ถูกหยางเฟยเห็นด้านที่ลึกลับซ่อนเร้นของเธอ คิดๆเย่อิ่งเสวี่ยก็จะเป็นบ้าอยู่แล้ว เธอยังไม่เคยถูกผู้ชายเห็นการแต่งตัวเช่นนี้ของเธอมาก่อน
เมื่อคิดได้ว่าก่อนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งจะเปิดเรียนหยางเฟยยังอยู่ที่นี่ก่อนสักยี่สิบวัน เย่อิ่งเสวี่ยก็ยิ่งสติแตก
"ผมก็ไม่ได้ตั้งใจดูสักหน่อย เป็นคุณเองต่างหากที่ใส่ชุดแบบนี้ออกมาให้ผมดู จะรุนแรงทำไมกัน?"
เสียงปิดประตูดังปังดังขึ้นหยางเฟยก็บ่นมุบมิบกับปากประโยคหนึ่งแล้วเดินเข้าในห้องไป พื้นที่เจ็ดสิบกว่าตารางสองห้องนอนหนึ่งห้องรับแขก การตกแต่งเรียบง่ายไม่เสียบรรยากาศ เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางเหล่านี้ล้วนเป็นสีขาวนวล ทำให้คนรู้สึกสบายอารมณ์
จากสิ่งที่ได้เห็นได้ยินมาในวันนี้ หยางเฟยรู้ว่าห้องชุดเช่นนี้ที่อยู่ในพื้นที่นี้ ค่าเช่าทุกเดือนล้วนไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นหยวน
"เป็นนายทุนที่คงจะทุจริตเสียจริงๆนะ"
หนึ่งครอบครัวของหมู่บ้านชิงเหอลำบากหนึ่งปีเต็มอย่างมากที่สุดก็หาเงินได้สองสามหมื่น ยิ่งกว่านั้นมีบ้างที่แม้แต่หนึ่งหมื่นก็หาได้ไม่ถึง ค่าเช่าห้องชุดของเย่อิ่งเสวี่ยหนึ่งเดือนก็ไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่น หยางเฟยไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆ
แต่ว่าเมื่อไม่สามารถเข้าใจได้หยางเฟยเองก็ขี้เกียจจะพูดมากอะไร เก็บสายตากลับมาเดินไปที่ระเบียง เอากระเป๋าสะพายหลังวางไว้อีกด้านเอนตัวลงนอนบนเก้าอี้ พ่นเสียงออกมาอย่างพึงพอใจ "สบายจริงๆเลย!"
พูดไปสายตาก็ถูกเสื้อผ้าที่เย่อิ่งเสวี่ยแขวนตากไว้ด้านบนดึงดูดเข้า พูดให้ถูกก็คือถูกชุดเสื้อผ้าส่วนตัวเหล่านั้นของเย่อิ่งเสวี่ยดึงดูด ลำคออดที่จะแห้งผากไม่ได้ "ผู้หญิงคนนี้ปากหวานก้นเปรี้ยวแสดงออกว่าดีแต่ในใจคิดไม่ดีเสียจริงๆ ใส่ของพวกนี้ถ้าไม่ได้ใส่เสื้อผ้ากางเกงแล้ว จะแตกต่างอะไรกับไม่ได้ใส่ล่ะ?"
ส่ายหน้าส่งเสียงจุ๊ๆแล้วหยางเฟยก็หลับตาลง แล้วก็เริ่มวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงไปของร่างกายตนเอง
ต้องรู้ว่าเมื่อก่อนอย่าพูดถึงว่าทะเลาะกับบอดี้การ์ดผู้เชี่ยวชาญเลย แม้แต่ผู้ใหญ่ธรรมดาๆคนหนึ่ง กระทั่งว่าหลิวเสี่ยวถิงลงมือล้วนยังสามารถทุบเขาทุ่มลงพื้นได้ แต่ว่าวันนี้เผชิญหน้ากับบอดี้การ์ดสองคนนั้น สิ่งที่เรียนมาก่อนหน้านี้ล้วนสามารถใช้ได้ออกไปอย่างง่ายดาย ล้มพวกเขาได้อย่างสบายๆ มันน่าแปลกประหลาดหน่อยๆจริงๆ
และความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้แน่นอนว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งของที่พุ่งเข้าสู่ร่างกายเขาในขณะที่เขาร่วงลงในแม่น้ำลึก แต่เขาตรวจสอบแล้วกลับพบว่าในร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติ มันน่าแปลกเสียจริงๆ แม้ว่าเขาจะไม่เสียเวลาไปคิด แต่มากน้อยยังไงก็มีความใคร่รู้ ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าเรื่องราวเกิดขึ้นบนตัวของตนเอง
ไม่รอให้เขาเข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร เย่อิ่งเสวี่ยที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้านแล้วเดินเข้ามา คนทั้งคนสวมอย่างมิดชิด
เห็นหยางเฟยเอนอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรดที่เธอชอบใช้เอนอ่านหนังสือเวลาพักผ่อนที่สุดแล้ว เย่อิ่งเสวี่ยก็สูดหายใจลึกๆควบคุมอารมณ์แล้วเปิดปากพูด "วันนี้คุณหายไปไหนมา?"
ความคิดถูกตัดบท หยางเฟยลืมตาปัดความคิดออกไป เอียงหัวมองเย่อิ่งเสวี่ยที่สวมใส่อย่างมิดชิด บึนปากอย่างเบื่อหน่าย "พิษร้ายสุดคือจิตใจของผู้หญิงจริงๆด้วย! คุณทอดทิ้งผมไปไม่สนใจ แม้แต่เงินสักกระผีกเดียวก็ไม่ให้ผม ผมเดินเท้าตั้งสี่ห้าชั่วโมงกว่าจะถึงที่นี่ จะไปที่อื่นได้ที่ไหน?"
เย่อิ่งเสวี่ยชะงัก คิดไปถึงหอแพทย์แผนจีนที่ห่างจากที่นี่ประมาณยี่สิบกิโลเมตร บนตัวหยางเฟยไม่มีเงินนั่งรถจึงเดินมา ความโกรธเมื่อกี้หายไปเล็กน้อย "ครั้งนี้ถือว่าฉันผิดเอง เข้าไปในห้องเถอะ!"
ได้ยินคำแล้วหยางเฟยเกิดอาการตอบสนองกระโดดขึ้นมา สองมือกอดตัวเองไว้ สีหน้าหวาดกลัว "คุณคิดจะทำอะไร ผมยังบริสุทธิ์มากๆอยู่นะ วันนี้ถูกคุณรังแกให้เดินสี่ห้าชั่วโมงก็แล้วไปเถอะ คุณอย่าคิดถือโอกาสที่ผมอยู่ใต้ชายคาคนอื่นเอามลทินมาแปดเปื้อนตัวผมนะ"
"..."
เย่อิ่งเสวี่ยที่เพิ่งจะหายโกรธไปเล็กน้อยมีสีหน้าแข็งกระด้าง กัดริมฝีปากจนแทบจะฉีกขาด ความไร้ยางอายของหยางเฟยทำให้เธอมีความอยากพุ่งเข้าไปทุบตีคน "คุณที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ แม้ว่าฉันจะคิด แต่คุณจะไหวเหรอ?"
ถูกเย่อิ่งเสวี่ยพูดถึงจุดด้อยของตนเองออกไป แม้ว่าตอนนี้กำลังค่อยๆเติบโต แต่หยางเฟยก็ยังคงมีความอับอายอยู่เล็กน้อย "จะตีคนก็อย่าตบหน้า จะด่าคนก็อย่าเปิดเผยความผิด ไว้หน้ากันสักหน่อยเถอะ"
เห็นหยางเฟยเองก็มีช่วงเวลาที่อับอาย เย่อิ่งเสวี่ยรู้สึกว่าตนเองในที่สุดก็สามารถหายใจคล่องได้แล้ว "เช่นนั้นก็อย่าคิดสกปรก แค่เรื่องที่เข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งฉันจะจัดการให้ดีเอง ที่เรียกให้คุณเข้าห้องก็เพื่อลงทะเบียนสาขาที่จะเรียน"
"เสร็จเร็วอย่างนี้เลยหรือ?"
มีเสียงอืมแล้วเย่อิ่งเสวี่ยก็หมุนตัวเดินเข้าห้อง "ปีที่แล้วคุณถูกมหาวิทยาลัยปักกิ่งรับเข้าเรียน แต่กลับปฏิเสธเข้ารับรายงานตัว ดังนั้นฉันเลยเอาข้อมูลประวัติการป่วยของคุณสับเปลี่ยนโอนออกมาจากโรงพยาบาลซวนโจว ทำขั้นตอนลาป่วยรายการตัวช้าไปหนึ่งปี ฝ่ายรับสมัครทางนั้นก็ให้ผ่านแล้ว และคะแนนสอบเอนทรานซ์ปีที่แล้วของคุณอยู่ในลำดับที่ห้าของทั้งประเทศ"
ได้ยินคำมุมปากของหยางเฟยก็กระตุกตามเข้าไปในห้อง "คุณสับเปลี่ยนโอนข้อมูลประวัติการป่วยของผม ทำไมคุณชั่วร้ายขนาดนี้นะ? ถ้าคนอื่นเรียกผมว่าเป็นขันทีคนสุดท้ายของประเทศจีนล่ะ ผมไม่อับอายเลยหรือ?"
เย่อิ่งเสวี่ยที่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ขมวดคิ้ว เอือมระอากับคำหยาบคายของหยางเฟย "คุณวางใจเถอะ ฉันไม่ได้ไม่มีจรรยาบรรณเหมือนคุณ สิ่งที่สับเปลี่ยนโอนก็คือกรณีการป่วยด้านบกพร่องความสามารถทางร่างกายด้านนี้ ไม่ได้สับเปลี่ยนโอนกรณีป่วยที่คุณยากที่จะเปิดปากพูดด้านนั้น" นิ่งไปครู่ก็หันหน้าไป "นอกจากนี้ถ้าคุณเต็มใจฉันก็จะจัดการให้ สักกี่วันนี้ไปหอแพทย์แผนจีนทำการดำเนินการตรวจสอบให้ทุกด้าน ถ้าโชคดีก็อาจจะกระตุ้นการเจริญเติบโตของคุณได้"
แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ตอนนี้เจ้าจู๋น้อยกำลังเติบโตเอง ร่างกายเองก็เปลี่ยนไปดีขึ้นอย่างช้าๆ หยางเฟยไม่ต้องการให้คนอื่นมาตรวจสอบหรอก และไปที่หอแพทย์แผนจีนแล้ว ใครจะรู้ว่าเย่อิ่งเสวี่ยจะให้ตนเองไปรักษาช่วยเหลือผู้คนอีกหรือไม่?
"คุณก็พูดแล้วว่ายากที่จะเปิดปากพูด คุณคิดว่าผมจะไปหรือ?"
รู้ว่าหยางเฟยต่อต้านการไปหอแพทย์แผนจีน เย่อิ่งเสวี่ยเองก็ไม่พูดอะไรมากอีก หมุนตัวแล้วเปิดหน้าจอหนึ่งขึ้นมาในคอมพิวเตอร์ หลังจากจัดการอะไรแล้วก็ลุกขึ้นยืน "ใส่เลขบัตรประชาชนของคุณ เพียงเป็นสาขาที่ไม่มีคนเต็ม คุณก็สามารถเลือกลงเรียนได้"
หยางเฟยเดินเข้าไปแต่ไม่ได้นั่งลง เห็นเขาเช่นนี้เย่อิ่งเสวี่ยก็ถาม "ยังมีปัญหาอะไรหรือ?"
"ผมทำคอมพิวเตอร์ไม่เป็น"
หยางเฟยเกาหัวพูดประโยคนี้ออกไปอย่างอับอาย เย่อิ่งเสวี่ยที่ได้ยินชัดเจนอดหัวเราะไม่ได้ "ที่แท้แล้วก็มีเรื่องที่คุณอวดเก่งไม่ได้เหมือนกัน" นั่งลงแล้วยกมือขึ้น "บัตรประชาชน สาขาอะไร?"
ล้วงบัตรประชาชนออกมาวางไว้ในมือของเย่อิ่งเสวี่ย ในเวลาเดียวกันก็พูดสาขาที่ตนเองอยากเข้าเรียนออกไป "วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม"
วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม?
เย่อิ่งเสวี่ยที่มั่นใจแล้วว่าตนเองไม่ได้ยินผิดมองไปที่หยางเฟย "สมองคุณไม่ปกติใช่ไหม?"
หยางเฟยไม่อยากเรียนสาขาแพทย์แผนจีนเธอรู้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่หยางเฟยกลับอยากเรียนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม นี่เป็นสิ่งที่เย่อิ่งเสวี่ยคิดไม่ถึง
วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมแม้ว่าจะไม่ใช่สาขาที่ไม่ค่อยมีคนสนใจเรียน แต่เทียบกับการเงิน บัญชี สาขาพวกนี้แล้วก็ยังไม่น่าสนใจเป็นอย่างมาก คนที่เข้าเรียนทุกปีก็ไม่นับว่ามีมากนัก กระทั่งว่าเปิดรับสมัครก็ไม่ค่อยจะพออยู่บ่อยๆ ไม่มีคนมากมายนักหรอกที่หลังจากเรียนแล้วจะมาวิเคราะห์ฟ้าดินอากาศธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่ทั้งวัน
หยางเฟยมีใบหน้าจริงจัง น้ำเสียงพูดอย่างหนักแน่น "ผมต้องการเรียนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คุณฟังไม่ผิดหรอก"
เห็นหยางเฟยมีใบหน้าจริงจัง เย่อิ่งเสวี่ยก็ปัดความคิดที่จะสอบถามทิ้งไป "ฉันจะช่วยคุณลงทะเบียน ตอนนี้คุณไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้วันเสาร์พ่อฉันอยู่บ้านพอดี เขาอยากเจอคุณ"
รอจนหลังจากหยางเฟยออกไปแล้วเย่อิ่งเสวี่ยคิดเล็กน้อยแล้วเอาข้อมูลการเรียนของหยางเฟยทั้งยังมีวิธีคิดไปบอกกับเย่จาว ให้หยางเฟยเข้าสาขาแพทย์แผนจีนเป็นสิ่งที่เย่จาวคาดหวังไว้ที่สุด เรื่องนี้ยังคงให้เย่จาวรู้เอาไว้ก่อนจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นหากตนเองช่วยหยางเฟยไปแล้วจริงๆ ต่อไปก็อย่าคิดจะกลับเข้าบ้านอีกเลย
ในส่วนอื่นนั้น เธอขี้เกียจจะไปกังวลใจ และก็ไม่อยากไปกังวลใจในเรื่องใดๆเพื่อหยางเฟยที่ในใจของเธอเกลียดชังทั้งนั้น
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved