บทที่ 3 ตระกูลฉิน

โดยทั่วไป ผู้ที่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของพลังวิญญาณในเวลาสองปีจะถูกมองว่าเป็นขยะที่ไม่มีศักยภาพ อายุสิบหกไม่สามารถบรรลุผู้ฝึกฝนวิญญาณขั้นกลางอยู่ระหว่างความสิ้นหวัง อายุสามสิบยังไม่สามารถบรรลุผู้ฝึกฝนวิญญาณขั้นสูงแทบจะสิ้นหวัง

แน่นอน มีการให้ความสำคัญเรื่องนี้อย่างชัดเจนในตระกูลผู้ฝึกฝนวิญญาณ ข้อกำหนดด้านอายุก็จะเพิ่มมากขึ้นกว่าคนทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อถูกประเมินว่าไม่มีหวังที่จะบรรลุผู้ฝึกฝนวิญญาณขั้นสูง จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนไร้ความสามารถและคนโง่ ถูกเฉยเมยและรังเกียจจากพวกพ้อง และถึงขั้นอาจจะโดนคนของตระกูลอื่นพูดจาเยาะเย้ย

นอกจากตระกูลผู้ฝึกฝนวิญญาณ ในทวีปเทียนหลินยังมีสำนักฝึกฝนวิญญาณอีกมากมาย และผู้ฝึกฝนวิญญาณที่มีพรสวรรค์จำนวนมาก

ที่มุมทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเทียนหลิน มีอาณาจักรแห่งหนึ่งชื่ออาณาจักรเร็กซ์

เป็นเพียงแค่อาณาจักรทั่วไปในบรรดาอาณาจักรทั้งหมด และมักจะมีสงครามเกิดขึ้นตามเขตชายแดนอยู่บ่อยครั้ง

ตระกูลฉินตั้งอยู่ในเมืองคุนหลัวของอาณาจักรเร็กซ์ ในฐานะตระกูลผู้ฝึกฝนวิญญาณ จึงมีฐานะและอิทธิพลค่อนข้างสูงภายในเมือง

เมืองคุนหลัวอยู่ทางใต้ของเมืองเร็กซ์ และยังเป็นเมืองที่ติดอันดับในอาณาจักร

ภายในเมือง คฤหาสน์เจ้าเมืองเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลมากที่สุด หลังจากนั้นมีตระกูลผู้ฝึกฝนวิญญาณสามตระกูลที่ติดอันดับ หนึ่งในนั้นคือตระกูลฉิน

ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปฤดูใบไม้ร่วงเข้ามาแทนที่ ฉินเฟิงอายุสิบสองแล้ว ในระยะเวลาสองปีนี้ เขายังคงพยายามดูดซับธาตุองค์ประกอบเข้าไปในร่างกายโดยไม่คิดจะยอมแพ้ แต่ว่าไม่มีครั้งไหนที่เคยทำสำเร็จ

หลบายปีที่ผ่านมา เขาแบกรับคำพูดเยาะเย้ยและสายตาที่เย็นชาของคนในตระกูล รวมไปถึงการดูถูกและเยาะเย้ยจากผู้คนภายนอก ฝันในยามค่ำคืน ยังคงเป็นภาพของบรรพบุรุษตระกูลฉินที่ถอนหายใจด้วยความผิดหวังปรากฏขึ้นอย่างเลือนลาง ทั้งหมดนี้มันเป็นเหมือนใบมีดที่แหลมคมคอยทิ่มแทงหัวใจและร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าตาย

และก็เพราะผ่านประสบการณ์เรื่องราวทั้งหมดนี้ตลอดหลายปี ทำให้เด็กหนุ่มอัจฉริยะที่เคยมั่นใจในตัวเองอย่างฉินเฟิงหายไป เขากลายเป็นคนที่เงียบขรึมและไม่พูดอะไร มักจะชอบตีตัวออกห่างจากคนอื่นไปอยู่คนเดียว เขาเก็บความมั่นใจของตัวเองไว้ในส่วนลึกของหัวใจ

วันนี้ ฉินเฟิงฝึกฝนอยู่สักพักใหญ่และท้ายที่สุดก็ต้องเจอกับความล้มเหลวเหมือนเคย มองดูท้องฟ้าที่กำลังใกล้ค่ำแล้ว เขารีบลุกขึ้นออกจากห้องทันที วันนี้เป็นวันรวมตัวกินข้าวของบ้านตระกูลฉินที่จะมีการจัดขึ้นเดือนละครั้ง

"โอ้ นี่มันคุณชายเฟิงของเราไม่ใช่เหรอ คนที่ถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะในรอบร้อยปี ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเขาทำตัวเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใคร"

"แหะแหะ อัจฉริยะเหรอ มันก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความมั่นใจอยู่แล้ว แต่น่าเสียดาย ภาพบรรยากาศที่สวยงามมากจะอยู่ได้ไม่นาน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นร่างกายที่ต่อต้านธาตุองค์ประกอบ อัจฉริยะเสียจริง ของแบบนี้ในรอบร้อยปีจะมีให้เห็นแค่ครั้งเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า!"

ระหว่างทาง มีพี่น้องในตระกูลที่มีอายุมากกว่าเล็กน้อยฉินเฟิงสังเกตเห็นเขา พวกเขาเริ่มทำกันพูดเยาะเย้ยขึ้นมาทันที

พรสวรรค์ของคนทั้งสองธรรมดา เพิ่งบรรลุถึงระดับผู้ฝึกฝนวิญญาณขั้นกลางไม่นาน กำลังอยู่ในระหว่างฝ่าทะลวงขั้นสูง

ในตระกูลฉิน โดยทั่วไปแล้วทุกคนจะสามารถบรรลุผู้ฝึกฝนวิญญาณขั้นสูงก่อนอายุยี่สิบสี่ ไม่อย่างนั้นจะถูกมองว่าเป็นคนไร้ความสามารถ และจะโดนคนในตระกูลถีบจนตกอันดับอย่างรวดเร็ว

ฉินเฟิงทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดพวกนั้น เขาระงับความโกรธและความอัปยศภายในใจเดินผ่านคนทั้งสองไป

"ฮึ่มฮึ่ม ทำไม ไม่มีพรสวรรค์แต่ยังมีตาและปากอยู่ไม่ใช่เหรอ? พวกเราเป็นลูกพี่ลูกน้องของนายนะ เห็นพี่ชายของตัวเองแบบนี้จะไม่ทักทายสักหน่อยเหรอ?" หนึ่งในนั้นชื่อฉินตง เขายิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูด "อ๋อ ใช่แล้วฉันเกือบลืม เมื่อก่อนนายก็เป็นแบบนี้ หน้าบึ้งใส่พวกเราและไม่เคยทักทายพวกเราเลย"เราขอเปลี่ยนอันนี้ด้วย

"ฮึ่มฮึ่ม พี่ตง หมอนี่ยังคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะเหมือนเมื่อก่อน ถ้าหากไม่ได้เป็นเพราะพ่อของเขาเป็นสายเลือดโดยตรงของตระกูลฉินเรา และแม่ของเขาที่คอยอ้อนวอนขอร้องหัวหน้าตระกูล เกรงว่าคงจะโดนถีบออกจากบ้านตระกูลฉินนานแล้ว ขยะแบบนี้เก็บไว้ก็เสียทรัพยากรของตระกูลฉินเสียเปล่า"

หลังจากได้ยินคำพูดพวกนี้ ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น เขาอยากโต้แย้งแต่กลับไม่รู้ว่าควรจะโต้แย้งยังไง?

พ่อของเขาชื่อฉินเซียวหลง เป็นลูกชายคนที่สองของหัวหน้าตระกูลฉินคนปัจจุบัน ถือเป็นสายเลือดโดยตรงของตระกูลฉินและมีสถานะที่สูงพอสมควร

ส่วนฉินตงทั้งสองคนถือเป็นสายเลือดทางอ้อม สถานะและตำแหน่งสู้ทายาทสายเลือดโดยตรงไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้นในอดีตฉินเฟิงมีความสามารถที่เหนือกว่าใคร บนตัวมีกลิ่นอายของความเย่อหยิ่งที่ยากจะอธิบาย เขาดูถูกเหยียดหยามคนรุ่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยพูดจาเยาะเย้ยฉินเฟิงทั้งสองคน เพราะแบบนี้จึงทำให้พวกเขาสองคนจำฝังใจมาโดยตลอด และคิดไม่ถึงว่าตอนนี้กรรมจะตามสนองแล้ว

ภายในใจของฉินเฟิงรู้ดีว่านี่เป็นผลที่เกิดจากการกระทำของเขา มีเพียงต้องอดทนโดยการปิดกั้นคำพูดเหยียดหยามและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

"ฮึ่ม! ไอ้คนไร้ประโยชน์!" ฉินตงมองดูแผ่นหลังที่เดินจากไปของฉินเฟิง เขาถุยน้ำลายใส่พื้นอย่างดูถูก

สักพัก ฉินเฟิงเดินมาถึงห้องโถงที่ใหญ่และมีการตกแต่งอย่างหรูหราแห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้คือห้องอาหารที่ทายาทสายตรงของตระกูลฉิน

โดยรอบของห้องโถงมีผู้รับใช้มากมายที่กำลังจัดเตรียมงาน และมีโต๊ะกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางของห้อง มีคนห้าคนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ สองในนั้นคือพ่อแม่ของฉินเฟิง

หน้าตาของฉินเซียวหลงคมเข้ม คิ้วดาบ ผมยาวสีดำ ชุดสีดำทั้งตัว บวกกับท่าทางเคร่งขรึมทำให้ดูนักหนาแน่นเป็นพิเศษ ถึงแม้จะอายุสี่สิบกว่า แต่วันเวลาไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าของเขาเยอะมากนัก ตอนนี้เขากำลังนั่งสนทนากับชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างโดยที่ดูไม่ใส่ใจกับการมาของฉินเฟิงเลยแม้แต่นิดเดียว

คนที่เขากำลังสนทนาด้วยคือลุงคนโตของฉินเฟิง ฉินเสี่ยวเทียน

ใบหน้าของเขาและฉินเสี่ยวหลงคล้ายคลึงกันเจ็ดส่วน ท่าทางเคร่งขรึมไม่ยิ้มแย้ม บนตัวมีกลิ่นอายที่ยากจะบรรยายปกคลุม

ส่วนที่ด้านข้างของเขาคือชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของฉินเสี่ยวเทียน หรือก็คือลูกพี่ลูกน้องของฉินเฟิงชื่อฉินกุย

ฉินกุยมีอายุมากกว่าฉินเฟิงเจ็ดปี มีผมเป็นสีดำเข็มตัดสั้นตั้งตรง สวมชุดสีเหลืองอ่อนที่เบาบาง ให้ความรู้สึกสบายเวลาฝึกฝน เขาสองมือกอดอกนั่งหลับตาพักสายตาพิงอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางที่เกียจคร้านโดยไม่พูดกับใคร

เหมือนจะสัมผัสได้ว่ามีคนเดินเข้ามา เขาลืมตาขึ้นแล้วเหลือบมองฉินเฟิงอย่างไม่ใส่ใจ แต่วินาทีต่อมากลับหลับตาอีกครั้ง แต่เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวในตอนนั้น ในแววตาของเขาเหมือนจะมีประกายแสงที่แปลกประหลาดปรากฏขึ้น และกลางหว่างคิ้วของเขาแสดงให้เห็นท่าทีของความยิ่งใหญ่ เหมือนเป็นมังกรและหงส์ในท่ามกลางหมู่มนุษย์

ฉินกุยเป็นคนที่มีอายุมากที่สุดในหมู่คนรุ่นเดียวกันของตระกูลฉิน และเป็นคนที่มีทักษะการฝึกฝนที่ลึกซึ้งที่สุดคนหนึ่ง เขาใช้เวลาหนึ่งปีบรรลุผู้ฝึกฝนวิญญาณขั้นสูง ในเมืองคุนหลัว ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการยกย่องและนับถือ

เดิมทีฉินเซียวให้ความสำคัญไปที่ตัวของฉินเฟิง แต่หลังจากที่บรรพบุรุษตระกูลฉินบอกว่าร่างกายของฉินเฟิงเป็นร่างต่อต้านธาตุองค์ประกอบ เขาจึงมุ่งเน้นไปที่ตัวของฉินกุยแทน

"เฟิงเอ๋อ มาแล้วเหรอ รีบมานั่งเร็วเข้า"

ในตอนนั้นเองมีเสียงที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรักดังขึ้น เธอคือแม่ของฉินเฟิง

แม่ของเขาชื่อมู่เหลียน เป็นผู้ฝึกฝนวิญญาณไม้ที่มีรากฐานการฝึกฝนไม่ธรรมดา แต่เธอกลับรู้จักวิธีการแต่งหน้าแต่งตัว ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเด็กผู้หญิงอายุยี่สิบกว่า ผมสีน้ำเงินเข้มของเธอดูมีเสน่ห์และเย้ายวนเป็นพิเศษ

มู่เหลียนก็เป็นเหมือนกับแม่ทั่วไปที่เต็มไปด้วยความรักและความเสียสละที่มีต่อลูก ถึงแม้ว่าฉินเฟิงในตอนนี้จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนไร้ความสามารถ เธอยังคงรักและให้ความสำคัญกับเขาเหมือนเดิม ถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่เฉยเมยต่อฉินเฟิง

ส่วนที่ด้านข้างของเธอตรงกลางระหว่างฉินเสี่ยวหลง มีเด็กผู้ชายอายุสิบขวบคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น หน้าตาของคนคนนี้คล้ายคลึงกับฉินเฟิงถึงแปดส่วน

"แม่ เสี่ยวเย่" ฉินเฟิงเดินมาถึงที่ด้านข้างของโต๊ะแล้วพูดเสียงเบา

บนใบหน้าของมู่เหลียนปรากฏให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน เธอพยักหน้าให้ฉินเฟิง บ่งบอกให้เขานั่งลงที่ด้านข้าง

ฉินเย่ก็เรียกเขาเหมือนกัน "พี่" ดูจากภายนอกเหมือนระหว่างทั้งสองคนจะเต็มไปด้วยความหมายของคำว่าพี่น้อง แต่ในส่วนลึกของความไร้เดียงสากลับแอบซ่อนความรังเกียจเอาไว้

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

130