บทที่ 12 หยกชิงหลง

ภายในห้องของฉินเฟิง เขาจัดของจำเป็นที่ต้องใช้เรียบร้อยหมดแล้ว รอจนถึงพรุ่งนี้เช้าก็จะออกเดินทางได้ทันที

เขารู้แล้วว่าระยะทางในการเดินทางจากเมืองควินโรไปถึงเมืองซังลั่วต้องใช้เวลาสองวัน ถ้าหากไม่เกิดข้อผิดพลาดอะไรระหว่างทาง จะต้องถึงจุดหมายได้ทันเวลาอย่างแน่นอน

"พี่ฉินเฟิง เหยียนเอ๋ออยากตามคุณและพ่อไปเที่ยวนอกเมืองด้วย" ฉินเหยียนเอ๋อนั่งอยู่บนเตียงของฉินเฟิง เธอกำลังแกว่งขาทั้งคู่เล่น

"เหยียนเอ๋อเป็นเด็กดี ฉันและลุงสามไม่ได้ไปเที่ยว พวกเรามีภารกิจต้องไปทำ เธอยังเด็ก เป็นเด็กดีอยู่ในคฤหาสน์ก็พอ ไว้ฉันกลับมาแล้วจะเล่านิทานให้เธอฟัง" ฉินเฟิงเก็บความเฉยเมยของตัวเองพูดเกลี้ยกล่อมน้องสาวที่น่ารักคนนี้

"ไม่เอา ช่วงที่พี่และคุณพ่อไม่อยู่ เหยียนเอ๋อต้องเหงาแน่" ฉินเหยียนเอ๋อทำปากจู๋แล้วพูด

"เหยียนเอ๋อเป็นเด็กดี ไว้เดี๋ยวฉันจะซื้อของขวัญกลับมาให้เธอ"

ฉินเฟิงพยายามพูดเกลี้ยกล่อมฉินเหยียนเอ๋อ เขาที่สามารถเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าโดยไม่รู้สึกตื่นตระหนก แต่เวลาเผชิญหน้ากับน้องสาวที่น่ารักคนนี้กลับรู้สึกปวดหัว

ในตอนนั้นเองประตูถูกเปิดออก ฉินเสี่ยวชางเดินเข้ามา

"คุณพ่อ" ฉินเหยียนเอ๋อสังเกตเห็นฉินเสี่ยวชางเดินเข้ามา เธอรีบวิ่งเข้าไปกอดพร้อมกับความดีใจทันที

ฉินเสี่ยวชางอุ้มฉินเหยียนเอ๋อขึ้นมายิ้มแล้วพูด "ฮ่าฮ่า เหยียนเอ๋อ มาเซ้าซี้พี่ฉินเฟิงอีกแล้วเหรอ?"

"คุณพ่อ หนูก็จะตามพวกคุณพ่อไปที่เมืองซังลั่วด้วย"

"เหยียนเอ๋อเป็นเด็กดี ครั้งนี้พ่อและพี่ฉินเฟิงไปทำธุระไม่ได้ไปเที่ยว ไว้เดี๋ยวครั้งหน้าจะพาลูกไปด้วยดีหรือเปล่า? ช่วงนี้ลูกก็ไปอยู่กับป้าสองก่อนก็แล้วกัน พวกเราจะรีบไปรีบกลับ"

"ก็ได้ แต่อย่าลืมซื้อของขวัญกลับมาให้หนูด้วย แล้วก็ต้องเล่านิทานให้หนูฟังด้วย" ภายใต้การพูดเกลี้ยกล่อมของฉินเสี่ยวชาง ในที่สุดฉินเหยียนเอ๋อก็ยอมตอบตกลง

"ได้เลย พ่อสัญญา" ฉินเสี่ยวชางยิ้มเล็กน้อย "ช่วงนี้ก็อย่าละเลยการฝึกฝนเด็ดขาด หลังจากที่พ่อกลับมาจะตรวจดู ตอนนี้ลูกกลับไปก่อนเถอะ พ่อมีเรื่องต้องคุยกับพี่ฉินเฟิง"

"อืม" ฉินเหยียนเอ๋อลงมาจากอ้อมกอดของฉินเสี่ยวชาง หลังจากที่บอกลาฉินเฟิง เธอหันหลังแล้วเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี

ฉินเหยียนเอ๋อเป็นเด็กผู้หญิงที่ร่าเริงไร้ความกังวล ฉินเฟิงรู้สึกอิจฉามาก และแอบสาบานว่าจะปกป้องความสุขของเหยียนเอ๋อให้ดีที่สุด

"เฟิงเอ๋อ จัดของไปถึงไหนแล้ว?" หลังจากที่ฉินเหยียนเอ๋อเดินจากไป ฉินเสี่ยวชางถามขึ้นทันที

"เรียบร้อยหมดแล้ว"

"อืม ดี นี่เป็นครั้งแรกที่นายรับภารกิจทหารรับจ้าง ไม่ต้องกังวลมากเกินไป ลุงสามจะคอยช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับนายตลอด แต่จำไว้ต้องมีจิตใจที่ต้องการปกป้องตัวเองตลอด ห้ามมีจิตใจที่คิดทำร้ายคนอื่น" ฉินเสี่ยวชางพูดแนะนำก่อนออกเดินทาง

"ครับ เฟิงเอ๋อจะจำไว้"

"ใช่แล้ว สำหรับภารกิจครั้งนี้เพื่อความปลอดภัย ลุงสามมีสมบัติเวทมนตร์ชิ้นหนึ่งอยากจะมอบให้นายเก็บไว้ป้องกันตัว แต่ต้องสัญญากับลุงสามก่อน ถ้าหากไม่ใช่สถานการณ์ที่คับขันจริงห้ามใช้เด็ดขาด เป้าหมายในครั้งนี้คือขัดเกลาตัวเอง แสดงความสามารถที่แท้จริงของนายออกมาโดยไม่พึ่งพาสมบัติเวทย์มนต์"

"ครับ" ฉินเฟิงพยักหน้า

ฉินเสี่ยวชางที่เห็นสถานการณ์ ดึงแหวนสีกากีออกมาจากนิ้วก้อยของตัวเองส่งไปให้ฉินเฟิง

"นี่คือแหวนวิญญาณปฐวี เป็นอาวุธเวทย์มนต์ป้องกันธาตุดินทั่วไป ภายในแหวนวงนี้กักเก็บพลังวิญญาณธาตุดิน หลังจากที่แสดงความเป็นเจ้าของกับแหวนแล้วสวมไว้บนนิ้ว เพียงแค่ใจคิดจะสามารถสร้างกำแพงดินขึ้นมา ของชิ้นนี้ถือเป็นสมบัติเวทมนตร์ระดับหก"

หลังจากที่พูดจบ ฉินเสี่ยวชางโบกมือบนแหวนสีกากี ทันใดนั้นมีแสงสีเหลืองสว่างวาบขึ้น เขาส่งมันไปให้ฉินเฟิง

"ฉันลบตราสัญลักษณ์ของฉันออกไปแล้ว ขอเพียงแค่นายหยดเลือดลงไปก็จะเป็นเจ้าของของมัน แต่ว่าพลังจิตของนายแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป นายสามารถใส่เครื่องหมายทางพลังจิตเข้าไปด้วย แบบนี้เวลาใช้จะได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถป้องกันไม่ให้คนอื่นยึดไปครอบครอง"

หลังจากได้ยินคำพูดประโยคนี้ ฉินเฟิงรับแหวนมาด้วยความระมัดระวัง เขากัดนิ้วของตัวเองแล้วหยดเลือดลงไปบนแหวน หลังจากนั้นปล่อยพลังจิตของตัวเองออกมาซึมซับเข้าไปในแหวนอีกที

ทันใดนั้นบนแหวนมีแสงสีเหลืองส่องสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง ส่วนภายในหัวของฉินเฟิงมีภาพของแหวนวงนี้ปรากฏขึ้น ขอเพียงแค่เขาคิดในใจ ก็จะสามารถแสดงพลังของแหวนวิญญาณปฐพีออกมาผ่านทางตราสัญลักษณ์ทันที

สำหรับเรื่องของการควบคุมพลังจิต ฉินเฟิงเคยมีโอกาสได้เรียนรู้อยู่ช่วงหนึ่ง ถึงแม้ว่าพลังจิตของเขาจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับผู้ฝึกฝนวิญญาณเงา แต่เขาก็สามารถใช้พลังพื้นฐานออกมาได้อย่างง่ายดาย อย่างเช่นใช้พลังจิตที่แข็งแกร่งจดจำสิ่งของ หรือใช้พลังจิตตรวจจับการเคลื่อนไหวของศัตรูในความมืด หรือใช้พลังจิตสร้างตราสัญลักษณ์ขึ้นเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของต่อสมบัติเวทมนตร์เหมือนที่ทำในตอนนี้

เนื่องจากฉินเฟิงเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ มือขวาจำเป็นต้องถือกระบี่ ดังนั้นจึงต้องสวมแหวนไว้บนมือข้างซ้ายแทน ในตอนแรกเขาก็ยังกังวลเรื่องเกี่ยวกับขนาดของแหวน แต่คิดไม่ถึงหลังจากที่แหวนวงนั้นเข้าใกล้มือซ้ายของเขา ขนาดของมันมีการเปลี่ยนแปลงโดยอัตโนมัติพอดีกับนิ้วของเขา

นี่คือจุดเด่นของสมบัติเวทมนตร์ระดับสูง ไม่จำเป็นต้องกังวลปัญหาขนาดของสมบัติเวทมนตร์

หลังจากที่ฉินเสี่ยวชางพูดกำชับอะไรอีกไม่กี่คำก็เดินจากไปทันที และไม่นานมู่เหลียนก็เดินเข้ามา

"แม่" ฉินเฟิงเดินตรงเข้าไปหามู่เหลียนที่กำลังเดินเข้ามา

"เฟิงเอ๋อ ลุงสามของลูกเคยมาหาแม่แล้ว เขาบอกว่าจะพาลูกออกไปทำธุระนอกเมืองหลายวัน อยู่ข้างนอกไม่ได้ปลอดภัยเหมือนอยู่ในบ้าน ต้องระวังตัวไว้ให้ดี แม่ก็ไม่มีสมบัติเวทมนตร์ป้องกันตัวที่พิเศษอะไร มีแต่จี้หยกชิ้นนี้ที่อยากจะมอบให้ลูก ลูกต้องเก็บมันติดตัวตลอดเวลา" มู่เหลียนพูดพร้อมกับยื่นหยกแจสเปอร์ที่แกะสลักเป็นรูปมังกรออกไป

ฉินเฟิงยื่นมือออกไปรับมาแล้วมองดูอย่างละเอียด ชั่วขณะเขารู้สึกอึ้งกับดวงตาทั้งคู่ของมังกร หยกมีลวดลายที่สวยงามและมีความทนทานยากที่จะแตกหัก ฉินเฟิงนำมันมาคล้องลงบนคอ

แล้วจัดเก็บเข้าไปด้านในเสื้อติดกับผิวหนังของตัวเอง เขารู้สึกเย็นสบายและมีพลังชีวิตจางๆแผ่ซ่านออกมา

"จี้หยกชิ้นนี้มีชื่อว่าหยกชิงหลง มีการเพิ่มทักษะวิญญาณธาตุไม้เข้าไปจำนวนมาก ซึ่งประกอบไปด้วยพลังชีวิตจำนวนมหาศาล นำจี้หยกชิ้นนี้ติดตัวสามารถใช้ในการรักษาบาดแผลได้ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถกันน้ำกันไฟ และยังมีความสามารถในการขับยาพิษ" มู่เหลียนพูดแนะนำให้ฉินเฟิงฟัง

ฉินเฟิงรับมาด้วยความระมัดระวัง หลังจากนั้นหยดเลือดลงบนจี้หยกแสดงความเป็นเจ้าของเหมือนก่อนหน้านี้ บวกกับตราสัญลักษณ์พลังจิต เพียงแค่พริบตาเดียวหยกชิงหลงและจิตวิญญาณของเขาเชื่อมต่อกัน สามารถสัมผัสได้ถึงกันและกัน ถึงแม้มู่เหลียนจำไม่ได้บอกว่ามันเป็นสมบัติเวทมนตร์ระดับไหน แต่ฉินเฟิงก็พอจะคาดเดาได้ว่าต้องมีระดับที่สูงกว่าแหวนวิญญาณปฐวีแน่นอน ลืมแม้กระทั่งอาจจะเหนือกว่ากระบี่ถีหุน

"ขอบคุณแม่ที่ประทานของวิเศษ"

"เด็กโง่ มีอะไรต้องเกรงใจกับแม่ จำไว้ อยู่ข้างนอกต้องระมัดระวังตัว ดูแลตัวเองให้ดี"

"ครับ" ฉินเฟิงพยักหน้า ความรักที่แม่มีต่อเขามันจะตราบตรึงอยู่ในใจของเขาตลอดไป

วันรุ่งขึ้น ในขณะที่ผู้คนในตระกูลฉินยังไม่ทันได้ลุกขึ้นจากที่นอน ฉินเสี่ยวชางและฉินเฟิงได้ออกเดินทางจากคฤหาสน์ตระกูลฉินแล้ว ออกเดินทางออกจากเมืองควินโรที่อยู่มานานสิบกว่า

วิธีการเดินทางที่พวกเขาเลือกคือเดินเท้า ไม่ได้คิดจะนั่งรถมาหรือใช้สัตว์ชนิดใดเป็นพาหนะ สำหรับฉินเสี่ยวชาง นี่เป็นการฝึกฝนฉินเฟิงอีกแบบหนึ่ง

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเฟิงออกเดินทางไกลจากบ้านของตัวเอง ถึงแม้ว่าเมืองซังลั่วจะไม่ได้ถือว่าไกลมากนัก แต่สำหรับโลกภายนอกเขาก็เต็มไปด้วยความแปลกใหม่และอยากรู้อยากเห็น แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมา

ช่วงนี้เป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่หน้าร้อน อากาศร้อนค่อนข้างร้อน ทั้งสองคนออกเดินทางมาครึ่งวัน รู้สึกกระหายน้ำอยู่บ่อยครั้ง ถุงน้ำแทบจะว่างเปล่า ท้องก็เริ่มหิวจำเป็นต้องได้รับอาหารอย่างเร่งด่วน

ตอนนี้พวกเขากำลังเดินผ่านเมืองขนาดเล็กที่ชื่อเมืองชิงหยาง เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่ต้องผ่านเวลาเดินทางไปเมืองซังลั่ว ที่บอกว่าเป็นเมืองเล็กเพราะขนาดพื้นที่ไม่ได้ใหญ่และมีผู้คนอาศัยไม่ถึงหมื่น เมื่อเทียบกับเมืองควินโรถือว่าเล็กมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเมืองที่ติดอันดับเกือบท้ายสุดของอาณาจักรเร็กซ์

แปลว่าเมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บนเส้นทางหลักที่จะนำไปสู่เมืองใหญ่ที่สำคัญติดกับฝั่งทางตะวันออก และยังบังเอิญเป็นเส้นทางหลักบนถนนที่ทอดยาวไปถึงทางเหนือและใต้ ดังนั้นจึงมีผู้คนผ่านไปมาจำนวนมาก เศรษฐกิจค่อนข้างดี และคึกคักมากเป็นพิเศษ

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

130