บทที่ 13 เฝิงเซียงหยู่

ฉินเฟิงและฉินเสี่ยวชางเดินเข้าไปในร้านเหล้าแห่งหนึ่งของเมืองชิงหยาง โต๊ะที่อยู่ภายในร้านนั่งเต็มหมดแล้ว เหลือเพียงโต๊ะที่ว่างเปล่าเพียงโต๊ะเดียว ทั้งสองคนเลือกนั่งลงตรงนั้น

ทันทีที่นั่งลง พนักงานบริกรรีบเดินเข้ามาต้อนรับทันที ฉินเสี่ยวชางสั่งอาหารสองสามอย่างและเหล้าอีกหนึ่งไห่อย่างคุ้นเคย

"เฟิงเอ๋อ จำเอาไว้ ทหารรับจ้างมักจะมารวมตัวพักผ่อนกันในร้านเหล้า สถานที่แห่งนี้คือที่รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูล ภายในร้านเหล้ามีผู้คนมากหน้าหลายตาปะป่น จำเอาไว้ต้องระวังตัวให้ดี อย่าสร้างปัญหาในร้านเหล้าเด็ดขาด และต่อไปถ้านายอยากจะหาข้อมูล ก็ลองไปหาข้อมูลที่ร้านเหล้าในท้องถิ่น มักจะได้คำตอบที่ไม่คาดคิดอยู่บ่อยครั้ง"

ฉินเสี่ยวชางให้คำแนะนำฉินเฟิงเป็นครั้งคราว ถ่ายทอดความรู้เทคนิคและประสบการณ์ให้เขาทุกอย่าง

เป็นเหมือนกับที่เขาพูด ที่โต๊ะด้านข้างกำลังมีชายวัยกลางคนสองคนนั่งสนทนากัน "นี่ เหล่าหยู คุณได้ยินข่าวนี้หรือยัง เขตชายแดนที่ติดกับอาณาจักรไห่หลินมีสมบัติขั้นสูงปรากฏขึ้น"

"เหล่าหม่า ข่าวของคุณมันเชยไปแล้ว ว่ากันว่าสมบัติชั้นสูงโดนฉีฮั่วอี้ที่เป็นทหารรับจ้างหกดาวเอาไปแล้ว"

"ฉีฮั่วอี้? เจ็ดปีศาจเพลิงของอาณาจักรไห่หลินเหรอ?"

"ถูกต้อง เขานั่นแหละ บังเอิญสมบัติขั้นสูงชิ้นนั้นเป็นธาตุไฟมีประโยชน์ต่อเขามาก ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นไม่น้อย"

"ฉีฮั่วอี้คนนี้เป็นตัวแทนทหารรับจ้างของอาณาจักรไห่หลิน ว่ากันว่าอีกไม่นานก็จะได้เลื่อนระดับเป็นทหารรับจ้างเจ็ดดาวแล้ว"

คนทั้งสองพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับสมบัติขั้นสูงไปจนถึงยอดฝีมืออย่างฉีฮั่วอี้ ต่อมาก็พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับเรื่องของอาณาจักรไห่หลินที่เป็นเพื่อนบ้านอาณาจักรเร็กซ์

ฉินเฟิงนั่งฟังอยู่ด้านข้าง ถึงว่าได้ข้อมูลมาไม่น้อย

ส่วนอีกด้านหนึ่งก็มีคนพูดถึงเรื่องของเมืองซังลั่ว

"เมืองซังลั่วนี่ก็ถือว่าซวยเหลือเกิน คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับสัตว์ป่าที่ออกมาจากในป่า ไม่เพียงแต่มีคนตายไปไม่น้อย พวกไร่นาถูกทำลาย บ้านเรือนได้รับความเสียหาย ถือว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่"

"เรื่องนี้มันก็ช่วยไม่ได้ ฝูงสัตว์ป่าพวกนั้นจะออกมาก่อจลาจลรบกวนผู้คนเป็นช่วง ครั้งนี้เมืองซังลั่วโดนเล่นงาน ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะเป็นที่ไหนอีก"

"เห้อ แต่ว่าการก่อความวุ่นวายของสัตว์ป่าพวกนี้ยังถือว่าเป็นเรื่องเล็ก ถ้าหากอสูรวิญญาณพวกนั้นเคลื่อนไหวถึงจะเป็นหายนะของจริง"

อีกคนได้ยินคำพูดประโยคนี้ ดูเหมือนเขากำลังจินตนาการภาพ หลังจากนั้นสีหน้าซีดขาวไม่กล้าคิดต่อ

"หวังว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย อสูรวิญญาณเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนกระบี่ขั้นสูง ถ้าหากมีอสูรวิญญาณเป็นฝูงออกมา เกรงว่าคงจะมีแต่ผู้ฝึกฝนวิญญาณขั้นราชาขึ้นไปถึงจะเอาอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากมีอสูรวิญญาณระดับสูงปรากฏตัวขึ้น ไม่กล้าคิดเลยว่าบ้านเมืองจะถูกทำลายและมีผู้คนตายเท่าไหร่"

ในตอนนั้นเอง ประตูของร้านเหล้าถูกเปิดออก มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า

ผู้ชายคนนี้สวมชุดกี่เพ้าสีขาวทั้งตัว ผมจะยาวของเขาถูกปล่อยอย่างเป็นธรรมชาติ มีใบหน้าหล่อเหลา

ผู้ชายคนนี้อายุน่าจะประมาณสามสิบ เนื้อตัวดูสะอาดสะอ้าน เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่สวมใส่ล้วนแต่เป็นของระดับสูง รูปลักษณ์ดูสง่างามและมีมารยาท เพียงแค่มองก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นคนที่มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง

"เอ๋? รู้สึกไม่คุ้นหน้าคนคนนี้แฮะ ดูแล้วต้องมีที่มาไม่ธรรมดาแน่นอน ทำไมผมถึงจำไม่ได้เลยว่าในอาณาจักรเร็กซ์มีบุคคลแบบนี้อยู่ด้วย?" ผู้ชายสองคนที่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของอาณาจักรไห่หลินที่อยู่โต๊ะด้านข้างพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ

"ผมก็ไม่คุ้นเหมือนกัน ผมสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งจากร่างกายของเขา เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นยอดฝีมือ นี่ผมไม่ได้โม้นะ ยอดฝีมือในอาณาจักรเร็กซ์ผมแทบจะจำได้ทุกคน แต่ผมไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อน"

"นอกเสียจากเขาจะไม่ใช่คนของอาณาจักรเร็กซ์?"

"มีความเป็นไปได้ แต่ไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ทำไม"

"คุณว่าเขาจะมาเพราะของสิ่งนั้นหรือเปล่า?"

"ฮืม? คุณหมายถึง…….."

หลังจากที่พูดถึงตอนนี้ ทั้งสองคนเบาเสียงลงอย่างกะทันหัน มีแต่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยินว่าคุยอะไรกัน

ฉินเฟิงที่ก่อนหน้านี้พยายามเงี่ยหูฟัง มองไปทางฉินเสี่ยวชางด้วยความผิดหวัง

แต่สายตาของฉินเสี่ยวชางกลับจ้องไปที่ผู้ชายคนนั้นตลอด เขาขมวดคิ้วแน่นแล้วพูดพึมพำ "เฝิงเซียงหยู่! คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา เขามาทำอะไรที่นี่? หรือเขาก็กำลังจะไปชายฝั่งทางตะวันออกเหมือนกัน?"

พูดถึงประโยคหลังเขาพูดเสียงเบามากจนแทบจะไม่ได้ยิน

"เฝิงเซียงหยู่?" ฉินเฝิงได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นเคยชื่อนี้ ขอทบทวนในใจหนึ่งรอบแล้วจดจำมันไว้อย่างดี

หลังจากที่ผู้ชายคนนี้เดินเข้ามา สายตาของทุกคนโดนเขาดึงดูดทันที ยิ่งไปกว่านั้นต่างก็พากันพูดกระซิบกระซาบ

แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่ได้สนใจเลยสักนิด มุมปากของเขากระตุกให้เห็นรอยยิ้ม เดินตรงเข้ามาหาโต๊ะของฉินเฟิง

ภายในร้านไม่มีโต๊ะว่างแล้ว มีเพียงโต๊ะอย่างพวกฉินเฟิงที่ยังพอมีที่ว่างให้นั่ง

"พี่ชาย ผมขอนั่งตรงนี้ได้หรือเปล่า?" ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ยกแขนขึ้นคารวะถาม

"ตามสบาย" ฉินเสี่ยวชางตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากนั้นบอกให้ฉินเฟิงรีบกินข้าว จะได้ออกเดินทางทันที

ฉินเฟิงข่มความอยากรู้อยากเห็นภายในใจไว้ สุดท้ายหันไปมองผู้ชายที่กำลังยิ้มให้กับเขาแล้วก้มหน้าไม่สนใจอะไรอีก

ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ใส่ใจ เขาสั่งเหล้าที่ดีที่สุดกลับบริกรหนึ่งไห่แล้วนั่งพักผ่อนคนเดียวอยู่ตรงนั้น

ไม่นาน ฉินเสี่ยวชางพาฉินเฟิงออกจากที่นี่ ส่วนผู้ชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาคนนั้นยังคงนั่งดื่มเหล้าอยู่ตรงนั้นต่อ

เขาเหลือบมองไปทางฉินเสี่ยวชางแว๊บหนึ่งแล้วคิดในใจ "คนคนนี้รู้สึกคุ้นหน้ามาก น่าจะเคยเจอที่ไหน แต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร ช่างเถอะ ยังไงก็สัมผัสไม่ได้ถึงเจตนาร้ายจากตัวของเขา"

"เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งปีก็จะถึงวันคฤหาสน์ลับที่บรรพบุรุษพูดถึงเปิด ถึงเวลานั้นฉันจะต้องเอายาครอบจักรวาลมาให้ได้ จะได้ฝ่าทะลวงระดับการฝึกฝนในปัจจุบันได้สำเร็จ ไม่ว่ายังไงก็ต้องเดินทางไปที่ชายฝั่งทางตะวันออกเพื่อเตรียมตัวก่อน"

หลังจากนั้นเขาลุกขึ้นเดินจากไปโดยทิ้งเหรียญทองหนึ่งเหรียญไว้บนโต๊ะ

บริกรที่มาเก็บเงินถึงกับถึงกับตาลุกวาวเป็นประกายทันที ต้องบอกก่อนว่าเหล้าที่เขาดื่มอย่างมากก็แค่หกสิบเหรียญเงิน แต่ว่าหนึ่งเหรียญทองนี้มีค่าเท่ากับหนึ่งร้อยเหรียญเงินเลยทีเดียว

หลังจากออกจากเมืองชิงหยาง ฉินเฟิงทั้งสองคนออกเดินทางต่อจนถึงค่ำ สุดท้ายเข้าพักอาศัยในโรงเตี๊ยมระหว่างทาง

รุ่งเช้า ฉินเฟิงทั้งสองคนออกเดินทางต่ออีกครั้ง จุดหมายปลายทางคือเมืองซังลั่ว

เวลาของช่วงเช้าล่วงเลยไปจนถึงช่วงเที่ยง หลังจากที่ทั้งสองคนเพิ่งกินอาหารเที่ยงเสร็จ พวกเขาเดินอยู่บนเส้นทางสายเล็กในป่าแห่งหนึ่ง

ทันใดนั้นมีเสียงหัวเราะดังขึ้น หลังจากนั้นมีร่างของคนหลายคนพุ่งออกมาขวางทางเดินเอาไว้

"ฮ่าฮ่า ในที่สุดก็มีคนเดินผ่านมาแล้ว! ฉันเป็นคนเปิดถนนเส้นนี้ ฉันเป็นคนตัดต้นไม้พวกนี้ คิดจะเดินผ่านเส้นทางสายนี้ทิ้งของมีค่าเอาไว้!"

"พี่ใหญ่ นี่พี่ไม่เบื่อบ้างเหรอ จะพูดคำพูดประโยคนี้ทุกครั้งเลย ก็แค่แสดงตัวออกมาโดยตรงก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ นี่ สองคนนั้นฟังให้ดี นี่คือการปล้น! ส่งทรัพย์สินเงินทองออกมาให้หมดถ้าไม่อยากเจ็บตัว!"

เป็นเพียงผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่กำยำสูงประมาณสองเมตรเดินออกมาจากในป่าพร้อมกับขวานขนาดใหญ่ที่สะพายอยู่ด้านหลัง ส่วนที่ด้านข้างของเขาคือผู้ชายที่ผอมแห้งสูงประมาณร้อยหกสิบเซนติเมตร มีดสั้นที่อยู่ในมือส่องแสงเป็นประกาย

คนทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก ส่วนที่ด้านหลังของพวกเขายังมีคนตามมาอีกยี่สิบกว่าคน โดยในมือถืออาวุธที่แตกต่างกันออกไป

"ปล้นเหรอ ก็แค่พวกฝึกฝนวิทยายุทธ ไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึง" ฉินเสี่ยวชางหัวเราะในใจ หลังจากนั้นหันไปพูดกับฉินเฟิงที่อยู่ด้านข้าง "เฟิงเอ๋อ พวกโจรป่าพวกนี้ปล่อยให้นายเป็นคนจัดการก็แล้วกัน"

"ครับ" สีหน้าของฉินเฟิงเฉยเมย เขาจ้องมองพวกโจรยี่สิบกว่าคนด้วยสายตาที่เย็นชา ก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า

ในบรรดากลุ่มโจรทั้งหมด นอกจากหัวหน้าสองคนที่น่าจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับผู้ฝึกฝนกระบี่ขั้นกลางระดับสูง ที่เหลือล้วนแต่เป็นผู้ฝึกฝนวิทยายุทธทั่วไป มีเพียงสามสี่คนเท่านั้นที่เกือบจะเทียบเท่าผู้ฝึกฝนกระบี่ขั้นกลางระดับต้น

กลุ่มโจรแบบนี้ถ้าหากเจอกับคนธรรมดาทั่วไปหรือผู้ฝึกฝนขั้นกลางที่ออกเดินทางเพียงคนเดียวก็อาจจะทำอะไรได้บ้าง แต่เจอกับฉินเฟิงทั้งสองคนถือว่าพวกเขาโชคร้าย

ถ้าหากฉินเสี่ยวชางลงมือด้วยตัวเอง คนพวกนี้รับไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวแน่นอน แต่ถ้าหากเป็นฉินเฟิงจะต้องเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือด นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ฝึกฝนตัวเอง เพราะแบบนี้ฉินเสี่ยวชางจึงตั้งใจปล่อยให้เขาเป็นคนจัดการ

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

130