บทที่ 4 ฉินเหยียนเอ๋อ

ในบ้านตระกูลฉิน ไม่มีใครไม่รู้จักฉินเฟิง ลืมแม้กระทั่งทั้งเมืองคุนหลัวต่างก็พากันซุบซิบนินทา อัจฉริยะในตอนนั้นได้กลายเป็นผู้ไร้ความสามารถ

ส่วนฉินเย่ในฐานะที่เป็นน้องชายเพียงคนเดียวย่อมได้รับผลกระทบไม่น้อย

ในอดีตตอนที่ฉินเฟิงถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะสร้างความกดดันให้เขาเป็นอย่างมาก ปัจจุบันถูกเยาะเย้ยว่าเป็นคนไร้ความสามารถที่หาได้ยากในรอบศตวรรษ แม้แต่เขาก็โดนกีดกันและเยาะเย้ยจากคนอื่น

เด็กที่อายุยังน้อยยังเขานอกจากฝึกฝนทุกวันแล้ว สิ่งหนึ่งที่ควรจะทำคือออกไปวิ่งเล่นกับเด็กคนอื่น แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอิทธิพลของฉินเฟิง ตอนนั้นทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างมากจนไม่มีเวลาไปวิ่งเล่นกับคนอื่น แต่ปัจจุบันไม่มีใครยอมเล่นกับเขา

เขาเกลียดฉินเฟิง เกลียดมากเลยด้วย เกลียดจนถึงขั้นมีเมล็ดแห่งความเกลียดชังถูกหว่านไว้ในใจของเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา

แต่ทั้งหมดนี้เขาปกปิดมันอย่างดี อย่างน้อยมู่เหลียนก็ไม่เคยสังเกตเห็นมัน

บางทีอาจจะเป็นเพราะเด็กที่เกิดในตระกูลผู้ฝึกฝนบรรลุนิติภาวะเร็วกว่าและพัฒนาทางปัญญาที่เร็วกว่าเด็กทั่วไปมั้ง

ฉินเฟิงนั่งเงียบขรึมอยู่ตรงนั้นเหมือนกับฉินกุย หลับตาทั้งคู่ลงรอให้ทุกคนมาจนครบ

ผ่านไปสักพัก สายเลือดโดยตรงของตระกูลฉินทยอยกันเดินเข้ามาจนแทบจะนั่งเต็มโต๊ะ

"พี่ฉินเฟิง" มีเสียงที่อ่อนหวานดังขึ้นข้างหูของฉินเฟิง เขาลืมตาขึ้นมาสังเกตเห็นเด็กผู้หญิงถักเปียสองจุกคนหนึ่งนั่งลงที่ด้านข้างของเขา

เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงแต่น้ำเสียงอ่อนหวาน หน้าตาของเธอดูน่ารักเหมือนกับตุ๊กตา ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องรู้สึกรักและเอ็นดู

ส่วนที่ด้านข้างของเด็กผู้หญิงคนนั้นคือชายวัยกลางคนคนหนึ่ง แผ่นหลังตั้งตรงให้ความรู้สึกที่เข้มแข็ง บนคิ้วซ้ายมีรอยแผลเป็นจากกระบี่ที่ยาวสามนิ้วดูสะดุดตามาก ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องรู้สึกเย็นวูบในใจ รอยแผลเป็นทำให้ใบหน้าของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย ถึงแม้ว่าบนใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง แต่ก็ยังให้ความรู้สึกที่น่ากลัวอยู่ดี

บนตัวของเขาสวมชุดสีเทาธรรมดา ความหรูหราในห้องโถงกับการแต่งกายที่เรียบง่ายของเขาดูไม่เข้ากันเลยสักนิด ราวกับที่นี่ไม่ใช่ที่ของเขา

"ลุงสาม เหยียนเอ๋อ" ฉินเฟิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรือหวาดกลัวอะไร เขาหันไปพยักหน้าให้กับพวกเขา

เพราะชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นบนตาข้างซ้ายคือฉินเสี่ยวชางลุงสามของฉินเฟิง และก็เป็นน้องสามของฉินเสี่ยวเทียนและฉินเสี่ยวหลง ฉินเซียวมีลูกชายทั้งหมดสามคน ลูกชายสองคนแรกมีพรสวรรค์ที่ไม่เลว ปัจจุบันล้วนแต่มีรากฐานของการฝึกฝนที่แข็งแกร่ง มีเพียงฉินเสี่ยวชางลูกชายคนที่สามกลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของพลังวิญญาณ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจ เขาพยายามฝึกฝนอย่างหนัก จนกระทั่งตอนอายุสิบหกยังไม่สามารถบรรลุผู้ฝึกฝนวิญญาณขั้นกลาง ในที่สุดก็ตัดสินใจล้มเลิกความตั้งใจ

เขาในตอนนั้นเป็นเหมือนฉินเฟิงถูกมองว่าเป็นคนไร้ความสามารถ ถูกผู้คนในตระกูลละทิ้ง ในตอนที่เขาละทิ้งเส้นทางการฝึกฝนทางจิตวิญญาณเขารู้สึกตกต่ำมาก แต่หลังจากที่ผ่านไปหลายปีเขาเปลี่ยนตัวเองให้เดินบนเส้นทางของผู้ฝึกฝนกระบี่แทน และต่อมาเขาประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งของสายกระบี่

บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ ฉินเสี่ยวชางก็เป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยที่ไม่ได้ดูถูกฉินเฟิง ยิ่งไปกว่านั้นในเวลาสองปีที่ผ่านมา นอกจากมู่เหลียนก็มีเขานี่แหละที่ดูแลฉินเฟิงเป็นพิเศษ

ส่วนฉินเฟิงก็รู้สึกซาบซึ้งกลุ่มคนส่วนน้อยนิดที่ดีต่อเขามาก และให้ความเคารพต่อลงสามคนนี้มาก

เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวของฉินเสี่ยวชาง เธอชื่อฉินเหยียนเอ๋อ ปีนี้อายุเก้าขวบ เนื่องจากพ่อของเธอ เธอจึงไม่มีความรู้สึกรังเกียจต่อฉินเฟิง

สิ่งที่น่าพูดถึงที่สุดคือทุกคนพบว่าบนตัวของฉินเหยียนเอ๋อมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก มีความเป็นไปได้ที่อนาคตจะกลายเป็นผู้ฝึกฝนวิญญาณเงา

ส่วนแม่ของเธอจากเธอไปตั้งแต่ตอนอายุสามขวบด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ดังนั้นพวกเธอสองพ่อลูกจึงใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาโดยตลอด เดิมทีฉินเสี่ยวชางเดินทางออกจากบ้านตระกูลฉินไปแล้ว เขาแยกตัวออกไปใช้ชีวิตโลกภายนอกเพียงคนเดียว แต่เนื่องจากลูกสาวของตัวเองยังเด็กเกินไปจำเป็นต้องได้รับการดูแล ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังมีพรสวรรค์ในการฝึกฝน คุ้มค่าที่จะฝึกฝนเธอให้แข็งแกร่ง เพราะแบบนี้เขาจึงย้ายกลับเข้ามาอีกครั้ง ส่วนบ้านตระกูลฉินก็เห็นแก่พรสวรรค์ของเธอจึงรับพวกเขากลับเข้ามาอีกครั้ง

ในโลกของผู้ฝึกฝนวิญญาณ ความสนิทชิดเชื้อทางสายเลือดเป็นเพียงแค่การนับญาติ ทั้งหมดใช้พรสวรรค์เป็นพื้นฐาน และใช้ความสามารถเป็นหลัก

ในตอนนั้นเอง มีร่างของคนคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ผู้คนที่นั่งล้อมรอบโต๊ะทยอยกันลุกขึ้นพร้อมกับเรียกผู้มาด้วยความเคารพ "พ่อ" "ปู่"

ถูกต้อง คนคนนี้คือฉินเซียวหัวหน้าตระกูลฉินคนปัจจุบัน และเป็นปู่ของฉินเฟิง

ดูจากภายนอกท่าทางของเขาชราภาพมาก มีผมหงอกเล็กน้อยที่ขมับทั้งสองข้าง มีรอยย่นมากมายระหว่างคิ้ว แต่ท่าทางของเขายังคงดูแข็งแรงและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

ระดับการฝึกฝนของเขาลึกซึ้งจนไม่อาจหยั่ง เล่ากันว่านอกจากบรรพบุรุษแล้วเขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลฉิน

เขากวาดสายตามองทุกคน สายตาที่มองฉินเสี่ยวชางดูมีอารมณ์ที่ซับซ้อนเล็กน้อย แต่สายตาที่มองฉินเหยียนเอ๋อกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นี่คือหลานสาวเพียงคนเดียวที่เขารักมาก ตอนที่มองเห็นฉินกุยก็แสดงสีหน้าที่ดูเต็มไปด้วยความรักเหมือนกัน กับหลานคนอื่นก็เต็มไปด้วยความผูกพันเหมือนกัน มีเพียงฉินเฟิงที่สายตาของเขาดูคลุมเครือ

ฉินเฟิงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร สีหน้าของเขายังคงไร้อารมณ์ บางทีอาจจะเรียกได้ว่าเขาชินกับเรื่องพวกนี้นานแล้วมั้ง เขาในตอนนี้เฉยชาต่อเรื่องพวกนี้ไปแล้ว

ฉินเซียวนั่งลงบนเก้าอี้หลักแล้วพูด "มากันครบแล้ว กินข้าวกันเถอะ"

น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนแต่หนักแน่น

หลังจากสิ้นเสียงของเขา ทุกคนเริ่มลงมือกินข้าวทันที

ต้องยอมรับว่าในฐานะที่เป็นอาหารค่ำวันรวมทายาทสายตรงของตระกูลฉิน อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะล้วนแต่เป็นอาหารเลิศรสที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องอยากอาหาร

แต่ว่าอย่างฉินเซียว ฉินเสี่ยวหลงและคนอื่นมีพลังที่แข็งแกร่งมาก พวกเขามาถึงขอบเขตที่สามารถอยู่รอดได้ด้วยการกลืนกินพลังวิญญาณและธาตุองค์ประกอบ และไม่ต้องการอาหารธรรมดามากนัก

ไม่นานทุกคนกินอาหารค่ำจนเรียบร้อย หลังจากนั้นนั่งสนทนากันสักพักแล้วทยอยแยกย้ายกันออกไป

ฉินเสี่ยวชางกลับเรียกฉินเฟิงไปที่ด้านข้างแล้วถาม "เฟิงเอ๋อ เรื่องที่ลุงสามเคยคุยกับนายพิจารณาไปถึงไหนแล้ว?"

"ลุงสาม ผมยังไม่ได้ล้มเหลว ผมยังอยากลองดูอีกหน่อย"

"เห้อ เด็กคนนี้หัวดื้อเหลือเกิน ได้ งั้นลุงจะรอนายอีกสักพัก"

"ขอบคุณลุงสาม งั้นผมขอตัวกลับก่อน" ฉินเฟิงพูดจบแล้วเดินจากไปทันที

ฉินเสี่ยวชางมองดูแผ่นหลังที่เดินจากไปของฉินเฟิงแล้วพยักหน้า "เห้อ เฟิงเอ๋อ นายหัวดื้อกว่าฉันในตอนนั้นเสียอีก ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทำไมยังไม่รีบเปลี่ยนมาฝึกกระบี่กับฉัน"

"ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะฉันรู้ตัวช้าเกินไป ถ้าหากมีโอกาสได้ฝึกฝนวิชากระบี่เร็วกว่านั้นหลายปี บางทีตอนนี้อาจจะสามารถฝ่าทะลวงอุปสรรคที่ขวางกั้นไปแล้ว ผู้ฝึกฝนวิญญาณกับผู้ฝึกฝนกระบี่ก็เหมือนกัน จำเป็นต้องเริ่มฝึกฝนตั้งแต่เด็ก อายุยิ่งน้อยพลังก็จะยิ่งมาก ถ้าหากฉันมีโอกาสได้เริ่มฝึกกระบี่ในช่วงอายุของนาย มีโอกาสได้เจอและติดตามอาจารย์เร็วกว่านี้ บางทีตอนนี้อาจจะกลายเป็นยอดฝีมือที่ติดอันดับไปแล้ว"

"เห้อ น่าเสียดายที่เวลาไม่สามารถย้อนคืน ตอนนี้คงทำได้แต่หวังว่านายจะไม่เดินตามรอยเท้าของลุงสาม"

หลังจากที่ฉินเฟิงกลับมาถึงห้องนอนตัวเอง เขาเริ่มทำกันฝึกทันที เขาพยายามดูดซับธาตุองค์ประกอบเข้าไปในร่างกายวันแล้ววันเล่าโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เวลาสามเดือนผ่านไปในชั่วพริบตาเดียว อากาศเริ่มเย็นกำลังจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง

"ล้มเหลวอีกแล้วเหรอ" ภายในห้องนอนของฉินเฟิง เขาลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ในแววตามองไม่เห็นความผิดหวังอีกแล้ว เขาดูเฉยเมยกับเรื่องพวกนี้อย่างเห็นได้ชัด "บางทีฉันควรจะล้มเลิกความตั้งใจได้แล้วมั้ง เห้อ แต่ก็รู้สึกเจ็บใจชะมัด"

ฉินเฟิงลุกขึ้นเดินไปที่ริมหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออก สายลมเย็นพัดเข้ามา เสื้อผ้าพริ้วไหวตามสายลม ถ้าหากเป็นคนทั่วไปที่โดนสายลมแบบนี้พัดเข้าใส่จะต้องรู้สึกตัวสั่นแน่นอน แต่ว่าร่างกายของฉินเฟิงแข็งแรงมาก เขาไม่ได้รู้สึกถึงความหนาวเย็นแม้แต่นิดเดียว แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นกลับมีความเศร้าโศกปกคลุมในใจของเขา

"ใบไม้เหลืองหมดแล้ว นี่เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วเหรอ ไม่รู้ว่าตอนนี้เสี่ยวเย่ฝึกไปถึงไหนแล้ว หวังว่าเขาคงจะไม่เหมือนกับฉัน"

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

130