บทที่ 13 วิกฤตกาลของสถานสงเคราะห์
by อี้เป่ยปาเปาชา
10:09,Dec 02,2021
ผู้อำนวยการชุยที่มีสีผมดอกเลามองไปยังจางซวนและยิ้มออกมา "เด็กคนนั้น สองสามปีก่อนเขาโทรมาคุยกับฉันบ่อย ๆ เขาเคยบอกกับฉันว่าเขาเคยเป็นพนักงานบริการ เคยเป็นหมอนวด และยังซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเป็นอีกด้วย แต่สองสามปีนี้เด็กคนนั้นกลับต้องทนทุกข์ทรมานมาไม่น้อย"
"เป็นแบบนั้นเองเหรอ?" ฉินโหรวมองจางซวนที่ถูกเด็ก ๆ มากมายห้อมล้อมอยู่ตรงนั้น เห็นเขาอุ้มเด็กคนหนึ่งขึ้นมาและโยนขึ้นไปสูง ๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของพวกเด็ก ๆ มุมปากของจางซวนก็อดที่จะยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้
เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นของเครื่องยนต์ทำลายฉากที่อบอุ่นนี้ รถเบนซ์จีหกสามที่ติดป้ายทะเบียนเลขตองเข้ามาจอดหน้าประตูสถานสงเคราะห์สามคัน แต่ละคันมีคนลงมาสามคน มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ผู้ชายสวมชุดสูทรองเท้าหนัง ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อผ้าที่หรูหรา และทุกคนก็มีอายุระหว่างสามสิบถึงสี่สิบปี
เมื่อคนเหล่านั้นลงมาจากรถ พวกเขาก็เริ่มประเมินสถานสงเคราะห์ในทันที และผู้หญิงคนหนึ่งที่มีท่าทางเหมือนเลขานุการก็หยิบแผนที่ออกมาและชี้ไปชี้มาบนนั้น
พริบตาที่อินอินเด็กผู้หญิงในอ้อมแขนของจางซวนเห็นคนเหล่านั้น ปากเล็ก ๆ ของเธอก็ยื่นออกมา "คนเลว! คนเลวเหล่านั้นมาอีกแล้ว!"
"คนเลวเหรอ?" จางซวนรู้สึกมึนงง เขามองไปยังเด็กผู้หญิงในอ้อมแขนและถามว่า "อินอิน หนูบอกพี่ชายหน่อยสิว่าพวกเขาเลวยังไง?"
"พวกเขาจะรื้อบ้านของอินอินออก" อินอินชูกำปั้นเล็ก ๆ ที่อ่อนนุ่มขึ้นมา และใบหน้าที่อ้วนจ้ำม่ำของเธอก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
"รื้อบ้านเหรอ?" เมื่อจางซวนได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเขาก็อึมครึมขึ้นมาในชั่วพริบตา เขาวางอินอินในอ้อมแขนลงและปล่อยให้เธอไปเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ ก่อน หลังจากนั้นเขาก็เดินไปหาผู้อำนวยการ
บ้านของอินอิน รวมทั้งบ้านของพวกเด็ก ๆ เหล่านี้ก็คือสถานสงเคราะห์ชุนเถิง!
ที่นี่ก็เป็นบ้านของจางซวนด้วยเหมือนกัน เมื่อก่อนนานมาแล้วเขากับแม่เร่ร่อนมาถึงที่นี่ และเพราะผู้อำนวยการรับเขาเอาไว้ เขาถึงสามารถเติบโตขึ้นมาได้
เมื่อจางซวนเดินมาถึงข้างหน้าของผู้อำนวยการชุย เขาก็เห็นใบหน้าของผู้อำนวยการชุยเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง และยังผู้หญิงที่สวมชุดเดรสสีขาวอยู่อีกคน ใบหน้าของเธอเองก็เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจด้วยเหมือนกัน
"ผู้อำนวยการ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?" จางซวนมุ่ยปากไปยังประตูของสถานสงเคราะห์และถามออกมา
ผู้อำนวยการชุยกำลังจะเปิดปากพูดออกมาก็ถูกเสียงของฉินโหรวขัดขึ้นมาเสียก่อน
"ฉันจะไปคุยกับพวกเขา!" ฉินโหรวที่สวมชุดเดรสสีขาวลุกขึ้นมา เธอสูงหนึ่งร้อยหกสิบแปดเซนติเมตร สวมรองเท้าส้นเตี้ยสีขาว และหน้าผากของเธอก็เสมอกับติ่งหูของจางซวน
ผู้อำนวยการชุยมองฉินโหรวที่เดินไปยังประตูของสถานสงเคราะห์ เธอถอนใจออกมา ในดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนเพลีย และเธอก็กวักมือเรียกจางซวน "เสี่ยวซวน นายนั่งลงก่อนสิ"
จางซวนจึงนั่งลงตรงหน้าของผู้อำนวยการชุย
ผู้อำนวยการชุยที่มีสีผมดอกเลามองไปยังท้องฟ้า "เสี่ยวซวน นับเวลาดูแล้ว ปีนี้นายก็อายุยี่สิบสามปีแล้วใช่ไหม?"
"ยี่สิบสี่ครับ" จางซวนมองใบหน้าที่มีเมตตาและอ่อนโยนของผู้อำนวยการชุย ในใจของเขาจึงอดที่จะรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้ ผู้หญิงที่มีจิตใจดีงามคนนี้แก่กว่าคนในความทรงจำตอนแรกของเขามาก
ผู้อำนวยการชุยยื่นมือออกไปลูบหัวของจางซวน "เด็กดี สองสามปีมานี้นายมอบเงินให้สถานสงเคราะห์มาโดยตลอด ยังจำเรื่องที่ฉันบอกนายในโทรศัพท์ได้ไหมว่ามีคนที่มีจิตใจดีคนหนึ่งมาช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่สถานสงเคราะห์?"
"อืม" จางซวนพยักหน้า ตอนแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้ ในใจของเขาก็รู้สึกซาบซึ้งต่อคนที่มีจิตใจดีคนนั้นมาก ๆ เพียงแต่ตลอดมาผู้อำนวยการไม่เคยบอกเขาว่าคนคนนั้นเป็นใคร
"คุณฉินเริ่มให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่สถานสงเคราะห์เมื่อห้าปีก่อน และเธอก็ให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด แต่เกรงว่าต่อไปคุณฉินก็คงมีใจแต่ไร้กำลังแล้ว" ผู้อำนวยการพูดต่อว่า "แต่ไหนแต่ไรมาที่ว่างข้าง ๆ สถานสงเคราะห์ก็เป็นของทางราชการ ตอนนี้การพัฒนารวดเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ดินข้าง ๆ เหล่านั้นล้วนถูกคนเหล่านี้ซื้อไปหมดแล้ว และพวกเขาก็ต้องการจะบุกเบิกสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศบนภูเขา"
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผู้อำนวยการก็ชี้ไปยังคนเหล่านั้นที่อยู่ตรงประตูสถานสงเคราะห์และพูดต่อไปว่า "คุณฉินเจรจากับพวกเขามาแล้วหลายครั้ง แต่กลับไม่เกิดผลอะไรเลย เมื่อบ้านพักตากอากาศบนภูเขาเริ่มบุกเบิกแล้ว ทางราชการจะต้องสั่งการให้รื้อถอนสถานสงเคราะห์แน่ และทางราชการก็มีเอกสารสั่งให้พวกเขาสร้างสถานสงเคราะห์ขึ้นมาใหม่ แต่นายรู้ไหมว่าพวกเขาเลือกที่ตรงไหน? โรงงานระบายของเสียจากอุตสาหกรรมเคมีไงล่ะ! ที่นั่นระบายสารอันตรายอยู่ตลอดเวลา ฉันแก่แล้ว อีกไม่ถึงสองปีก็ต้องลงดินแล้ว เพียงแต่สงสารพวกเด็ก ๆ เหล่านั้นเท่านั้นเอง"
ผู้อำนวยการมองไปยังเด็ก ๆ ที่กำลังเล่นอยู่บนสนามหญ้าเหล่านั้น อดที่จะหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ และน้ำเสียงก็สะอึกสะอื้นเล็กน้อย "นักธุรกิจที่ไม่ดีเหล่านั้น พวกเขาไม่สนใจพวกเด็ก ๆ ที่น่าสงสารเหล่านี้เลย ในสายตาของพวกเขามีเพียงเงินเท่านั้น! จะให้พวกเด็ก ๆ ไปอยู่รอบ ๆ โรงงานระบายของเสียจากอุตสาหกรรมเคมีได้ยังไงกัน!"
"ผมจะไปคุยกับพวกเขาเอง" จางซวนลุกขึ้น
"เสี่ยวซวน! ไม่มีประโยชน์หรอก" ผู้อำนวยการส่ายหน้าไปมา
"ผู้อำนวยการ ยังไม่ได้ลองคุยเลย แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไม่มีประโยชน์?" จางซวนยิ้มให้ผู้อำนวยการเล็กน้อย แต่ในใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขากลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ
เมื่อจางซวนเดินมาถึงประตูของสถานสงเคราะห์ เสียงการโต้เถียงก็ดังเข้ามาในหูของเขา
"คุณฉิน สมองของคุณมีปัญหา แต่พวกเรากลับไม่มี หากมีเงินก้อนโตวางอยู่คุณจะไม่รับเอาไว้เหรอ? ความเป็นความตายของเด็กกำพร้าเหล่านั้นเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย? ถ้าจะโทษก็โทษที่ชีวิตของพวกเขานั้นต้อยต่ำ! ไม่แน่ว่าพวกเด็ก ๆ อยู่รอบ ๆ โรงงานอุตสาหกรรมเคมี ผ่านไปสิบกว่าปีอาจจะเลี้ยงจนกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อย่างในหนังก็ได้ ฮา ๆๆ!" นี่เป็นเสียงหยอกเย้าของผู้ชายคนหนึ่ง
น้ำเสียงของอีกฝ่ายทำให้ฉินโหรวโกรธจนสั่นไปทั้งตัว "พวกคุณ! พวกคุณสูญเสียจิตใจที่ดีงามไปจนหมดแล้ว! ที่ดินผืนนี้ถูกอนุมัติให้บุกเบิกไปตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว แต่ทุกคนล้วนคำนึงถึงสถานสงเคราะห์แห่งนี้ มีเพียงพวกคุณเท่านั้น! พวกคุณทำแบบนี้จะต้องถูกกรรมตามสนองแน่นอน!"
"ฮา ๆๆ หากสามารถหาเงินได้ ต่อให้ต้องตกนรกฉันก็ยินดี คุณฉิน ต่อให้คุณไม่หาเงิน แต่คุณก็ไม่ควรทำเรื่องที่ส่งผลกับการหาเงินของพวกเรา อีกสองสามวันข้างหน้า ทางราชการก็จะมีเอกสารลงมาแล้ว สถานสงเคราะห์แห่งนี้จะถูกรื้อถอนออกไป"
"อีกสองสามวันข้างหน้าสถานสงเคราะห์จะถูกรื้อถอนหรือไม่ผมก็ไม่รู้ แต่ผมรู้ว่าถ้าอีกสิบวินาทีข้างหน้าคุณยังไม่ออกไป ก็อย่าโทษที่ผมต้องตีคุณ!" เสียงที่เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกของจางซวนดังขึ้นมา เขาเดินเข้ามาพร้อมกับถือท่อเหล็กที่หนาเท่ากับข้อมือของผู้ใหญ่ไว้ในมือ กล้ามเนื้อที่ปรากฏอยู่บนไหล่ของเขาทำให้คนอื่นรู้สึกถึงพลังที่ยิ่งใหญ่
"เริ่มนับถอยหลังตอนนี้เลย สิบ!"
จางซวนเพิ่งจะพูดเลขสิบออกไป เขาก็แกว่งท่อเหล็กในมือออกไปแรง ๆ ครั้งหนึ่งทันที จนทำให้เกิดเสียงลมดังขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อคนขับรถเบนซ์เหล่านั้นเห็นท่าทางของจางซวน พวกเขาก็อดที่จะถอยหลังออกไปสองก้าวไม่ได้
มองไปยังกล้ามเนื้อที่สมส่วนบนไหล่ของจางซวน และมองมายังหน้าท้องที่อ้วนท้วนของตัวเอง ผู้ชายที่สวมชุดสูทคนหนึ่งก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาเสียงหนึ่ง "คนชั้นต่ำ! นายกำเริบเสิบสานแบบนี้ จะช้าจะเร็วก็ต้องไสหัวออกไปจากที่นี่! พวกเรากลับ!"
ภายใต้คำสั่งของผู้ชายที่สวมชุดสูทคนนั้น คนกลุ่มหนึ่งก็ขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว รถเบนซ์ส่งเสียงเครื่องยนต์ที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นออกมาอีกครั้งและขับออกไปจากที่นี่ทันที
รถเบนซ์สามคันเพิ่งขับออกไป ในสถานสงเคราะห์ก็มีเสียงร้องไชโยของพวกเด็ก ๆ ดังขึ้นมา
จางซวนโยนท่อเหล็กในมือออกไปและมองไปยังฉินโหรวที่เส้นผมกระเซอะกระเซิงเล็กน้อย "คุณฉิน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?"
"อ๊ะ?" ฉากที่จางซวนพูดกับตัวเธอขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้ฉินโหรวรู้สึกตกตะลึง น้ำเสียงและท่าทางของเธอจึงสับสนเล็กน้อย "ไม่ ไม่เป็นไร"
"เช่นนั้นก็ดีแล้ว คุณเล่าให้ผมฟังหน่อยสิว่าสถานการณ์เป็นยังไง?" จางซวนนั่งลงตรงหน้าประตูของสถานสงเคราะห์
ฉินโหรวถอนใจออกมาลึก ๆ ครั้งหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอยืนใกล้กับผู้ชายคนนี้ขนาดนี้ เธอมองไปยังสายตาที่ลึกล้ำของอีกฝ่าย มันดูราวกับทะเลดวงดาวที่กว้างใหญ่ไพศาล จนทำให้คนอื่นต้องรู้สึกเคลิบเคลิ้ม
"เป็นแบบนั้นเองเหรอ?" ฉินโหรวมองจางซวนที่ถูกเด็ก ๆ มากมายห้อมล้อมอยู่ตรงนั้น เห็นเขาอุ้มเด็กคนหนึ่งขึ้นมาและโยนขึ้นไปสูง ๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของพวกเด็ก ๆ มุมปากของจางซวนก็อดที่จะยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้
เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นของเครื่องยนต์ทำลายฉากที่อบอุ่นนี้ รถเบนซ์จีหกสามที่ติดป้ายทะเบียนเลขตองเข้ามาจอดหน้าประตูสถานสงเคราะห์สามคัน แต่ละคันมีคนลงมาสามคน มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ผู้ชายสวมชุดสูทรองเท้าหนัง ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อผ้าที่หรูหรา และทุกคนก็มีอายุระหว่างสามสิบถึงสี่สิบปี
เมื่อคนเหล่านั้นลงมาจากรถ พวกเขาก็เริ่มประเมินสถานสงเคราะห์ในทันที และผู้หญิงคนหนึ่งที่มีท่าทางเหมือนเลขานุการก็หยิบแผนที่ออกมาและชี้ไปชี้มาบนนั้น
พริบตาที่อินอินเด็กผู้หญิงในอ้อมแขนของจางซวนเห็นคนเหล่านั้น ปากเล็ก ๆ ของเธอก็ยื่นออกมา "คนเลว! คนเลวเหล่านั้นมาอีกแล้ว!"
"คนเลวเหรอ?" จางซวนรู้สึกมึนงง เขามองไปยังเด็กผู้หญิงในอ้อมแขนและถามว่า "อินอิน หนูบอกพี่ชายหน่อยสิว่าพวกเขาเลวยังไง?"
"พวกเขาจะรื้อบ้านของอินอินออก" อินอินชูกำปั้นเล็ก ๆ ที่อ่อนนุ่มขึ้นมา และใบหน้าที่อ้วนจ้ำม่ำของเธอก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
"รื้อบ้านเหรอ?" เมื่อจางซวนได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเขาก็อึมครึมขึ้นมาในชั่วพริบตา เขาวางอินอินในอ้อมแขนลงและปล่อยให้เธอไปเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ ก่อน หลังจากนั้นเขาก็เดินไปหาผู้อำนวยการ
บ้านของอินอิน รวมทั้งบ้านของพวกเด็ก ๆ เหล่านี้ก็คือสถานสงเคราะห์ชุนเถิง!
ที่นี่ก็เป็นบ้านของจางซวนด้วยเหมือนกัน เมื่อก่อนนานมาแล้วเขากับแม่เร่ร่อนมาถึงที่นี่ และเพราะผู้อำนวยการรับเขาเอาไว้ เขาถึงสามารถเติบโตขึ้นมาได้
เมื่อจางซวนเดินมาถึงข้างหน้าของผู้อำนวยการชุย เขาก็เห็นใบหน้าของผู้อำนวยการชุยเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง และยังผู้หญิงที่สวมชุดเดรสสีขาวอยู่อีกคน ใบหน้าของเธอเองก็เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจด้วยเหมือนกัน
"ผู้อำนวยการ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?" จางซวนมุ่ยปากไปยังประตูของสถานสงเคราะห์และถามออกมา
ผู้อำนวยการชุยกำลังจะเปิดปากพูดออกมาก็ถูกเสียงของฉินโหรวขัดขึ้นมาเสียก่อน
"ฉันจะไปคุยกับพวกเขา!" ฉินโหรวที่สวมชุดเดรสสีขาวลุกขึ้นมา เธอสูงหนึ่งร้อยหกสิบแปดเซนติเมตร สวมรองเท้าส้นเตี้ยสีขาว และหน้าผากของเธอก็เสมอกับติ่งหูของจางซวน
ผู้อำนวยการชุยมองฉินโหรวที่เดินไปยังประตูของสถานสงเคราะห์ เธอถอนใจออกมา ในดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนเพลีย และเธอก็กวักมือเรียกจางซวน "เสี่ยวซวน นายนั่งลงก่อนสิ"
จางซวนจึงนั่งลงตรงหน้าของผู้อำนวยการชุย
ผู้อำนวยการชุยที่มีสีผมดอกเลามองไปยังท้องฟ้า "เสี่ยวซวน นับเวลาดูแล้ว ปีนี้นายก็อายุยี่สิบสามปีแล้วใช่ไหม?"
"ยี่สิบสี่ครับ" จางซวนมองใบหน้าที่มีเมตตาและอ่อนโยนของผู้อำนวยการชุย ในใจของเขาจึงอดที่จะรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้ ผู้หญิงที่มีจิตใจดีงามคนนี้แก่กว่าคนในความทรงจำตอนแรกของเขามาก
ผู้อำนวยการชุยยื่นมือออกไปลูบหัวของจางซวน "เด็กดี สองสามปีมานี้นายมอบเงินให้สถานสงเคราะห์มาโดยตลอด ยังจำเรื่องที่ฉันบอกนายในโทรศัพท์ได้ไหมว่ามีคนที่มีจิตใจดีคนหนึ่งมาช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่สถานสงเคราะห์?"
"อืม" จางซวนพยักหน้า ตอนแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้ ในใจของเขาก็รู้สึกซาบซึ้งต่อคนที่มีจิตใจดีคนนั้นมาก ๆ เพียงแต่ตลอดมาผู้อำนวยการไม่เคยบอกเขาว่าคนคนนั้นเป็นใคร
"คุณฉินเริ่มให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่สถานสงเคราะห์เมื่อห้าปีก่อน และเธอก็ให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด แต่เกรงว่าต่อไปคุณฉินก็คงมีใจแต่ไร้กำลังแล้ว" ผู้อำนวยการพูดต่อว่า "แต่ไหนแต่ไรมาที่ว่างข้าง ๆ สถานสงเคราะห์ก็เป็นของทางราชการ ตอนนี้การพัฒนารวดเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ดินข้าง ๆ เหล่านั้นล้วนถูกคนเหล่านี้ซื้อไปหมดแล้ว และพวกเขาก็ต้องการจะบุกเบิกสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศบนภูเขา"
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผู้อำนวยการก็ชี้ไปยังคนเหล่านั้นที่อยู่ตรงประตูสถานสงเคราะห์และพูดต่อไปว่า "คุณฉินเจรจากับพวกเขามาแล้วหลายครั้ง แต่กลับไม่เกิดผลอะไรเลย เมื่อบ้านพักตากอากาศบนภูเขาเริ่มบุกเบิกแล้ว ทางราชการจะต้องสั่งการให้รื้อถอนสถานสงเคราะห์แน่ และทางราชการก็มีเอกสารสั่งให้พวกเขาสร้างสถานสงเคราะห์ขึ้นมาใหม่ แต่นายรู้ไหมว่าพวกเขาเลือกที่ตรงไหน? โรงงานระบายของเสียจากอุตสาหกรรมเคมีไงล่ะ! ที่นั่นระบายสารอันตรายอยู่ตลอดเวลา ฉันแก่แล้ว อีกไม่ถึงสองปีก็ต้องลงดินแล้ว เพียงแต่สงสารพวกเด็ก ๆ เหล่านั้นเท่านั้นเอง"
ผู้อำนวยการมองไปยังเด็ก ๆ ที่กำลังเล่นอยู่บนสนามหญ้าเหล่านั้น อดที่จะหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ และน้ำเสียงก็สะอึกสะอื้นเล็กน้อย "นักธุรกิจที่ไม่ดีเหล่านั้น พวกเขาไม่สนใจพวกเด็ก ๆ ที่น่าสงสารเหล่านี้เลย ในสายตาของพวกเขามีเพียงเงินเท่านั้น! จะให้พวกเด็ก ๆ ไปอยู่รอบ ๆ โรงงานระบายของเสียจากอุตสาหกรรมเคมีได้ยังไงกัน!"
"ผมจะไปคุยกับพวกเขาเอง" จางซวนลุกขึ้น
"เสี่ยวซวน! ไม่มีประโยชน์หรอก" ผู้อำนวยการส่ายหน้าไปมา
"ผู้อำนวยการ ยังไม่ได้ลองคุยเลย แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไม่มีประโยชน์?" จางซวนยิ้มให้ผู้อำนวยการเล็กน้อย แต่ในใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขากลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ
เมื่อจางซวนเดินมาถึงประตูของสถานสงเคราะห์ เสียงการโต้เถียงก็ดังเข้ามาในหูของเขา
"คุณฉิน สมองของคุณมีปัญหา แต่พวกเรากลับไม่มี หากมีเงินก้อนโตวางอยู่คุณจะไม่รับเอาไว้เหรอ? ความเป็นความตายของเด็กกำพร้าเหล่านั้นเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย? ถ้าจะโทษก็โทษที่ชีวิตของพวกเขานั้นต้อยต่ำ! ไม่แน่ว่าพวกเด็ก ๆ อยู่รอบ ๆ โรงงานอุตสาหกรรมเคมี ผ่านไปสิบกว่าปีอาจจะเลี้ยงจนกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อย่างในหนังก็ได้ ฮา ๆๆ!" นี่เป็นเสียงหยอกเย้าของผู้ชายคนหนึ่ง
น้ำเสียงของอีกฝ่ายทำให้ฉินโหรวโกรธจนสั่นไปทั้งตัว "พวกคุณ! พวกคุณสูญเสียจิตใจที่ดีงามไปจนหมดแล้ว! ที่ดินผืนนี้ถูกอนุมัติให้บุกเบิกไปตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว แต่ทุกคนล้วนคำนึงถึงสถานสงเคราะห์แห่งนี้ มีเพียงพวกคุณเท่านั้น! พวกคุณทำแบบนี้จะต้องถูกกรรมตามสนองแน่นอน!"
"ฮา ๆๆ หากสามารถหาเงินได้ ต่อให้ต้องตกนรกฉันก็ยินดี คุณฉิน ต่อให้คุณไม่หาเงิน แต่คุณก็ไม่ควรทำเรื่องที่ส่งผลกับการหาเงินของพวกเรา อีกสองสามวันข้างหน้า ทางราชการก็จะมีเอกสารลงมาแล้ว สถานสงเคราะห์แห่งนี้จะถูกรื้อถอนออกไป"
"อีกสองสามวันข้างหน้าสถานสงเคราะห์จะถูกรื้อถอนหรือไม่ผมก็ไม่รู้ แต่ผมรู้ว่าถ้าอีกสิบวินาทีข้างหน้าคุณยังไม่ออกไป ก็อย่าโทษที่ผมต้องตีคุณ!" เสียงที่เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกของจางซวนดังขึ้นมา เขาเดินเข้ามาพร้อมกับถือท่อเหล็กที่หนาเท่ากับข้อมือของผู้ใหญ่ไว้ในมือ กล้ามเนื้อที่ปรากฏอยู่บนไหล่ของเขาทำให้คนอื่นรู้สึกถึงพลังที่ยิ่งใหญ่
"เริ่มนับถอยหลังตอนนี้เลย สิบ!"
จางซวนเพิ่งจะพูดเลขสิบออกไป เขาก็แกว่งท่อเหล็กในมือออกไปแรง ๆ ครั้งหนึ่งทันที จนทำให้เกิดเสียงลมดังขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อคนขับรถเบนซ์เหล่านั้นเห็นท่าทางของจางซวน พวกเขาก็อดที่จะถอยหลังออกไปสองก้าวไม่ได้
มองไปยังกล้ามเนื้อที่สมส่วนบนไหล่ของจางซวน และมองมายังหน้าท้องที่อ้วนท้วนของตัวเอง ผู้ชายที่สวมชุดสูทคนหนึ่งก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาเสียงหนึ่ง "คนชั้นต่ำ! นายกำเริบเสิบสานแบบนี้ จะช้าจะเร็วก็ต้องไสหัวออกไปจากที่นี่! พวกเรากลับ!"
ภายใต้คำสั่งของผู้ชายที่สวมชุดสูทคนนั้น คนกลุ่มหนึ่งก็ขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว รถเบนซ์ส่งเสียงเครื่องยนต์ที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นออกมาอีกครั้งและขับออกไปจากที่นี่ทันที
รถเบนซ์สามคันเพิ่งขับออกไป ในสถานสงเคราะห์ก็มีเสียงร้องไชโยของพวกเด็ก ๆ ดังขึ้นมา
จางซวนโยนท่อเหล็กในมือออกไปและมองไปยังฉินโหรวที่เส้นผมกระเซอะกระเซิงเล็กน้อย "คุณฉิน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?"
"อ๊ะ?" ฉากที่จางซวนพูดกับตัวเธอขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้ฉินโหรวรู้สึกตกตะลึง น้ำเสียงและท่าทางของเธอจึงสับสนเล็กน้อย "ไม่ ไม่เป็นไร"
"เช่นนั้นก็ดีแล้ว คุณเล่าให้ผมฟังหน่อยสิว่าสถานการณ์เป็นยังไง?" จางซวนนั่งลงตรงหน้าประตูของสถานสงเคราะห์
ฉินโหรวถอนใจออกมาลึก ๆ ครั้งหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอยืนใกล้กับผู้ชายคนนี้ขนาดนี้ เธอมองไปยังสายตาที่ลึกล้ำของอีกฝ่าย มันดูราวกับทะเลดวงดาวที่กว้างใหญ่ไพศาล จนทำให้คนอื่นต้องรู้สึกเคลิบเคลิ้ม
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved