บทที่ 7 หัวใจที่เมตตาของแพทย์

เอ้ย?

นี่มันเฉินอวู๋นี่นา!

เกิดอะไรขึ้น!

เรียนมหาวิทยาลัยมาห้าปี ตนอยู่หอห้องเดียวกับเขามาโดยตลอด

เนื่องจากพูดคุยกันถูกคอ ก็เลยไปกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ ทบทวนบทเรียนด้วยกัน ก็ไม่เคยเห็นเขามีอาการป่วย

ไม่ต้องสงสัย นี่เป็นโรคลมชักโดยฉับพลัน!

เมื่อเห้ฯอาการแล้ว เห็นได้ชัดว่าอันตรายมาก

หากรักษาไม่เหมาะสม อาจจะทำให้เสี่ยงถึงชีวิตได้

เพียงชั่วครู่ เขาก็รู้ได้ทันทีว่า ทำไมนักศึกษาแพทย์ที่เพิ่งเรียนจบมาถึงได้ยืนมุงดูอยู่ข้างๆแทน ไม่มีใครเข้าไปช่วย

ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่รู้ว่ามันเสี่ยงขนาดไหน แต่กลัวว่าจะมีปัญหามากกว่า

และเนื่องจากต่างก็รู้ความน่ากลัวของโรคนี้กันดี ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย ต่างก็ยืนดูอยู่ข้างๆแทน

เพราะในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ช่วย ยิ่งทำให้เสี่ยงมากขึ้น

หัวใจความเป็นแพทย์...............

หลัวหยวนรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลกสิ้นดี!

เขามองเฉินอวู๋ที่ถูกเพื่อนจับกดอยู่บนพื้นหันหน้าไปมาด้วยความเจ็บปวด หลัวหยวนรู้สึกเหมือนหัวใจถูกแทงอย่างรุนแรง

เขาผลักหวังเหล่ยที่ยืนขวางหน้าอยู่และพูดว่า " พวกนายเป็นหมอ มองไม่ออกหรือไงว่าเป็นโรคลมชัก? พวกนายสองคนปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ พวกนายทำแบบนี้ยิ่งทำให้เขาเจ็บปวด อีกอย่าง รีบเปิดหน้าต่างเดี๋ยวนี้ และอย่ามายืนมุง อากาศถ่ายเทจะทำให้เขาดีขึ้น"

เมื่อสิ้นสุดคำพูดของหลัวหยวนแล้ว ทุกคนต่างก็สบตากัน หลังจากนั้นก็ถอยออกไป

ทุกคนต่างมองหลัวหยวนด้วยความเย็นชา เป็นสายตาที่พูดว่า

ถ้านายทำได้ นายก็ทำสิ!

แต่ผู้ชายสองคนที่กดตัวของเฉินอวู๋อยู่ กลับไม่ขยับเขยื้อน

เมื่อหลัวหยวนดู ก็พบว่าเป็นผู้ชายไม่คุ้นหน้า

ไม่รู้เป็นเพื่อนของใครที่พามา เขาก็เลยมองไปรอบๆ

"อาหู อาเป้า ปล่อยเถอะ! ไปยืนข้างๆ"

เสียงของหูไห่ฉ่าว

ที่แท้ก็เป็นบอดี้การ์ดของเขานี่เอง

ไม่แปลกใจว่าทำไมไม่มีความรู้ในเรื่องแบบนี้แม้แต่นิดเดียว แถมยังไม่มีปฏิกิริยาต่อคำพูดของตนอีก

เมื่อเห็นว่าพวกเขาสองคนลุกออกไป หลังหยวนไม่พูดอะไรมาก เขารีบหยิบตะเกียบจากบนโต๊ะมาสองอัน เขาคุกเข่าลงเตรียมตัวจะปฐมพยาบาลให้เฉินอวู๋

"หลัวหยวน อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนายนะ! นี่มันโรคลมชักเฉียบพลัน ถ้าประมาทเพียงเล็กน้อยก็อาจจะถึงแก่ชีวิตได้เลยนะ! ฉันว่ารอให้รถโรงพยาบาลมารับตัวไปจะดีกว่านะ!"

ตอนที่หลัวหยวนกำลังจะยื่นมืออกไปนั้น หวังเหล่ยที่ยืนอยู่ด้นหลังก็พูดเตือนขึ้นมาเบาๆ

หลังหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง เขาพูดว่า " หัวใจที่เมตตาของแพทย์ ไม่เคยกลัวความรับผิดชอบเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยนะ!"

พูดจบ เขากดเบาๆลงบนตัวของเฉินอวู๋

ในตอนที่เฉินอวู๋อ้าปาก หลัวหยวนก็เอาตะเกียบวางในปากของเขาเป็นแนวนอน เพื่อให้เขาได้กัดไว้

พวกเขาทำสีหน้าตกใจ

พวกเขารู้ดีว่า กรทำแบบนี้เพื่อไม่ให้เฉินอวู๋กัดลิ้นของตัวเอง

ต่อมา หลัวหยวนปรับตำแหน่งของผู้ป่วยในท่านอนราบ

แขวก!

หลัวหยวนดึงเสื้อของเขา ค่อยๆหันศีรษะของเขาไปด้านอื่น

นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำลายไหลเข้าไปในทางเดินหายใจ ทำให้หายใจไม่ออก

หลังจากเตรียมร่างกายผู้ป่วยพร้อมเสร็จแล้ว จู่ๆหลัวหยวนก็ชูมือขึ้น และกดลงไปบนร่างกายของเฉินอวู๋อย่างรวดเร็ว เขากดที่จุดเหอกู่ จุดที่อยู่ง่ามนิ้วมือระหว่างนิ้วชี้และนิ้วโป้ง จุดจู๋ซานหลี่ ที่หน้าแข้งใต้หัวเข่าลงมาสี่นิ้วมือ และจุดหย่งเฉวียน จุดตรงกลางอุ้งฝ่าเท้า

ไม่นาน เฉินอวู๋ที่มีอาการกระตุกก็ค่อยๆลดลง ค่อยๆหายใจคงที่ขึ้น

ส่วนที่หน้าผากของหลัวหยวนก็เต็มไปด้วยเหงื่อ

การกดจุดแบบนี้ถึงแม้จะใช้เวลาไม่มาก แต่จำเป็นต้องรวบรวมสมาธิ ต้องประสานให้ตรงกันกับการหายใจและการเต้นของหัวใจของผู้ป่วยถึงจะได้ผล ดังนั้นจึงใช้พลังงานมาก

สุดท้าย ในปากของเฉินอวู๋ก็มีเสียงครางออกมาเบาๆ เขาค่อยๆลืมตาขึ้น เขาพยายามเขย่าหัว และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียว่า " ฉัน......ฉันเป็นอะไรไป? โอ้ย ปวดหัวมากเลย!"

"ไม่มีอะไร เขากดลงไปที่หัวไหล่ของเฉินอวู๋ ศรีษะของเขาเอนลงมา และเขาก็หลับทันที

ในอตนนี้เอง หลัวหยวนถึงได้ถอนหายใจออกยาวๆ

เขาแปลกใจและอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในสมองของเขา

วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะความทรงจำในการกดจุดที่อยู่ในหนังสือลมปราณของฉีโป๋ เฉินอวู๋และคุณท่านหม่าก็คงต้องตายไปแล้ว

ที่น่าเสียดายก็คือที่จริงเขารู้วิธีที่ง่ายกว่านี้ในการช่วยพวกเขาสองคน แต่เขาไม่สามารถใช้พลังฉีที่แท้จริงที่อยู่ในหนังสือลมปราณของฉีโป๋ได้ เนื่องจากไม่มีวิธีที่ได้ผลลัพธิ์ที่รวดเร็ว

ในขณะที่หลัวหยวนแอบคิดในใจอยู่นั้น ฮวางห้าวผู้ริเริ่มจัดงานนี้ขึ้นมาก็เดินมาถามเขาเบาๆว่า " หลัวหยวน จะส่งเฉินอวู๋ไปโรงพยาบาลอีกมั้ย?"

หลัวหยวนได้สติคืนมา เขารู้สึกตกใจ

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สายตาของทุกๆคนต่างก็มาจับจ้องอยู่ที่เขา

สายตาที่คุ้นเคยและแปลกตาเหล่านี้ ถึงแม้แต่ก่อนเขาจะไม่ได้สนใจ แต่ใสตอนนี้เขากลับรู้สึกไม่ชิน

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ สายตาแบบนี้ หลัวหยวนจะสมผัสได้ก็ต่อเมื่อกลับไปที่บ้านเกิด เขาจะเจอกับสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาของชาวบ้าน

เขาในตอนนั้น เป็นคนที่มีอิทธิพลมากในหมู่บ้าน เป็นคนที่ชาวบ้านมักเอาไปพูดติดปากว่า "ลูกบ้านอื่น"

แม้แต่พ่อแม่ของตัวเองยังสั่งสอนน้องสาวน้องชาย ว่าให้ตั้งใจเรียนเมหือนหลัวหยวน ให้ไปเรียนมหาวิทยาลัย จะได้ไม่ต้องเป็นเกษตรกร

"หลัวหยวน นายเป็นไงบ้าง ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?"

ฮวางห้าวเขย่าแขนของหลัวหยวนเบาๆ

หลัวหยวนที่ใจลอยได้สติคืนกลับมาอีกครั้ง เขารีบพูดว่า " ตอนนี้เฉินอวู๋ไม่เป็นอะไรแล้ว! อีกอย่างโรคนี้ก็ไม่ได้รักษาให้หายภายในวันสองวัน ต้องส่งเขากลับบ้าน ให้คนที่บ้านช่วยดูแลเขา! ฉันกลัวว่าจะมีอาการกำเริบขึ้นอีก และจะรุนแรงกว่าด้วย!"

พูดจบ เขาเดินไปนั่งบนโซฟาที่มุมของห้อง และหลับตาพักผ่อน

เขา เหนื่อยมากจริงๆ

อีกอย่าง หลัวหยวนก็เป็นห่วงอาการของเฉินอวู๋มาก

เขาหวังว่าจะสามารถหาวิธีรักษาได้เร็วที่สุด

หลังจากที่ผ่านการรักษาด้วยการกดจุดตามหนังสือลมปราณของฉีโป๋มาสองครั้ง มันเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมมาก

เพียงแต่ การที่ต้องการจะใช้การกดจุดามหนังสือลมปราณของฉีโป๋ให้ได้ดีกว่านี้ เขาจำเป็นต้องฝึกพลังฉีที่แท้จริง

ซึ่งในตอนนี้ หลัวหยวนไม่มีพื้นฐานเลย นอกจากนั้นมันเลยเวลาที่ดีที่สุดในการฝึกพลังฉีที่แท้จริงมาแล้ว การที่ต้องการจะฝึกพลังฉีที่แท้จริงภายในระยะเวลาอันสั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเอาซะเลย

คิดไปคิดมาแล้ว การสืบทอดความทรงจำเหล่านั้น ดูเหมือนจะมีเพียงแค่วิชาจิ่วต้วนจินและวิชาอู่ฉินซี่ที่ฝึกง่ายที่สุด ซึ่งเป็นท่าการฝึกลมปราณภายในและการฝึกการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของข้อต่อ

หนึ่งในนั้น วิชาจิ่วต้วนจินน่าจะเป็นวิชาที่ถูกถ่ายทอดมาจากหมอ เป็นวิชาฝึกกำลังภายใน

หลังจากที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่องจากนักบวชลัทธิเต๋า สุดท้ายก็เลยกลายเป็นวิชาการฝึกที่แพร่หลาย

ส่วนวิชาอู่ฉินซี่กลับกลายเป็นวิชาที่หมอถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่น

อ้างตามลูกศิษย์ที่ฝึกตามหนังสือเล่มนี้ สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ถึงอายุหนึ่งร้อยสิบปี

จากที่รู้มา ถ้าไม่นับคนที่ตายในสงคราม สมัยสามก๊กอายุของคนเฉลี่ยอยู่ที่ห้าสิบปี

การมีอายุถึงหนึ่งร้อยสิบปี ต่อให้มาอยู่ในโลกแห่งเทคโนโลบีทุกวันนี้ ก็ถือว่าเป็นคนที่อมตะมากแล้ว

หลัวหยวนตั้งใจว่าจะฝึกทั้งภายในและภายนอก เขาเชื่อว่าต้องได้รับผลที่ดีเกินครึ่ง

อาจจะเพราะหลัวหยวนมีคุณสมบัติที่โดดเด่น หรืออาจจะเพราะการสืบทอดที่ได้มาจากเครื่องลายครามยังมีพลังบางอย่างที่ยังไม่ได้ถูกค้นพบ ไม่นานความทรงจำของหลัวหยวนก็ว่างเปล่า

ในสมองของหลัวหยวนเหมือนมีเมฆหนา พร่ามัว และไม่ชัดเจน

ความรู้สึกแปลกๆเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น

ภายใต้สภาวะแบบนี้ จู่ๆหลัวหยวนก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรอุ่นๆ ไหลเวียนไปทั่งร่างกายอย่างรวดเร็ว

หลัวหยวนรู้สึกประหลาดใจ เขารวบรวมสมาธิ และค่อยๆฝึกวิชาวิชาจิ่วต้วนจินขั้นแรกในการพ่นลมออกมา

เมื่อเวลาผ่านไป ลมปราณที่แข็งแกร่งก็วิ่งผ่านเส้นไปทั่วร่างกายของเขา

ลมวิ่งผ่านตั้งแต่จุดที่คางไปถึงท้อง โดยผ่านจุดเฉิงเจียง จุดเหลียนเฉวียน จุดเทียนทู จุดเสวียนจี จุดหัวก้าย จุดจื่อกง จุดยวู่ถัง ไปถึงจุดฉวู่กู่

หลังจากนั้นลมก็จะวิ่งกลับไปที่จุดตันเถียน ถือว่าการฝึกวิชาจิ่วต้วนจินในขั้นตอนแรกที่มีชื่อว่า กานยวู่หยิงเซียง
เป็นไปอย่างสมบูรณ์

ตอนที่หลัวหยวนลืมตาขึ้นมา เฉินอวู๋ที่นอนหลับไปก็ถูกเพิ่อนๆพาไปส่งที่บ้านแล้ว

เพื่อนๆคนอื่นๆก็ทยอยกลับไปบ้างแล้ว

เมื่อเขาก้มมองดูนาฬิกาข้อมือถึงกับต้องตกใจ

เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาที!

แต่ในหนังสือระบุไว้ว่า การฝึกวิชาจิ่วต้วนจินปกติต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง

ถึงแม้จะเร็วหน่อย แต่ก็ไม่เร็วขนาดที่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง

ตอนนี้เขาใช้ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งในแปดส่วน

เกิดอะไรขึ้น? !

ทั้งๆที่หลังจากผ่านการฝึกมาอย่างพยายามแล้ว เขารู้สึกว่ามีพลังมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าการฝึกวิชาจิ่วต้วนจินในขั้นกานยวู่หยิงเซียงประสบความสำเร็จ

ในเมื่อฝึกแล้ว ก็ต้องลองใช้ดู!

หลัวหยวนไม่คิดอะไรเยอะ เขาลงมาจากเก้าอี้ สรุปว่าเขากระโดไปถึงโต๊ะกินข้าว

นี่มันเกินสามสี่เมตร!

จิตวิญญาณที่สดชื่นกระฉับกระเฉง สภาพจิตใจที่เงียบสงบ เขารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

เขาขยับร่างกายเล็กน้อย ได้ยินเสียงกระดูกดังกรอบแกรบ รู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลัง

ในตอนนี้เอง มีเสียงหัวเราะดังมาจากห้องโถงด้านนอก " เจียงเชี่ยน คุยกันไว้แล้วหนิว่างานเลี้ยงครั้งนี้ต่างคนต่างจ่าย ให้แฟนของเธอจ่ายเงินดูไม่ดีเลย"

เจียงเชี่ยนพูดอย่างเป็นมิตรว่า " ฮุ่ยฮุ่ย แฟนของฉันไม่ได้สนใจเงินเล็กน้อยแค่นี้หรอก! คนเยอะขนาดนี้จ่ายไปแค่สามพันกว่าหยวนเอง คิดว่าเงินจำนวนนี้ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของเงินที่เขามีเลย พวกเธอก็ถือซะว่าเขาเลี้ยงก็แล้วกัน!"

พูดจบ เจียงเชี่ยนหัวเราะขึ้นมา

เพื่อนๆก็เลยกล่าวขอบคุณหูไห่ฉ่าว

ในตอนนี้ยังมีเพื่อนๆอีกหลายคนที่ยืนรวมตัวกันที่ห้องโถงของโรงแรม

ข้างนอกหิมะตกหนัก เรียกรถแท็กซี่ค่อนข้างยาก

เมื่อเห็นว่าหลัวหยวนเดินออกมา เจียงเชี่ยนก็ทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง " หลัวหยวน ให้ฉันไปส่งมั้ย รถของพี่หูกว้างอยู่นะ เป็นทางผ่านพอดีเลย"

เจียงเชี่ยนพูดพร้อมมองหน้าหูไห่ฉ่าวที่อยู่ข้างๆไปด้วย

หูไห่ฉ่าวพยักหน้า เขาโอบเอวของเจียงเชี่ยนและพูดว่า " ก็ว่าทำไมที่รักถึงให้ผมขับรถBenz Businessออกมา ก็เพื่อจะได้สะดวกต่อทุกคนนี่เอง ผมหล่ะชอบคุณตรงนี้เนี่ยะแหละ ละเอียดอ่อน! คุณวางใจได้ เดี๋ยววันนี้ผมจะให้อาเป้ารับหน้าที่ขับรถไปส่งเพื่อนของคุณ"

"ไม่ต้องแล้วครับ ผมเดินกลับไปเองได้ เพราะไม่ไกลมาก เดินแค่สิบนาทีเอง"

หลัวหยวนพูดจบ เขาก็ดึงประตูโรงแรมออก

ลมเย็นๆของหิมะพัดเข้ามา ทำให้ผู้ชายผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงห้องโถงโรงแรมรู้สึกหนาวสั่น ต่างคนก็ถอยเข้ามาอีกก้าว

ในตอนนี้เอง มีชายหนุ่มสวมสูทสีดำสองคนมาถึง

หลัวหยวนต้องการจะเดินหลบ แต่พวกเขาทั้งสองคนยืนประกบซ้ายขวาไม่ไปไหน

"คุณหมอหลัว ในที่สุดก็หาเจอจนได้ ประธานหม่าให้มาเชิญคุณรีบกลับไปที่โรงพยาบาล อาการของคุณท่านหม่าอยู่ในภาวะอันตราย!"

ผู้ชายชุดดำที่ยืนอยู่ด้านขวาพูดด้วยความเย็นชา

ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็เดินไปยืนตรงหน้าหลัวหยวนด้วยความพร้อมเพรียง พร้อมทั้งยื่นมืออกมาทำท่าทางเชิญ

บรื๋น!

ต่อมา มีรถเบ้นซ์ลีมูซีนมาจอดที่หน้าประตูโรงแรม คนขับรถวิ่งลงมาเปิดประตูให้หลัวหยวน

แน่นอนว่าหลัวหยวนจำคนเหล่านี้ได้ พวกเขาเป็นบอดี้การ์ดของหม่ากงฉี

เพียงแค่หลัวหยวนไม่ค่อยชอบลักษณะแบบนี้ซักเท่าไหร่

เขาเดินตรงไป และเดินหลบรถเบ้นซ์ลีมูซีนคันนั้น ก้าวเข้าไปท่ามกลางหิมะอย่างรวดเร็ว

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

755