บทที่ 7 หัวใจที่เมตตาของแพทย์
by นักมายากลอัจฉริยะ
09:24,Sep 02,2021
เอ้ย?
นี่มันเฉินอวู๋นี่นา!
เกิดอะไรขึ้น!
เรียนมหาวิทยาลัยมาห้าปี ตนอยู่หอห้องเดียวกับเขามาโดยตลอด
เนื่องจากพูดคุยกันถูกคอ ก็เลยไปกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ ทบทวนบทเรียนด้วยกัน ก็ไม่เคยเห็นเขามีอาการป่วย
ไม่ต้องสงสัย นี่เป็นโรคลมชักโดยฉับพลัน!
เมื่อเห้ฯอาการแล้ว เห็นได้ชัดว่าอันตรายมาก
หากรักษาไม่เหมาะสม อาจจะทำให้เสี่ยงถึงชีวิตได้
เพียงชั่วครู่ เขาก็รู้ได้ทันทีว่า ทำไมนักศึกษาแพทย์ที่เพิ่งเรียนจบมาถึงได้ยืนมุงดูอยู่ข้างๆแทน ไม่มีใครเข้าไปช่วย
ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่รู้ว่ามันเสี่ยงขนาดไหน แต่กลัวว่าจะมีปัญหามากกว่า
และเนื่องจากต่างก็รู้ความน่ากลัวของโรคนี้กันดี ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย ต่างก็ยืนดูอยู่ข้างๆแทน
เพราะในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ช่วย ยิ่งทำให้เสี่ยงมากขึ้น
หัวใจความเป็นแพทย์...............
หลัวหยวนรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลกสิ้นดี!
เขามองเฉินอวู๋ที่ถูกเพื่อนจับกดอยู่บนพื้นหันหน้าไปมาด้วยความเจ็บปวด หลัวหยวนรู้สึกเหมือนหัวใจถูกแทงอย่างรุนแรง
เขาผลักหวังเหล่ยที่ยืนขวางหน้าอยู่และพูดว่า " พวกนายเป็นหมอ มองไม่ออกหรือไงว่าเป็นโรคลมชัก? พวกนายสองคนปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ พวกนายทำแบบนี้ยิ่งทำให้เขาเจ็บปวด อีกอย่าง รีบเปิดหน้าต่างเดี๋ยวนี้ และอย่ามายืนมุง อากาศถ่ายเทจะทำให้เขาดีขึ้น"
เมื่อสิ้นสุดคำพูดของหลัวหยวนแล้ว ทุกคนต่างก็สบตากัน หลังจากนั้นก็ถอยออกไป
ทุกคนต่างมองหลัวหยวนด้วยความเย็นชา เป็นสายตาที่พูดว่า
ถ้านายทำได้ นายก็ทำสิ!
แต่ผู้ชายสองคนที่กดตัวของเฉินอวู๋อยู่ กลับไม่ขยับเขยื้อน
เมื่อหลัวหยวนดู ก็พบว่าเป็นผู้ชายไม่คุ้นหน้า
ไม่รู้เป็นเพื่อนของใครที่พามา เขาก็เลยมองไปรอบๆ
"อาหู อาเป้า ปล่อยเถอะ! ไปยืนข้างๆ"
เสียงของหูไห่ฉ่าว
ที่แท้ก็เป็นบอดี้การ์ดของเขานี่เอง
ไม่แปลกใจว่าทำไมไม่มีความรู้ในเรื่องแบบนี้แม้แต่นิดเดียว แถมยังไม่มีปฏิกิริยาต่อคำพูดของตนอีก
เมื่อเห็นว่าพวกเขาสองคนลุกออกไป หลังหยวนไม่พูดอะไรมาก เขารีบหยิบตะเกียบจากบนโต๊ะมาสองอัน เขาคุกเข่าลงเตรียมตัวจะปฐมพยาบาลให้เฉินอวู๋
"หลัวหยวน อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนายนะ! นี่มันโรคลมชักเฉียบพลัน ถ้าประมาทเพียงเล็กน้อยก็อาจจะถึงแก่ชีวิตได้เลยนะ! ฉันว่ารอให้รถโรงพยาบาลมารับตัวไปจะดีกว่านะ!"
ตอนที่หลัวหยวนกำลังจะยื่นมืออกไปนั้น หวังเหล่ยที่ยืนอยู่ด้นหลังก็พูดเตือนขึ้นมาเบาๆ
หลังหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง เขาพูดว่า " หัวใจที่เมตตาของแพทย์ ไม่เคยกลัวความรับผิดชอบเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยนะ!"
พูดจบ เขากดเบาๆลงบนตัวของเฉินอวู๋
ในตอนที่เฉินอวู๋อ้าปาก หลัวหยวนก็เอาตะเกียบวางในปากของเขาเป็นแนวนอน เพื่อให้เขาได้กัดไว้
พวกเขาทำสีหน้าตกใจ
พวกเขารู้ดีว่า กรทำแบบนี้เพื่อไม่ให้เฉินอวู๋กัดลิ้นของตัวเอง
ต่อมา หลัวหยวนปรับตำแหน่งของผู้ป่วยในท่านอนราบ
แขวก!
หลัวหยวนดึงเสื้อของเขา ค่อยๆหันศีรษะของเขาไปด้านอื่น
นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำลายไหลเข้าไปในทางเดินหายใจ ทำให้หายใจไม่ออก
หลังจากเตรียมร่างกายผู้ป่วยพร้อมเสร็จแล้ว จู่ๆหลัวหยวนก็ชูมือขึ้น และกดลงไปบนร่างกายของเฉินอวู๋อย่างรวดเร็ว เขากดที่จุดเหอกู่ จุดที่อยู่ง่ามนิ้วมือระหว่างนิ้วชี้และนิ้วโป้ง จุดจู๋ซานหลี่ ที่หน้าแข้งใต้หัวเข่าลงมาสี่นิ้วมือ และจุดหย่งเฉวียน จุดตรงกลางอุ้งฝ่าเท้า
ไม่นาน เฉินอวู๋ที่มีอาการกระตุกก็ค่อยๆลดลง ค่อยๆหายใจคงที่ขึ้น
ส่วนที่หน้าผากของหลัวหยวนก็เต็มไปด้วยเหงื่อ
การกดจุดแบบนี้ถึงแม้จะใช้เวลาไม่มาก แต่จำเป็นต้องรวบรวมสมาธิ ต้องประสานให้ตรงกันกับการหายใจและการเต้นของหัวใจของผู้ป่วยถึงจะได้ผล ดังนั้นจึงใช้พลังงานมาก
สุดท้าย ในปากของเฉินอวู๋ก็มีเสียงครางออกมาเบาๆ เขาค่อยๆลืมตาขึ้น เขาพยายามเขย่าหัว และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียว่า " ฉัน......ฉันเป็นอะไรไป? โอ้ย ปวดหัวมากเลย!"
"ไม่มีอะไร เขากดลงไปที่หัวไหล่ของเฉินอวู๋ ศรีษะของเขาเอนลงมา และเขาก็หลับทันที
ในอตนนี้เอง หลัวหยวนถึงได้ถอนหายใจออกยาวๆ
เขาแปลกใจและอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในสมองของเขา
วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะความทรงจำในการกดจุดที่อยู่ในหนังสือลมปราณของฉีโป๋ เฉินอวู๋และคุณท่านหม่าก็คงต้องตายไปแล้ว
ที่น่าเสียดายก็คือที่จริงเขารู้วิธีที่ง่ายกว่านี้ในการช่วยพวกเขาสองคน แต่เขาไม่สามารถใช้พลังฉีที่แท้จริงที่อยู่ในหนังสือลมปราณของฉีโป๋ได้ เนื่องจากไม่มีวิธีที่ได้ผลลัพธิ์ที่รวดเร็ว
ในขณะที่หลัวหยวนแอบคิดในใจอยู่นั้น ฮวางห้าวผู้ริเริ่มจัดงานนี้ขึ้นมาก็เดินมาถามเขาเบาๆว่า " หลัวหยวน จะส่งเฉินอวู๋ไปโรงพยาบาลอีกมั้ย?"
หลัวหยวนได้สติคืนมา เขารู้สึกตกใจ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สายตาของทุกๆคนต่างก็มาจับจ้องอยู่ที่เขา
สายตาที่คุ้นเคยและแปลกตาเหล่านี้ ถึงแม้แต่ก่อนเขาจะไม่ได้สนใจ แต่ใสตอนนี้เขากลับรู้สึกไม่ชิน
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ สายตาแบบนี้ หลัวหยวนจะสมผัสได้ก็ต่อเมื่อกลับไปที่บ้านเกิด เขาจะเจอกับสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาของชาวบ้าน
เขาในตอนนั้น เป็นคนที่มีอิทธิพลมากในหมู่บ้าน เป็นคนที่ชาวบ้านมักเอาไปพูดติดปากว่า "ลูกบ้านอื่น"
แม้แต่พ่อแม่ของตัวเองยังสั่งสอนน้องสาวน้องชาย ว่าให้ตั้งใจเรียนเมหือนหลัวหยวน ให้ไปเรียนมหาวิทยาลัย จะได้ไม่ต้องเป็นเกษตรกร
"หลัวหยวน นายเป็นไงบ้าง ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?"
ฮวางห้าวเขย่าแขนของหลัวหยวนเบาๆ
หลัวหยวนที่ใจลอยได้สติคืนกลับมาอีกครั้ง เขารีบพูดว่า " ตอนนี้เฉินอวู๋ไม่เป็นอะไรแล้ว! อีกอย่างโรคนี้ก็ไม่ได้รักษาให้หายภายในวันสองวัน ต้องส่งเขากลับบ้าน ให้คนที่บ้านช่วยดูแลเขา! ฉันกลัวว่าจะมีอาการกำเริบขึ้นอีก และจะรุนแรงกว่าด้วย!"
พูดจบ เขาเดินไปนั่งบนโซฟาที่มุมของห้อง และหลับตาพักผ่อน
เขา เหนื่อยมากจริงๆ
อีกอย่าง หลัวหยวนก็เป็นห่วงอาการของเฉินอวู๋มาก
เขาหวังว่าจะสามารถหาวิธีรักษาได้เร็วที่สุด
หลังจากที่ผ่านการรักษาด้วยการกดจุดตามหนังสือลมปราณของฉีโป๋มาสองครั้ง มันเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมมาก
เพียงแต่ การที่ต้องการจะใช้การกดจุดามหนังสือลมปราณของฉีโป๋ให้ได้ดีกว่านี้ เขาจำเป็นต้องฝึกพลังฉีที่แท้จริง
ซึ่งในตอนนี้ หลัวหยวนไม่มีพื้นฐานเลย นอกจากนั้นมันเลยเวลาที่ดีที่สุดในการฝึกพลังฉีที่แท้จริงมาแล้ว การที่ต้องการจะฝึกพลังฉีที่แท้จริงภายในระยะเวลาอันสั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเอาซะเลย
คิดไปคิดมาแล้ว การสืบทอดความทรงจำเหล่านั้น ดูเหมือนจะมีเพียงแค่วิชาจิ่วต้วนจินและวิชาอู่ฉินซี่ที่ฝึกง่ายที่สุด ซึ่งเป็นท่าการฝึกลมปราณภายในและการฝึกการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของข้อต่อ
หนึ่งในนั้น วิชาจิ่วต้วนจินน่าจะเป็นวิชาที่ถูกถ่ายทอดมาจากหมอ เป็นวิชาฝึกกำลังภายใน
หลังจากที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่องจากนักบวชลัทธิเต๋า สุดท้ายก็เลยกลายเป็นวิชาการฝึกที่แพร่หลาย
ส่วนวิชาอู่ฉินซี่กลับกลายเป็นวิชาที่หมอถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่น
อ้างตามลูกศิษย์ที่ฝึกตามหนังสือเล่มนี้ สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ถึงอายุหนึ่งร้อยสิบปี
จากที่รู้มา ถ้าไม่นับคนที่ตายในสงคราม สมัยสามก๊กอายุของคนเฉลี่ยอยู่ที่ห้าสิบปี
การมีอายุถึงหนึ่งร้อยสิบปี ต่อให้มาอยู่ในโลกแห่งเทคโนโลบีทุกวันนี้ ก็ถือว่าเป็นคนที่อมตะมากแล้ว
หลัวหยวนตั้งใจว่าจะฝึกทั้งภายในและภายนอก เขาเชื่อว่าต้องได้รับผลที่ดีเกินครึ่ง
อาจจะเพราะหลัวหยวนมีคุณสมบัติที่โดดเด่น หรืออาจจะเพราะการสืบทอดที่ได้มาจากเครื่องลายครามยังมีพลังบางอย่างที่ยังไม่ได้ถูกค้นพบ ไม่นานความทรงจำของหลัวหยวนก็ว่างเปล่า
ในสมองของหลัวหยวนเหมือนมีเมฆหนา พร่ามัว และไม่ชัดเจน
ความรู้สึกแปลกๆเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น
ภายใต้สภาวะแบบนี้ จู่ๆหลัวหยวนก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรอุ่นๆ ไหลเวียนไปทั่งร่างกายอย่างรวดเร็ว
หลัวหยวนรู้สึกประหลาดใจ เขารวบรวมสมาธิ และค่อยๆฝึกวิชาวิชาจิ่วต้วนจินขั้นแรกในการพ่นลมออกมา
เมื่อเวลาผ่านไป ลมปราณที่แข็งแกร่งก็วิ่งผ่านเส้นไปทั่วร่างกายของเขา
ลมวิ่งผ่านตั้งแต่จุดที่คางไปถึงท้อง โดยผ่านจุดเฉิงเจียง จุดเหลียนเฉวียน จุดเทียนทู จุดเสวียนจี จุดหัวก้าย จุดจื่อกง จุดยวู่ถัง ไปถึงจุดฉวู่กู่
หลังจากนั้นลมก็จะวิ่งกลับไปที่จุดตันเถียน ถือว่าการฝึกวิชาจิ่วต้วนจินในขั้นตอนแรกที่มีชื่อว่า กานยวู่หยิงเซียง
เป็นไปอย่างสมบูรณ์
ตอนที่หลัวหยวนลืมตาขึ้นมา เฉินอวู๋ที่นอนหลับไปก็ถูกเพิ่อนๆพาไปส่งที่บ้านแล้ว
เพื่อนๆคนอื่นๆก็ทยอยกลับไปบ้างแล้ว
เมื่อเขาก้มมองดูนาฬิกาข้อมือถึงกับต้องตกใจ
เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาที!
แต่ในหนังสือระบุไว้ว่า การฝึกวิชาจิ่วต้วนจินปกติต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง
ถึงแม้จะเร็วหน่อย แต่ก็ไม่เร็วขนาดที่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง
ตอนนี้เขาใช้ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งในแปดส่วน
เกิดอะไรขึ้น? !
ทั้งๆที่หลังจากผ่านการฝึกมาอย่างพยายามแล้ว เขารู้สึกว่ามีพลังมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าการฝึกวิชาจิ่วต้วนจินในขั้นกานยวู่หยิงเซียงประสบความสำเร็จ
ในเมื่อฝึกแล้ว ก็ต้องลองใช้ดู!
หลัวหยวนไม่คิดอะไรเยอะ เขาลงมาจากเก้าอี้ สรุปว่าเขากระโดไปถึงโต๊ะกินข้าว
นี่มันเกินสามสี่เมตร!
จิตวิญญาณที่สดชื่นกระฉับกระเฉง สภาพจิตใจที่เงียบสงบ เขารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
เขาขยับร่างกายเล็กน้อย ได้ยินเสียงกระดูกดังกรอบแกรบ รู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลัง
ในตอนนี้เอง มีเสียงหัวเราะดังมาจากห้องโถงด้านนอก " เจียงเชี่ยน คุยกันไว้แล้วหนิว่างานเลี้ยงครั้งนี้ต่างคนต่างจ่าย ให้แฟนของเธอจ่ายเงินดูไม่ดีเลย"
เจียงเชี่ยนพูดอย่างเป็นมิตรว่า " ฮุ่ยฮุ่ย แฟนของฉันไม่ได้สนใจเงินเล็กน้อยแค่นี้หรอก! คนเยอะขนาดนี้จ่ายไปแค่สามพันกว่าหยวนเอง คิดว่าเงินจำนวนนี้ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของเงินที่เขามีเลย พวกเธอก็ถือซะว่าเขาเลี้ยงก็แล้วกัน!"
พูดจบ เจียงเชี่ยนหัวเราะขึ้นมา
เพื่อนๆก็เลยกล่าวขอบคุณหูไห่ฉ่าว
ในตอนนี้ยังมีเพื่อนๆอีกหลายคนที่ยืนรวมตัวกันที่ห้องโถงของโรงแรม
ข้างนอกหิมะตกหนัก เรียกรถแท็กซี่ค่อนข้างยาก
เมื่อเห็นว่าหลัวหยวนเดินออกมา เจียงเชี่ยนก็ทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง " หลัวหยวน ให้ฉันไปส่งมั้ย รถของพี่หูกว้างอยู่นะ เป็นทางผ่านพอดีเลย"
เจียงเชี่ยนพูดพร้อมมองหน้าหูไห่ฉ่าวที่อยู่ข้างๆไปด้วย
หูไห่ฉ่าวพยักหน้า เขาโอบเอวของเจียงเชี่ยนและพูดว่า " ก็ว่าทำไมที่รักถึงให้ผมขับรถBenz Businessออกมา ก็เพื่อจะได้สะดวกต่อทุกคนนี่เอง ผมหล่ะชอบคุณตรงนี้เนี่ยะแหละ ละเอียดอ่อน! คุณวางใจได้ เดี๋ยววันนี้ผมจะให้อาเป้ารับหน้าที่ขับรถไปส่งเพื่อนของคุณ"
"ไม่ต้องแล้วครับ ผมเดินกลับไปเองได้ เพราะไม่ไกลมาก เดินแค่สิบนาทีเอง"
หลัวหยวนพูดจบ เขาก็ดึงประตูโรงแรมออก
ลมเย็นๆของหิมะพัดเข้ามา ทำให้ผู้ชายผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงห้องโถงโรงแรมรู้สึกหนาวสั่น ต่างคนก็ถอยเข้ามาอีกก้าว
ในตอนนี้เอง มีชายหนุ่มสวมสูทสีดำสองคนมาถึง
หลัวหยวนต้องการจะเดินหลบ แต่พวกเขาทั้งสองคนยืนประกบซ้ายขวาไม่ไปไหน
"คุณหมอหลัว ในที่สุดก็หาเจอจนได้ ประธานหม่าให้มาเชิญคุณรีบกลับไปที่โรงพยาบาล อาการของคุณท่านหม่าอยู่ในภาวะอันตราย!"
ผู้ชายชุดดำที่ยืนอยู่ด้านขวาพูดด้วยความเย็นชา
ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็เดินไปยืนตรงหน้าหลัวหยวนด้วยความพร้อมเพรียง พร้อมทั้งยื่นมืออกมาทำท่าทางเชิญ
บรื๋น!
ต่อมา มีรถเบ้นซ์ลีมูซีนมาจอดที่หน้าประตูโรงแรม คนขับรถวิ่งลงมาเปิดประตูให้หลัวหยวน
แน่นอนว่าหลัวหยวนจำคนเหล่านี้ได้ พวกเขาเป็นบอดี้การ์ดของหม่ากงฉี
เพียงแค่หลัวหยวนไม่ค่อยชอบลักษณะแบบนี้ซักเท่าไหร่
เขาเดินตรงไป และเดินหลบรถเบ้นซ์ลีมูซีนคันนั้น ก้าวเข้าไปท่ามกลางหิมะอย่างรวดเร็ว
นี่มันเฉินอวู๋นี่นา!
เกิดอะไรขึ้น!
เรียนมหาวิทยาลัยมาห้าปี ตนอยู่หอห้องเดียวกับเขามาโดยตลอด
เนื่องจากพูดคุยกันถูกคอ ก็เลยไปกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ ทบทวนบทเรียนด้วยกัน ก็ไม่เคยเห็นเขามีอาการป่วย
ไม่ต้องสงสัย นี่เป็นโรคลมชักโดยฉับพลัน!
เมื่อเห้ฯอาการแล้ว เห็นได้ชัดว่าอันตรายมาก
หากรักษาไม่เหมาะสม อาจจะทำให้เสี่ยงถึงชีวิตได้
เพียงชั่วครู่ เขาก็รู้ได้ทันทีว่า ทำไมนักศึกษาแพทย์ที่เพิ่งเรียนจบมาถึงได้ยืนมุงดูอยู่ข้างๆแทน ไม่มีใครเข้าไปช่วย
ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่รู้ว่ามันเสี่ยงขนาดไหน แต่กลัวว่าจะมีปัญหามากกว่า
และเนื่องจากต่างก็รู้ความน่ากลัวของโรคนี้กันดี ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย ต่างก็ยืนดูอยู่ข้างๆแทน
เพราะในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ช่วย ยิ่งทำให้เสี่ยงมากขึ้น
หัวใจความเป็นแพทย์...............
หลัวหยวนรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลกสิ้นดี!
เขามองเฉินอวู๋ที่ถูกเพื่อนจับกดอยู่บนพื้นหันหน้าไปมาด้วยความเจ็บปวด หลัวหยวนรู้สึกเหมือนหัวใจถูกแทงอย่างรุนแรง
เขาผลักหวังเหล่ยที่ยืนขวางหน้าอยู่และพูดว่า " พวกนายเป็นหมอ มองไม่ออกหรือไงว่าเป็นโรคลมชัก? พวกนายสองคนปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ พวกนายทำแบบนี้ยิ่งทำให้เขาเจ็บปวด อีกอย่าง รีบเปิดหน้าต่างเดี๋ยวนี้ และอย่ามายืนมุง อากาศถ่ายเทจะทำให้เขาดีขึ้น"
เมื่อสิ้นสุดคำพูดของหลัวหยวนแล้ว ทุกคนต่างก็สบตากัน หลังจากนั้นก็ถอยออกไป
ทุกคนต่างมองหลัวหยวนด้วยความเย็นชา เป็นสายตาที่พูดว่า
ถ้านายทำได้ นายก็ทำสิ!
แต่ผู้ชายสองคนที่กดตัวของเฉินอวู๋อยู่ กลับไม่ขยับเขยื้อน
เมื่อหลัวหยวนดู ก็พบว่าเป็นผู้ชายไม่คุ้นหน้า
ไม่รู้เป็นเพื่อนของใครที่พามา เขาก็เลยมองไปรอบๆ
"อาหู อาเป้า ปล่อยเถอะ! ไปยืนข้างๆ"
เสียงของหูไห่ฉ่าว
ที่แท้ก็เป็นบอดี้การ์ดของเขานี่เอง
ไม่แปลกใจว่าทำไมไม่มีความรู้ในเรื่องแบบนี้แม้แต่นิดเดียว แถมยังไม่มีปฏิกิริยาต่อคำพูดของตนอีก
เมื่อเห็นว่าพวกเขาสองคนลุกออกไป หลังหยวนไม่พูดอะไรมาก เขารีบหยิบตะเกียบจากบนโต๊ะมาสองอัน เขาคุกเข่าลงเตรียมตัวจะปฐมพยาบาลให้เฉินอวู๋
"หลัวหยวน อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนายนะ! นี่มันโรคลมชักเฉียบพลัน ถ้าประมาทเพียงเล็กน้อยก็อาจจะถึงแก่ชีวิตได้เลยนะ! ฉันว่ารอให้รถโรงพยาบาลมารับตัวไปจะดีกว่านะ!"
ตอนที่หลัวหยวนกำลังจะยื่นมืออกไปนั้น หวังเหล่ยที่ยืนอยู่ด้นหลังก็พูดเตือนขึ้นมาเบาๆ
หลังหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง เขาพูดว่า " หัวใจที่เมตตาของแพทย์ ไม่เคยกลัวความรับผิดชอบเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยนะ!"
พูดจบ เขากดเบาๆลงบนตัวของเฉินอวู๋
ในตอนที่เฉินอวู๋อ้าปาก หลัวหยวนก็เอาตะเกียบวางในปากของเขาเป็นแนวนอน เพื่อให้เขาได้กัดไว้
พวกเขาทำสีหน้าตกใจ
พวกเขารู้ดีว่า กรทำแบบนี้เพื่อไม่ให้เฉินอวู๋กัดลิ้นของตัวเอง
ต่อมา หลัวหยวนปรับตำแหน่งของผู้ป่วยในท่านอนราบ
แขวก!
หลัวหยวนดึงเสื้อของเขา ค่อยๆหันศีรษะของเขาไปด้านอื่น
นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำลายไหลเข้าไปในทางเดินหายใจ ทำให้หายใจไม่ออก
หลังจากเตรียมร่างกายผู้ป่วยพร้อมเสร็จแล้ว จู่ๆหลัวหยวนก็ชูมือขึ้น และกดลงไปบนร่างกายของเฉินอวู๋อย่างรวดเร็ว เขากดที่จุดเหอกู่ จุดที่อยู่ง่ามนิ้วมือระหว่างนิ้วชี้และนิ้วโป้ง จุดจู๋ซานหลี่ ที่หน้าแข้งใต้หัวเข่าลงมาสี่นิ้วมือ และจุดหย่งเฉวียน จุดตรงกลางอุ้งฝ่าเท้า
ไม่นาน เฉินอวู๋ที่มีอาการกระตุกก็ค่อยๆลดลง ค่อยๆหายใจคงที่ขึ้น
ส่วนที่หน้าผากของหลัวหยวนก็เต็มไปด้วยเหงื่อ
การกดจุดแบบนี้ถึงแม้จะใช้เวลาไม่มาก แต่จำเป็นต้องรวบรวมสมาธิ ต้องประสานให้ตรงกันกับการหายใจและการเต้นของหัวใจของผู้ป่วยถึงจะได้ผล ดังนั้นจึงใช้พลังงานมาก
สุดท้าย ในปากของเฉินอวู๋ก็มีเสียงครางออกมาเบาๆ เขาค่อยๆลืมตาขึ้น เขาพยายามเขย่าหัว และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียว่า " ฉัน......ฉันเป็นอะไรไป? โอ้ย ปวดหัวมากเลย!"
"ไม่มีอะไร เขากดลงไปที่หัวไหล่ของเฉินอวู๋ ศรีษะของเขาเอนลงมา และเขาก็หลับทันที
ในอตนนี้เอง หลัวหยวนถึงได้ถอนหายใจออกยาวๆ
เขาแปลกใจและอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในสมองของเขา
วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะความทรงจำในการกดจุดที่อยู่ในหนังสือลมปราณของฉีโป๋ เฉินอวู๋และคุณท่านหม่าก็คงต้องตายไปแล้ว
ที่น่าเสียดายก็คือที่จริงเขารู้วิธีที่ง่ายกว่านี้ในการช่วยพวกเขาสองคน แต่เขาไม่สามารถใช้พลังฉีที่แท้จริงที่อยู่ในหนังสือลมปราณของฉีโป๋ได้ เนื่องจากไม่มีวิธีที่ได้ผลลัพธิ์ที่รวดเร็ว
ในขณะที่หลัวหยวนแอบคิดในใจอยู่นั้น ฮวางห้าวผู้ริเริ่มจัดงานนี้ขึ้นมาก็เดินมาถามเขาเบาๆว่า " หลัวหยวน จะส่งเฉินอวู๋ไปโรงพยาบาลอีกมั้ย?"
หลัวหยวนได้สติคืนมา เขารู้สึกตกใจ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สายตาของทุกๆคนต่างก็มาจับจ้องอยู่ที่เขา
สายตาที่คุ้นเคยและแปลกตาเหล่านี้ ถึงแม้แต่ก่อนเขาจะไม่ได้สนใจ แต่ใสตอนนี้เขากลับรู้สึกไม่ชิน
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ สายตาแบบนี้ หลัวหยวนจะสมผัสได้ก็ต่อเมื่อกลับไปที่บ้านเกิด เขาจะเจอกับสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาของชาวบ้าน
เขาในตอนนั้น เป็นคนที่มีอิทธิพลมากในหมู่บ้าน เป็นคนที่ชาวบ้านมักเอาไปพูดติดปากว่า "ลูกบ้านอื่น"
แม้แต่พ่อแม่ของตัวเองยังสั่งสอนน้องสาวน้องชาย ว่าให้ตั้งใจเรียนเมหือนหลัวหยวน ให้ไปเรียนมหาวิทยาลัย จะได้ไม่ต้องเป็นเกษตรกร
"หลัวหยวน นายเป็นไงบ้าง ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?"
ฮวางห้าวเขย่าแขนของหลัวหยวนเบาๆ
หลัวหยวนที่ใจลอยได้สติคืนกลับมาอีกครั้ง เขารีบพูดว่า " ตอนนี้เฉินอวู๋ไม่เป็นอะไรแล้ว! อีกอย่างโรคนี้ก็ไม่ได้รักษาให้หายภายในวันสองวัน ต้องส่งเขากลับบ้าน ให้คนที่บ้านช่วยดูแลเขา! ฉันกลัวว่าจะมีอาการกำเริบขึ้นอีก และจะรุนแรงกว่าด้วย!"
พูดจบ เขาเดินไปนั่งบนโซฟาที่มุมของห้อง และหลับตาพักผ่อน
เขา เหนื่อยมากจริงๆ
อีกอย่าง หลัวหยวนก็เป็นห่วงอาการของเฉินอวู๋มาก
เขาหวังว่าจะสามารถหาวิธีรักษาได้เร็วที่สุด
หลังจากที่ผ่านการรักษาด้วยการกดจุดตามหนังสือลมปราณของฉีโป๋มาสองครั้ง มันเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมมาก
เพียงแต่ การที่ต้องการจะใช้การกดจุดามหนังสือลมปราณของฉีโป๋ให้ได้ดีกว่านี้ เขาจำเป็นต้องฝึกพลังฉีที่แท้จริง
ซึ่งในตอนนี้ หลัวหยวนไม่มีพื้นฐานเลย นอกจากนั้นมันเลยเวลาที่ดีที่สุดในการฝึกพลังฉีที่แท้จริงมาแล้ว การที่ต้องการจะฝึกพลังฉีที่แท้จริงภายในระยะเวลาอันสั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเอาซะเลย
คิดไปคิดมาแล้ว การสืบทอดความทรงจำเหล่านั้น ดูเหมือนจะมีเพียงแค่วิชาจิ่วต้วนจินและวิชาอู่ฉินซี่ที่ฝึกง่ายที่สุด ซึ่งเป็นท่าการฝึกลมปราณภายในและการฝึกการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของข้อต่อ
หนึ่งในนั้น วิชาจิ่วต้วนจินน่าจะเป็นวิชาที่ถูกถ่ายทอดมาจากหมอ เป็นวิชาฝึกกำลังภายใน
หลังจากที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่องจากนักบวชลัทธิเต๋า สุดท้ายก็เลยกลายเป็นวิชาการฝึกที่แพร่หลาย
ส่วนวิชาอู่ฉินซี่กลับกลายเป็นวิชาที่หมอถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่น
อ้างตามลูกศิษย์ที่ฝึกตามหนังสือเล่มนี้ สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ถึงอายุหนึ่งร้อยสิบปี
จากที่รู้มา ถ้าไม่นับคนที่ตายในสงคราม สมัยสามก๊กอายุของคนเฉลี่ยอยู่ที่ห้าสิบปี
การมีอายุถึงหนึ่งร้อยสิบปี ต่อให้มาอยู่ในโลกแห่งเทคโนโลบีทุกวันนี้ ก็ถือว่าเป็นคนที่อมตะมากแล้ว
หลัวหยวนตั้งใจว่าจะฝึกทั้งภายในและภายนอก เขาเชื่อว่าต้องได้รับผลที่ดีเกินครึ่ง
อาจจะเพราะหลัวหยวนมีคุณสมบัติที่โดดเด่น หรืออาจจะเพราะการสืบทอดที่ได้มาจากเครื่องลายครามยังมีพลังบางอย่างที่ยังไม่ได้ถูกค้นพบ ไม่นานความทรงจำของหลัวหยวนก็ว่างเปล่า
ในสมองของหลัวหยวนเหมือนมีเมฆหนา พร่ามัว และไม่ชัดเจน
ความรู้สึกแปลกๆเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น
ภายใต้สภาวะแบบนี้ จู่ๆหลัวหยวนก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรอุ่นๆ ไหลเวียนไปทั่งร่างกายอย่างรวดเร็ว
หลัวหยวนรู้สึกประหลาดใจ เขารวบรวมสมาธิ และค่อยๆฝึกวิชาวิชาจิ่วต้วนจินขั้นแรกในการพ่นลมออกมา
เมื่อเวลาผ่านไป ลมปราณที่แข็งแกร่งก็วิ่งผ่านเส้นไปทั่วร่างกายของเขา
ลมวิ่งผ่านตั้งแต่จุดที่คางไปถึงท้อง โดยผ่านจุดเฉิงเจียง จุดเหลียนเฉวียน จุดเทียนทู จุดเสวียนจี จุดหัวก้าย จุดจื่อกง จุดยวู่ถัง ไปถึงจุดฉวู่กู่
หลังจากนั้นลมก็จะวิ่งกลับไปที่จุดตันเถียน ถือว่าการฝึกวิชาจิ่วต้วนจินในขั้นตอนแรกที่มีชื่อว่า กานยวู่หยิงเซียง
เป็นไปอย่างสมบูรณ์
ตอนที่หลัวหยวนลืมตาขึ้นมา เฉินอวู๋ที่นอนหลับไปก็ถูกเพิ่อนๆพาไปส่งที่บ้านแล้ว
เพื่อนๆคนอื่นๆก็ทยอยกลับไปบ้างแล้ว
เมื่อเขาก้มมองดูนาฬิกาข้อมือถึงกับต้องตกใจ
เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาที!
แต่ในหนังสือระบุไว้ว่า การฝึกวิชาจิ่วต้วนจินปกติต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง
ถึงแม้จะเร็วหน่อย แต่ก็ไม่เร็วขนาดที่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง
ตอนนี้เขาใช้ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งในแปดส่วน
เกิดอะไรขึ้น? !
ทั้งๆที่หลังจากผ่านการฝึกมาอย่างพยายามแล้ว เขารู้สึกว่ามีพลังมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าการฝึกวิชาจิ่วต้วนจินในขั้นกานยวู่หยิงเซียงประสบความสำเร็จ
ในเมื่อฝึกแล้ว ก็ต้องลองใช้ดู!
หลัวหยวนไม่คิดอะไรเยอะ เขาลงมาจากเก้าอี้ สรุปว่าเขากระโดไปถึงโต๊ะกินข้าว
นี่มันเกินสามสี่เมตร!
จิตวิญญาณที่สดชื่นกระฉับกระเฉง สภาพจิตใจที่เงียบสงบ เขารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
เขาขยับร่างกายเล็กน้อย ได้ยินเสียงกระดูกดังกรอบแกรบ รู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลัง
ในตอนนี้เอง มีเสียงหัวเราะดังมาจากห้องโถงด้านนอก " เจียงเชี่ยน คุยกันไว้แล้วหนิว่างานเลี้ยงครั้งนี้ต่างคนต่างจ่าย ให้แฟนของเธอจ่ายเงินดูไม่ดีเลย"
เจียงเชี่ยนพูดอย่างเป็นมิตรว่า " ฮุ่ยฮุ่ย แฟนของฉันไม่ได้สนใจเงินเล็กน้อยแค่นี้หรอก! คนเยอะขนาดนี้จ่ายไปแค่สามพันกว่าหยวนเอง คิดว่าเงินจำนวนนี้ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของเงินที่เขามีเลย พวกเธอก็ถือซะว่าเขาเลี้ยงก็แล้วกัน!"
พูดจบ เจียงเชี่ยนหัวเราะขึ้นมา
เพื่อนๆก็เลยกล่าวขอบคุณหูไห่ฉ่าว
ในตอนนี้ยังมีเพื่อนๆอีกหลายคนที่ยืนรวมตัวกันที่ห้องโถงของโรงแรม
ข้างนอกหิมะตกหนัก เรียกรถแท็กซี่ค่อนข้างยาก
เมื่อเห็นว่าหลัวหยวนเดินออกมา เจียงเชี่ยนก็ทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง " หลัวหยวน ให้ฉันไปส่งมั้ย รถของพี่หูกว้างอยู่นะ เป็นทางผ่านพอดีเลย"
เจียงเชี่ยนพูดพร้อมมองหน้าหูไห่ฉ่าวที่อยู่ข้างๆไปด้วย
หูไห่ฉ่าวพยักหน้า เขาโอบเอวของเจียงเชี่ยนและพูดว่า " ก็ว่าทำไมที่รักถึงให้ผมขับรถBenz Businessออกมา ก็เพื่อจะได้สะดวกต่อทุกคนนี่เอง ผมหล่ะชอบคุณตรงนี้เนี่ยะแหละ ละเอียดอ่อน! คุณวางใจได้ เดี๋ยววันนี้ผมจะให้อาเป้ารับหน้าที่ขับรถไปส่งเพื่อนของคุณ"
"ไม่ต้องแล้วครับ ผมเดินกลับไปเองได้ เพราะไม่ไกลมาก เดินแค่สิบนาทีเอง"
หลัวหยวนพูดจบ เขาก็ดึงประตูโรงแรมออก
ลมเย็นๆของหิมะพัดเข้ามา ทำให้ผู้ชายผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงห้องโถงโรงแรมรู้สึกหนาวสั่น ต่างคนก็ถอยเข้ามาอีกก้าว
ในตอนนี้เอง มีชายหนุ่มสวมสูทสีดำสองคนมาถึง
หลัวหยวนต้องการจะเดินหลบ แต่พวกเขาทั้งสองคนยืนประกบซ้ายขวาไม่ไปไหน
"คุณหมอหลัว ในที่สุดก็หาเจอจนได้ ประธานหม่าให้มาเชิญคุณรีบกลับไปที่โรงพยาบาล อาการของคุณท่านหม่าอยู่ในภาวะอันตราย!"
ผู้ชายชุดดำที่ยืนอยู่ด้านขวาพูดด้วยความเย็นชา
ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็เดินไปยืนตรงหน้าหลัวหยวนด้วยความพร้อมเพรียง พร้อมทั้งยื่นมืออกมาทำท่าทางเชิญ
บรื๋น!
ต่อมา มีรถเบ้นซ์ลีมูซีนมาจอดที่หน้าประตูโรงแรม คนขับรถวิ่งลงมาเปิดประตูให้หลัวหยวน
แน่นอนว่าหลัวหยวนจำคนเหล่านี้ได้ พวกเขาเป็นบอดี้การ์ดของหม่ากงฉี
เพียงแค่หลัวหยวนไม่ค่อยชอบลักษณะแบบนี้ซักเท่าไหร่
เขาเดินตรงไป และเดินหลบรถเบ้นซ์ลีมูซีนคันนั้น ก้าวเข้าไปท่ามกลางหิมะอย่างรวดเร็ว
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved