บทที่ 10 เป็นคนไม่ลืมบุญคุณคน
by นักมายากลอัจฉริยะ
09:24,Sep 02,2021
ผมต้องการบินให้ไกลกว่าเดิม บินให้ไกลกว่าเดิม...............
จู่ๆเสี่ยงโทรศัพท์ที่คุ้นเคยก็ทำลายความเงียบของสวน
เมื่อเขาหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นเสียงนาฬิกาปลุก
การที่เขาตั้งเสียงนาฬิกาปลุกเป็นเสียงเดียวกันกับเสียงของสายเรียกเข้า ก็เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ถ้าตั้งเสียงนาฬิกาปลุกเป็นเสียงอื่นหลัวหยวนจะไม่ตื่น
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนเขาไม่จเป็นต้องตั้งนาฬิกาปลุกอีกแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว ในเมื่อเขาตอบตกลงเหนียนชิงอวิ๋นไว้แล้ว เขาจึงต้องล้างหน้าแปรงฟันและแต่งตัว เพื่อไปทำงานตามปกติ
ถึงแม้กฏระเบียบบอกว่าแปดโมงครึ่งเริ่มทำงาน แต่เขาอยากจะไปหาคุณลุงเจียงก่อน ไปดูว่ามีอะไรต้องช่วยมั้ย
เมื่อเขาเดินมาถึงหน้าประตูตึกหอพัก เขาก็พบว่าทุกคนมีสายตาแปลกๆมองมาทางเขา
อาจจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานนี้...........
หลัวหยวนสำรวจบนร่างกายตัวเอง
แค่ชั่วครู่ เขาก็รู้เหตุผล
ในช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะตก แต่เขากลับสวมชุดนอนบางๆออกมาข้างนอก อีกทั้งยังไม่ได้รู้สึกถึงความหนาวแต่อย่างใด
"เสี่ยวหลัว อากาศเย็นขนาดนี้ คุณสวมเสื้อผ้าบางๆออกมาข้างนอกทำไม? อย่าประมาทเพราะคิดว่าตัวเองยังเป็นหนุ่มอยู่นะ คุณเป็นหมอ ทำไมถึงไม่รู้เรื่องเลย! อย่าคิดว่าตัวเงยังหนุ่มเลยทนไหว ถ้าเกิดคุณป่วยขึ้นมา คุณอยู่ข้างนอกคนเดียวจะไม่มีใครคอยดูแลนะ! " ป้าจางเพื่อนบ้านที่กำลังจะออกไปข้างนอก พูดเตือนเขา
หลัวหยวนและเพื่อนบ้านที่อยู่ห้องตรงข้ามมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดี
"หลัวหยวนตื่นมาออกกำลังกายตั้งแต่เช้าแล้ว! ว่าไป คุณหมอหลัว ปกติก็ไม่เคยเห็นคุณมีนิสัยออกกำลังกายตอนเช้าตรู่นี่นา!" ป้าหวังที่กำลังจะเดินออกไปพร้อมกับป้าจางพูดขึ้นมา
"ขอบคุณคุณป้าทั้งสองคนมากครับที่เป็นห่วง ครั้งหน้าผมจะระวัง ครั้งหน้าจะระวังครับ!"
หลัวหยวนพูดจบ เขาก็รีบขึ้นชั้นสองทันที
"จางฉิน เธอสังเกตเห็นมั้ย? ว่าหลัวหยวนมีผิวพรรณที่ดีมกๆเลย! เขาผิวขาวกว่าเด็กผู้หญิงซะอีก! ไม่รู้ว่าเขาใช้เครื่องสำอางค์อะไร..............." ป้าหวังพูดเบาๆ
"หลัวหยวนเป็นคนเรียบง่าย ได้ยินมาว่าบ้านเกิดเขาอยู่ชนบท เขาน่าจะไม่ได้ใช้เครื่องสำอางค์อะไรหรอก" ป้าจางพูดส่ายหน้า
"ไม่จริง แสดงว่าเธอไม่ได้กลิ่นหอมๆจากร่างกายของเขาหรอ? หอมมากเลย! ไม่ได้แล้ว ไว้ฉันค่อยมาถามเขา ว่ามันคือกลิ่นหอมของอะไร!"
"อื้ม ก็จริง กลิ่นนี้มันหอมมากๆเลย............."
ถึงแม้หลัวหยวนจะเดินขึ้นชั้นบนไปแล้ว แต่เขาก็ยังได้ยินคำบทสนทนาที่ป้าทั้งสองคนพูด
เขาตั้งใจลองไปส่องกระจกดู และก็จริงๆด้วย ดูเหมือนผิวของตนจะขาวขึ้น
เขาอดไม่ไหวลองลูบดู เรียบเนียนราวกับหยก เหมือนผิวของเด็กทารก............
อีกอย่าง นอกจากบนร่างกายจะไม่มีกลิ่นเหงื่อแล้ว แต่กลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดมแล้วสดชื่น
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หรือว่าการฝึกวิชาอู่ฉินซี่และวิชาจิ่วต้วนจินมีประโยชน์เรื่องนี้ด้วย..............
คิดไปคิดมาแล้ว ดูเหมือนจะโยนความคิดไปที่เรื่องของการสืบทอดมรดกลึกลับที่เขาได้รับ
เพียงแค่เขาในตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจสิ่งที่เขาได้รับมาเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ทำให้เขาไม่รู้ที่มาที่ไป
เพิ่งผ่านไปแค่คืนเดียวเท่านั้น แต่ร่างกายของเขากลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทำให้หลัวหยวนยิ่งมีความมั่นใจต่ออนาคตมากขึ้น
หลัวหยวนกลับมาถึงห้องพักของตัวเองด้วยความอารมณ์ดี เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าค่อนข้างบางและออกจากห้อง
และมันก็เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้ ตอนที่เข้าก้าวเข้าไปในโรงพยาบาล เขาก็พบว่าสายตาของคนคุ้นเคยเหล่านั้นมีแววตาแปลกๆ
แน่นอนว่าเขารู้เหตุผลเป็นอย่างดี เขาก็เลยยิ้มและพยักหน้าเป็นการทักทาย และเดินตรงไปที่ห้องทำงาน
จู่ๆก็มีเสียงเรียกเขาดังขึ้น
"คุณหมอหลัว รอก่อนค่ะ!"
"พี่หวัง มีอะไรมั้ยครับ?" หลัวหยวนพูดยิ้มๆ
"เอ่อคือ..........เอ่อ สีหน้าของคุณดีกว่าเมื่อวานแล้วนะ! คุณเอาช็อคโกแล็ตพวกนี้ไป ถ้าว่างๆก็กินซักชิ้นสองชิ้น คุณเองเป็นหมอ คุณต้องดูแลตัวเองดีดีสิ" พี่หวังพูดยิ้มๆ
หลัวหยวนมองกล่องช็อคโกแล็ตกล่องใหญ่ที่อยู่ในมือของเธอ ในใจกลับรู้สึกแปลกๆ
โชคดีที่พี่หวังอายุสามสิบกว่าแล้ว ลูกของเธอก็เรียนชั้นอนุบาลแล้ว ไม่งั้นเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงการพูดของเธอ เขาอาจจะคิดว่าเธอมีความรู้สึกอะไรกับเขาได้
ในเวลาปกติ ถึงแม้จะได้พูดคุยกันไม่น้อยเพราะต้องทำงานร่วมกัน ต่างคนก็ต่างค่อนข้างคุ้นเคยกัน แต่ปฏิกิริยาอาการในวันนี้ ดูเหมือนจะเกินกว่าเดิมไปหน่อย
หนือเป็นเพราะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้
แต่ในความทรงจำ พี่หวังไม่ได้เป็นคนประเภทนี้
เมื่อเห็นว่าหลัวหยวนมีสีหน้าลังเล และเขาก็ไม่ได้รับช็อคโกแลตไป พี่หวังก็เลยพูดล้อเล่นว่า " ทำไม คุณหมอหลัวผู้ยิ่งใหญ่ไม่สนใจหรอ?"
หลัวหยวนยิ้มด้วยความเขินอาย " งั้นต้องขอบคุณน้ำใจของพี่หวังมากๆนะครับ"
เมื่อเห็นว่าสุดท้ายหลัวหยวนรับช็อคโกแลตในมือไปแล้ว พี่หวังก็ยิ้มกว้างขึ้น เธอดึงหลัวหยวนมาข้างๆและกระซิบว่า " เสี่ยวหลัว ในเมื่อคุณเรียกฉันว่าพี่หวัง งั้นฉันก็จะเห็นคุณเป็นน้องชายนะ ฉันนะ ที่จริงมองออกมาตั้งนานแล้วว่าคุณมีความสามารถ แต่น่าเสียดายที่หัวหน้าอู๋เป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ การที่คุณต้องมาฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาลระยะเวลาเป็นครึ่งปี ก็ถือว่าทำให้คุณลำบากมากๆแล้ว"
"พี่หวัง ที่จริงก็เป็นเพราะโรงพยาบาลของเรามีความต้องการสูงไง! " หลัวหยวนไม่รู้ว่าพี่หวังหมายความว่าอะไร เขาก็เลยพูดปนหัวเราะฮ่าๆๆ
"เห่อ เห่อ ก็มีแค่คุณที่ใจกว้าง! แต่ก็จริง ก็ต้องเป็นคนที่มีความสามารถมีทักษะที่ยอดเยี่ยมอย่างคุณถึงจะใจเย็นอยู่ได้ ทองไง ยังไงซักวันก็ต้องเปล่งประกาย! คนอย่างหัวหน้าอู๋จะมากดขี่มังกีอย่างคุณได้อย่างไรกัน"
ดูเหมือนเธอจะรับรู้ได้ว่าหลัวหยวนค่อนข้างเซ็ง พี่หวังก็เลยพูดจุดประสงค์ของเธอ " ดูฉันสิ พอได้พูดก็พูดไม่หยุดเลย เอ่อ เวลาก็ไม่น้อยแล้ว ฉันรู้ว่าวันนี้คุณน่าจะยุ่งมาก งั้นฉันไม่พูดไร้สาระแล้ว ที่จริงวันนี้พี่ก็โดนคนอื่นขอช่วยมาอีกที ให้มาช่วยนัดคุณกินข้าว อย่าบอกว่าไม่มีเวลานะ คุณเองอายุก็ขนาดนี้แล้ว ยังไม่มีแฟนซักที บังเอิญน้องสาวลูกพี่ลูกน้องของฉันทำงานเป็นพยาบาลที่นี่ สวยมากเลยนะ ฉันเห็นว่าพวกคุณสองคนดูเหมาะสมกันดี ตอนพักกินข้าวเที่ยงฉันจะแนะนำเธอให้คุณรู้จัก ตอนนี้ก็ฟังฉันพูดไปก่อนแล้วกัน"
หลัวหยวนตกใจมาก
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? !
นี่มันเร็วเกินไปมั้ง!
เมื่อวานเขาเพิ่งจะเปิดเผยวิชาพลังลมปรานของฉีโป๋ มาวันนี้มีคนนัดเดตแล้ว?
เขากลายเป็นคนที่ผู้หญิงแย่งกันตั้งแต่เมื่อไหร่
หลัวหยวนยังไม่ทันได้พูดปฏิเสธ พี่หวังก็เดินหายไปแล้ว
ดูเหมือนว่าหัวหน้าพยาบาลจะมุ่งมั่นที่จะชนะในครั้งนี้
หรือว่า น้องสาวลูกพี่ลูกน้องของเธอคนนั้นสั่งเธอมาอีกที
หลัวหยวนส่ายหน้ายิ้มเจื่อนๆ ถือกล่องช็อคโกแล็ตเดินไปยังแผนกผู้ป่วยใน
ที่มุมของห้องโถงโรงพยาบาล พี่หวังรีบเดินไปตรงหน้าของพยาบาลสาวรูปร่างสูง
เธอไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินพยาบาลสาวคนนั้นพูดด้วยความร้อนใจว่า " พี่ เป็นไงบ้าง? เขาตอบตกลงมั้ย?"
เมื่อพี่หวังเห็นว่าเธอดูร้อนใจ พี่หวังก็เลยส่ายหน้ายิ้มๆ
พยาบาลสาวคนนั้นมีสีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที
พี่หวังส่งเสียงหวเราะออกมา " น้องสาว นี่มันฤดูหนาวนะ แต่เธออยากจะมีความรักเหมือนช่วงฤดูใบไม้ผลิ เธอนี่ไม่ไหวจริงๆ เขานะ ไม่ได้ตอบตกลง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ"
เมื่อพยาบาลสาวคนนั้นได้ยินดังนั้น แววตาของเธอก็เปล่งประกาย เธอไม่สนใจคำพูดแซวของพี่หวังเมื่อกี้ เธอมีสีหน้าเขินอายและรีบกล่าวขอบคุณพี่หวัง
หลัวหยวนตอกบัตรเข้าทำงานเสร็จแล้ว เขาก็สวมเสื้อคลุมสีขาว เขาไปรางานตัวที่แผนกฝังเข็ม หลัจากนั้นก็รีบตรงไปยังแผนกผู้ป่วยวิกฤต
เป็นคนไม่ลืมบุญคุณคน
การที่เขาได้มาเป็นหมอในวันนี้เพราะเขาได้รับประโยชน์อย่างมากจากคุณลุงเจียงและคุณป้าภรรยาของเขา ถ้าเขาไม่ได้ช่วยพวกเขาทำอะไรบ้าง เขาก็คงรู้สึกไม่ดี
แต่อาการป่วยของคุณลุงเจียงค่อนข้างซับซ้อน เขาจำเป็นต้องตรวจดูก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
เพราะยังไงเช้าขนาดนี้ที่แผนกฝังเข็มก็ยังไม่มีงานอะไร อีกอย่างที่เหนียนเหล่าสัญญาไว้วเรื่องหัวหน้าโรงพยาบาลแพทย์แผนจีน ถึงแม้ผู้อำนวยการฮวางจะยังไม่สามารถประกาศได้เลย จำเป็นต้องหาโอกาสที่เหมาะสมก่อน
ด้วยเหตุนี้ ในวันนี้เขาเลยจำเป็นต้องทำงานในฐานะแพทย์ฝึกหัดไปก่อน
ในห้องไอซีอยู่ เนื่องจากเปิดฮีทเตอร์ แม้ว่าจะแง้มหน้าต่างไว้ แต่อากาศในห้องก็ยังไม่ถ่ายเท
บวกกับยังเป็นเวลาเช้าอยู่ ไม่มีเสียงอะไร ยิ่งทำให้อึดอัดมากขึ้น
"เสี่ยวหลัว คุณมาแล้วหรอ! มาๆๆๆ ยังไม่ได้กินข้าวเช้าสินะ? เมื่อกี้ป้าเพิ่งจะต้มไข่ให้ตาแก่ เอาไปสิ แล้วก็นมด้วย รีบกินตอนร้อนๆ! ถ้าไม่พอบอกนะ ที่ป้ายังมีอีก..............."
หลัวหยวนรับไข่ต้มสองฟองมาจากมือของคุณป้าอย่างปฏิเสธน้ำใจไม่ได้ หลังจากนั้นเขาก็ฟังคุณป้าพูดบ่นว่า " ช่วงสองวันนี้นะ หมอหนุ่มที่รับหน้าที่ดูแลแผนกนี้ดุมากๆเลย คุณกลับมาแล้วดีมากเลย กลับมาแล้วดีมากๆ!"
"เห็นสีหน้าท่าทางใจดีมีเมตตาของคุณป้าแล้ว หลัวหยวนก้มหน้าและพูดว่า " คุณป้าครับ คุณลุงเจียงเป็นอย่างไรบ้างครับ? โรงพยาบาลว่าอย่างไรบ้าง จะได้ผ่าตัดเมื่อไหร่?"
เมื่อได้ยินหลัวหยวนถามเช่นนั้น จู่ๆสีหน้าของหญิงชราก็เศร้าขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าจะจอบอย่างไรดี
คุณลุงเจียงที่นอนอยู่บนเตียงยิ้มและพูดกับหลัวหยวนว่า " คุณหมอหลัว ไม่ต้องเป็นห่วงผม ผมร่างกายแข็งแรงดี! น่าจะอดทนจนกว่าจะผ่าตัดได้!"
รูปร่างของคุณลุงเจียงค่อนข้างอ้วน รอยย่นบนใบหน้าจึงมีน้อยกว่าภรรยาของเขามาก
ถึงแม้เส้นผมของเขาจะเป็นสีขาว แต่ก็มองออกว่าเขามีสภาพจิตใจที่ดี
ถ้าผู้ป่วยคนอื่นๆมีสภาพจิตใจแบบนี้บ้าง การรักษาก็น่าจะมีอัตราสำเร็จเกินครึ่ง
แต่น่าเสียดายที่คุณลุงเจียงเป็นโรคหัวใจ ซึ่งโรคชนิดนี้เมื่อสภาพจิตใจและอารมณ์มีการเปลี่ยนแปลง เลือดมีการไหลเวียนเร็ว มันก็จะส่งผลให้หัวใจมีปัญหาได้ง่าย
"คุณลุงเจียง ช่วงนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างครับ ร่างกายยังสบายดีอยู่ใช่มั้ย?"
หลัวหลัวนั่งลง เขาถามขึ้นมาพร้อมทั้งสังเกตดูสีหน้าของคุณลุงเจียง
การแพทย์แผนจีนจะใช้การสังเกตสีหน้า ฟังเสียงการหายใจ สอบถามอาการ สัมผัสชีพจร สีหน้าของผู้ป่วยที่จริงสามารถทำให้รู้อะไรหลายๆอย่าง
คุณลุงเจียงฉีกยิ้ม มองหลัวหยวนด้วยความชื่นชม มือของเขาจับมือของหลัวหยวนเบาๆและพูดว่า " คุณหมอหลัว คุณนี่เป็นคนมีน้ำใจ ต่อไปคุณต้องได้เป็นใหญ่แน่ๆ ก่อนหน้านี้ลูกชายของผมปฏิบัติต่อผมยังไม่ดีเท่าคุณเลย คุณต้องได้เป็นหมอที่ดีที่สุดในโลกแน่ๆ อย่าท้อถอย!"
เมื่อเห็นว่าคุณลุงเจียงพูดปลอบใจตนเอง หลัวหยวนก็รู้ทันทีว่าสงสัยเขาได้ยินภรรยาของเขามาเล่าอะไรให้ฟัง
หลัวหยวนยิ้มเจื่อนส่ายหน้าและพูดว่า " คุณลุงเป็นห่วงตัวเองก่อนดีกว่าครับ!"
พูดจบ หลัวหยวนก็ยื่นมืออกมาและเอานิ้วสามนิ้ววางไว้ที่ข้อมือของคุณลุงเจียง ท่าทางค่อนข้างแตกต่างจากการตรวจชีพจรปกติ
ที่จริงนี่ไม่เรียกว่าการวัดชีพจร แต่เรียกจับชีพจร
กลัวว่าตอนวัดชีพจรจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกตื่นเต้น ทำให้ชีพจรเต้นไมีคงที่ และจะส่งผลให้ประเมินอาการเจ็บป่วยผิดพลาด
ถ้ามีหมอแพทย์แผนจีนได้มาเห็นมือของหลัวหยวนในตนนี้ พวกเขาน่าจะต้องตกใจมาก
เห็นแบบนี้แล้วคงจะคิดว่าเขาต้องเรียนทางด้านนี้มาซักแปดเก้าปีแล้ว
บวกกับการประเมินสีหน้าแล้ว ตอนนี้อาการของคุณลุงยังถือว่าคงที่
เดิมทีการผ่าตัดเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อีกอย่างเขาเองก็มั่นใจว่าเขาสามารถขอให้เหนียนเหล่ามาเป็นคนผ่าตัดเคสนี้ได้
ถ้าไม่ได้จริงๆ คุณหมอเจียงก็สามารถทำให้สำเร็จได้
แต่หลัวหยวนในวันนี้ เขาละทิ้งความคิดแบบนี้ไปหมดแล้ว
เหตุผลเพราะเขาที่ได้รับการสืบทอดมรดกที่ลึกลับ มีอย่างน้อบสองวิธีที่จะสามารถทำให้คุณลุงเจียงหายป่วยได้ และไม่จำเป็นต้องเจ็บตัวและเสี่ยงในการผ่าตัด
ถึงแม้การใช้วิธีของหลัวหยวนจะไม่ได้ทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้รวดเร็วเหมือนการผ่าตัด แต่ความเจ็บปวดทางกายภาพและผลกระทบที่จะได้จากการผ่าตัด สองวิธีนี้ของหลัวหยวนเหมาะสมที่สุด
จู่ๆเสี่ยงโทรศัพท์ที่คุ้นเคยก็ทำลายความเงียบของสวน
เมื่อเขาหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นเสียงนาฬิกาปลุก
การที่เขาตั้งเสียงนาฬิกาปลุกเป็นเสียงเดียวกันกับเสียงของสายเรียกเข้า ก็เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ถ้าตั้งเสียงนาฬิกาปลุกเป็นเสียงอื่นหลัวหยวนจะไม่ตื่น
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนเขาไม่จเป็นต้องตั้งนาฬิกาปลุกอีกแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว ในเมื่อเขาตอบตกลงเหนียนชิงอวิ๋นไว้แล้ว เขาจึงต้องล้างหน้าแปรงฟันและแต่งตัว เพื่อไปทำงานตามปกติ
ถึงแม้กฏระเบียบบอกว่าแปดโมงครึ่งเริ่มทำงาน แต่เขาอยากจะไปหาคุณลุงเจียงก่อน ไปดูว่ามีอะไรต้องช่วยมั้ย
เมื่อเขาเดินมาถึงหน้าประตูตึกหอพัก เขาก็พบว่าทุกคนมีสายตาแปลกๆมองมาทางเขา
อาจจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานนี้...........
หลัวหยวนสำรวจบนร่างกายตัวเอง
แค่ชั่วครู่ เขาก็รู้เหตุผล
ในช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะตก แต่เขากลับสวมชุดนอนบางๆออกมาข้างนอก อีกทั้งยังไม่ได้รู้สึกถึงความหนาวแต่อย่างใด
"เสี่ยวหลัว อากาศเย็นขนาดนี้ คุณสวมเสื้อผ้าบางๆออกมาข้างนอกทำไม? อย่าประมาทเพราะคิดว่าตัวเองยังเป็นหนุ่มอยู่นะ คุณเป็นหมอ ทำไมถึงไม่รู้เรื่องเลย! อย่าคิดว่าตัวเงยังหนุ่มเลยทนไหว ถ้าเกิดคุณป่วยขึ้นมา คุณอยู่ข้างนอกคนเดียวจะไม่มีใครคอยดูแลนะ! " ป้าจางเพื่อนบ้านที่กำลังจะออกไปข้างนอก พูดเตือนเขา
หลัวหยวนและเพื่อนบ้านที่อยู่ห้องตรงข้ามมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดี
"หลัวหยวนตื่นมาออกกำลังกายตั้งแต่เช้าแล้ว! ว่าไป คุณหมอหลัว ปกติก็ไม่เคยเห็นคุณมีนิสัยออกกำลังกายตอนเช้าตรู่นี่นา!" ป้าหวังที่กำลังจะเดินออกไปพร้อมกับป้าจางพูดขึ้นมา
"ขอบคุณคุณป้าทั้งสองคนมากครับที่เป็นห่วง ครั้งหน้าผมจะระวัง ครั้งหน้าจะระวังครับ!"
หลัวหยวนพูดจบ เขาก็รีบขึ้นชั้นสองทันที
"จางฉิน เธอสังเกตเห็นมั้ย? ว่าหลัวหยวนมีผิวพรรณที่ดีมกๆเลย! เขาผิวขาวกว่าเด็กผู้หญิงซะอีก! ไม่รู้ว่าเขาใช้เครื่องสำอางค์อะไร..............." ป้าหวังพูดเบาๆ
"หลัวหยวนเป็นคนเรียบง่าย ได้ยินมาว่าบ้านเกิดเขาอยู่ชนบท เขาน่าจะไม่ได้ใช้เครื่องสำอางค์อะไรหรอก" ป้าจางพูดส่ายหน้า
"ไม่จริง แสดงว่าเธอไม่ได้กลิ่นหอมๆจากร่างกายของเขาหรอ? หอมมากเลย! ไม่ได้แล้ว ไว้ฉันค่อยมาถามเขา ว่ามันคือกลิ่นหอมของอะไร!"
"อื้ม ก็จริง กลิ่นนี้มันหอมมากๆเลย............."
ถึงแม้หลัวหยวนจะเดินขึ้นชั้นบนไปแล้ว แต่เขาก็ยังได้ยินคำบทสนทนาที่ป้าทั้งสองคนพูด
เขาตั้งใจลองไปส่องกระจกดู และก็จริงๆด้วย ดูเหมือนผิวของตนจะขาวขึ้น
เขาอดไม่ไหวลองลูบดู เรียบเนียนราวกับหยก เหมือนผิวของเด็กทารก............
อีกอย่าง นอกจากบนร่างกายจะไม่มีกลิ่นเหงื่อแล้ว แต่กลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดมแล้วสดชื่น
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หรือว่าการฝึกวิชาอู่ฉินซี่และวิชาจิ่วต้วนจินมีประโยชน์เรื่องนี้ด้วย..............
คิดไปคิดมาแล้ว ดูเหมือนจะโยนความคิดไปที่เรื่องของการสืบทอดมรดกลึกลับที่เขาได้รับ
เพียงแค่เขาในตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจสิ่งที่เขาได้รับมาเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ทำให้เขาไม่รู้ที่มาที่ไป
เพิ่งผ่านไปแค่คืนเดียวเท่านั้น แต่ร่างกายของเขากลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทำให้หลัวหยวนยิ่งมีความมั่นใจต่ออนาคตมากขึ้น
หลัวหยวนกลับมาถึงห้องพักของตัวเองด้วยความอารมณ์ดี เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าค่อนข้างบางและออกจากห้อง
และมันก็เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้ ตอนที่เข้าก้าวเข้าไปในโรงพยาบาล เขาก็พบว่าสายตาของคนคุ้นเคยเหล่านั้นมีแววตาแปลกๆ
แน่นอนว่าเขารู้เหตุผลเป็นอย่างดี เขาก็เลยยิ้มและพยักหน้าเป็นการทักทาย และเดินตรงไปที่ห้องทำงาน
จู่ๆก็มีเสียงเรียกเขาดังขึ้น
"คุณหมอหลัว รอก่อนค่ะ!"
"พี่หวัง มีอะไรมั้ยครับ?" หลัวหยวนพูดยิ้มๆ
"เอ่อคือ..........เอ่อ สีหน้าของคุณดีกว่าเมื่อวานแล้วนะ! คุณเอาช็อคโกแล็ตพวกนี้ไป ถ้าว่างๆก็กินซักชิ้นสองชิ้น คุณเองเป็นหมอ คุณต้องดูแลตัวเองดีดีสิ" พี่หวังพูดยิ้มๆ
หลัวหยวนมองกล่องช็อคโกแล็ตกล่องใหญ่ที่อยู่ในมือของเธอ ในใจกลับรู้สึกแปลกๆ
โชคดีที่พี่หวังอายุสามสิบกว่าแล้ว ลูกของเธอก็เรียนชั้นอนุบาลแล้ว ไม่งั้นเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงการพูดของเธอ เขาอาจจะคิดว่าเธอมีความรู้สึกอะไรกับเขาได้
ในเวลาปกติ ถึงแม้จะได้พูดคุยกันไม่น้อยเพราะต้องทำงานร่วมกัน ต่างคนก็ต่างค่อนข้างคุ้นเคยกัน แต่ปฏิกิริยาอาการในวันนี้ ดูเหมือนจะเกินกว่าเดิมไปหน่อย
หนือเป็นเพราะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้
แต่ในความทรงจำ พี่หวังไม่ได้เป็นคนประเภทนี้
เมื่อเห็นว่าหลัวหยวนมีสีหน้าลังเล และเขาก็ไม่ได้รับช็อคโกแลตไป พี่หวังก็เลยพูดล้อเล่นว่า " ทำไม คุณหมอหลัวผู้ยิ่งใหญ่ไม่สนใจหรอ?"
หลัวหยวนยิ้มด้วยความเขินอาย " งั้นต้องขอบคุณน้ำใจของพี่หวังมากๆนะครับ"
เมื่อเห็นว่าสุดท้ายหลัวหยวนรับช็อคโกแลตในมือไปแล้ว พี่หวังก็ยิ้มกว้างขึ้น เธอดึงหลัวหยวนมาข้างๆและกระซิบว่า " เสี่ยวหลัว ในเมื่อคุณเรียกฉันว่าพี่หวัง งั้นฉันก็จะเห็นคุณเป็นน้องชายนะ ฉันนะ ที่จริงมองออกมาตั้งนานแล้วว่าคุณมีความสามารถ แต่น่าเสียดายที่หัวหน้าอู๋เป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ การที่คุณต้องมาฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาลระยะเวลาเป็นครึ่งปี ก็ถือว่าทำให้คุณลำบากมากๆแล้ว"
"พี่หวัง ที่จริงก็เป็นเพราะโรงพยาบาลของเรามีความต้องการสูงไง! " หลัวหยวนไม่รู้ว่าพี่หวังหมายความว่าอะไร เขาก็เลยพูดปนหัวเราะฮ่าๆๆ
"เห่อ เห่อ ก็มีแค่คุณที่ใจกว้าง! แต่ก็จริง ก็ต้องเป็นคนที่มีความสามารถมีทักษะที่ยอดเยี่ยมอย่างคุณถึงจะใจเย็นอยู่ได้ ทองไง ยังไงซักวันก็ต้องเปล่งประกาย! คนอย่างหัวหน้าอู๋จะมากดขี่มังกีอย่างคุณได้อย่างไรกัน"
ดูเหมือนเธอจะรับรู้ได้ว่าหลัวหยวนค่อนข้างเซ็ง พี่หวังก็เลยพูดจุดประสงค์ของเธอ " ดูฉันสิ พอได้พูดก็พูดไม่หยุดเลย เอ่อ เวลาก็ไม่น้อยแล้ว ฉันรู้ว่าวันนี้คุณน่าจะยุ่งมาก งั้นฉันไม่พูดไร้สาระแล้ว ที่จริงวันนี้พี่ก็โดนคนอื่นขอช่วยมาอีกที ให้มาช่วยนัดคุณกินข้าว อย่าบอกว่าไม่มีเวลานะ คุณเองอายุก็ขนาดนี้แล้ว ยังไม่มีแฟนซักที บังเอิญน้องสาวลูกพี่ลูกน้องของฉันทำงานเป็นพยาบาลที่นี่ สวยมากเลยนะ ฉันเห็นว่าพวกคุณสองคนดูเหมาะสมกันดี ตอนพักกินข้าวเที่ยงฉันจะแนะนำเธอให้คุณรู้จัก ตอนนี้ก็ฟังฉันพูดไปก่อนแล้วกัน"
หลัวหยวนตกใจมาก
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? !
นี่มันเร็วเกินไปมั้ง!
เมื่อวานเขาเพิ่งจะเปิดเผยวิชาพลังลมปรานของฉีโป๋ มาวันนี้มีคนนัดเดตแล้ว?
เขากลายเป็นคนที่ผู้หญิงแย่งกันตั้งแต่เมื่อไหร่
หลัวหยวนยังไม่ทันได้พูดปฏิเสธ พี่หวังก็เดินหายไปแล้ว
ดูเหมือนว่าหัวหน้าพยาบาลจะมุ่งมั่นที่จะชนะในครั้งนี้
หรือว่า น้องสาวลูกพี่ลูกน้องของเธอคนนั้นสั่งเธอมาอีกที
หลัวหยวนส่ายหน้ายิ้มเจื่อนๆ ถือกล่องช็อคโกแล็ตเดินไปยังแผนกผู้ป่วยใน
ที่มุมของห้องโถงโรงพยาบาล พี่หวังรีบเดินไปตรงหน้าของพยาบาลสาวรูปร่างสูง
เธอไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินพยาบาลสาวคนนั้นพูดด้วยความร้อนใจว่า " พี่ เป็นไงบ้าง? เขาตอบตกลงมั้ย?"
เมื่อพี่หวังเห็นว่าเธอดูร้อนใจ พี่หวังก็เลยส่ายหน้ายิ้มๆ
พยาบาลสาวคนนั้นมีสีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที
พี่หวังส่งเสียงหวเราะออกมา " น้องสาว นี่มันฤดูหนาวนะ แต่เธออยากจะมีความรักเหมือนช่วงฤดูใบไม้ผลิ เธอนี่ไม่ไหวจริงๆ เขานะ ไม่ได้ตอบตกลง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ"
เมื่อพยาบาลสาวคนนั้นได้ยินดังนั้น แววตาของเธอก็เปล่งประกาย เธอไม่สนใจคำพูดแซวของพี่หวังเมื่อกี้ เธอมีสีหน้าเขินอายและรีบกล่าวขอบคุณพี่หวัง
หลัวหยวนตอกบัตรเข้าทำงานเสร็จแล้ว เขาก็สวมเสื้อคลุมสีขาว เขาไปรางานตัวที่แผนกฝังเข็ม หลัจากนั้นก็รีบตรงไปยังแผนกผู้ป่วยวิกฤต
เป็นคนไม่ลืมบุญคุณคน
การที่เขาได้มาเป็นหมอในวันนี้เพราะเขาได้รับประโยชน์อย่างมากจากคุณลุงเจียงและคุณป้าภรรยาของเขา ถ้าเขาไม่ได้ช่วยพวกเขาทำอะไรบ้าง เขาก็คงรู้สึกไม่ดี
แต่อาการป่วยของคุณลุงเจียงค่อนข้างซับซ้อน เขาจำเป็นต้องตรวจดูก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
เพราะยังไงเช้าขนาดนี้ที่แผนกฝังเข็มก็ยังไม่มีงานอะไร อีกอย่างที่เหนียนเหล่าสัญญาไว้วเรื่องหัวหน้าโรงพยาบาลแพทย์แผนจีน ถึงแม้ผู้อำนวยการฮวางจะยังไม่สามารถประกาศได้เลย จำเป็นต้องหาโอกาสที่เหมาะสมก่อน
ด้วยเหตุนี้ ในวันนี้เขาเลยจำเป็นต้องทำงานในฐานะแพทย์ฝึกหัดไปก่อน
ในห้องไอซีอยู่ เนื่องจากเปิดฮีทเตอร์ แม้ว่าจะแง้มหน้าต่างไว้ แต่อากาศในห้องก็ยังไม่ถ่ายเท
บวกกับยังเป็นเวลาเช้าอยู่ ไม่มีเสียงอะไร ยิ่งทำให้อึดอัดมากขึ้น
"เสี่ยวหลัว คุณมาแล้วหรอ! มาๆๆๆ ยังไม่ได้กินข้าวเช้าสินะ? เมื่อกี้ป้าเพิ่งจะต้มไข่ให้ตาแก่ เอาไปสิ แล้วก็นมด้วย รีบกินตอนร้อนๆ! ถ้าไม่พอบอกนะ ที่ป้ายังมีอีก..............."
หลัวหยวนรับไข่ต้มสองฟองมาจากมือของคุณป้าอย่างปฏิเสธน้ำใจไม่ได้ หลังจากนั้นเขาก็ฟังคุณป้าพูดบ่นว่า " ช่วงสองวันนี้นะ หมอหนุ่มที่รับหน้าที่ดูแลแผนกนี้ดุมากๆเลย คุณกลับมาแล้วดีมากเลย กลับมาแล้วดีมากๆ!"
"เห็นสีหน้าท่าทางใจดีมีเมตตาของคุณป้าแล้ว หลัวหยวนก้มหน้าและพูดว่า " คุณป้าครับ คุณลุงเจียงเป็นอย่างไรบ้างครับ? โรงพยาบาลว่าอย่างไรบ้าง จะได้ผ่าตัดเมื่อไหร่?"
เมื่อได้ยินหลัวหยวนถามเช่นนั้น จู่ๆสีหน้าของหญิงชราก็เศร้าขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าจะจอบอย่างไรดี
คุณลุงเจียงที่นอนอยู่บนเตียงยิ้มและพูดกับหลัวหยวนว่า " คุณหมอหลัว ไม่ต้องเป็นห่วงผม ผมร่างกายแข็งแรงดี! น่าจะอดทนจนกว่าจะผ่าตัดได้!"
รูปร่างของคุณลุงเจียงค่อนข้างอ้วน รอยย่นบนใบหน้าจึงมีน้อยกว่าภรรยาของเขามาก
ถึงแม้เส้นผมของเขาจะเป็นสีขาว แต่ก็มองออกว่าเขามีสภาพจิตใจที่ดี
ถ้าผู้ป่วยคนอื่นๆมีสภาพจิตใจแบบนี้บ้าง การรักษาก็น่าจะมีอัตราสำเร็จเกินครึ่ง
แต่น่าเสียดายที่คุณลุงเจียงเป็นโรคหัวใจ ซึ่งโรคชนิดนี้เมื่อสภาพจิตใจและอารมณ์มีการเปลี่ยนแปลง เลือดมีการไหลเวียนเร็ว มันก็จะส่งผลให้หัวใจมีปัญหาได้ง่าย
"คุณลุงเจียง ช่วงนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างครับ ร่างกายยังสบายดีอยู่ใช่มั้ย?"
หลัวหลัวนั่งลง เขาถามขึ้นมาพร้อมทั้งสังเกตดูสีหน้าของคุณลุงเจียง
การแพทย์แผนจีนจะใช้การสังเกตสีหน้า ฟังเสียงการหายใจ สอบถามอาการ สัมผัสชีพจร สีหน้าของผู้ป่วยที่จริงสามารถทำให้รู้อะไรหลายๆอย่าง
คุณลุงเจียงฉีกยิ้ม มองหลัวหยวนด้วยความชื่นชม มือของเขาจับมือของหลัวหยวนเบาๆและพูดว่า " คุณหมอหลัว คุณนี่เป็นคนมีน้ำใจ ต่อไปคุณต้องได้เป็นใหญ่แน่ๆ ก่อนหน้านี้ลูกชายของผมปฏิบัติต่อผมยังไม่ดีเท่าคุณเลย คุณต้องได้เป็นหมอที่ดีที่สุดในโลกแน่ๆ อย่าท้อถอย!"
เมื่อเห็นว่าคุณลุงเจียงพูดปลอบใจตนเอง หลัวหยวนก็รู้ทันทีว่าสงสัยเขาได้ยินภรรยาของเขามาเล่าอะไรให้ฟัง
หลัวหยวนยิ้มเจื่อนส่ายหน้าและพูดว่า " คุณลุงเป็นห่วงตัวเองก่อนดีกว่าครับ!"
พูดจบ หลัวหยวนก็ยื่นมืออกมาและเอานิ้วสามนิ้ววางไว้ที่ข้อมือของคุณลุงเจียง ท่าทางค่อนข้างแตกต่างจากการตรวจชีพจรปกติ
ที่จริงนี่ไม่เรียกว่าการวัดชีพจร แต่เรียกจับชีพจร
กลัวว่าตอนวัดชีพจรจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกตื่นเต้น ทำให้ชีพจรเต้นไมีคงที่ และจะส่งผลให้ประเมินอาการเจ็บป่วยผิดพลาด
ถ้ามีหมอแพทย์แผนจีนได้มาเห็นมือของหลัวหยวนในตนนี้ พวกเขาน่าจะต้องตกใจมาก
เห็นแบบนี้แล้วคงจะคิดว่าเขาต้องเรียนทางด้านนี้มาซักแปดเก้าปีแล้ว
บวกกับการประเมินสีหน้าแล้ว ตอนนี้อาการของคุณลุงยังถือว่าคงที่
เดิมทีการผ่าตัดเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อีกอย่างเขาเองก็มั่นใจว่าเขาสามารถขอให้เหนียนเหล่ามาเป็นคนผ่าตัดเคสนี้ได้
ถ้าไม่ได้จริงๆ คุณหมอเจียงก็สามารถทำให้สำเร็จได้
แต่หลัวหยวนในวันนี้ เขาละทิ้งความคิดแบบนี้ไปหมดแล้ว
เหตุผลเพราะเขาที่ได้รับการสืบทอดมรดกที่ลึกลับ มีอย่างน้อบสองวิธีที่จะสามารถทำให้คุณลุงเจียงหายป่วยได้ และไม่จำเป็นต้องเจ็บตัวและเสี่ยงในการผ่าตัด
ถึงแม้การใช้วิธีของหลัวหยวนจะไม่ได้ทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้รวดเร็วเหมือนการผ่าตัด แต่ความเจ็บปวดทางกายภาพและผลกระทบที่จะได้จากการผ่าตัด สองวิธีนี้ของหลัวหยวนเหมาะสมที่สุด
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved