บทที่ 6 งานรวมรุ่น
by สันเป่าเอ๋อ
10:38,Nov 22,2021
"ผู้กองหลัว คุณรีบจับกุมตัวพวกมันเอาไว้สิ!"
เหยียนมู่ไห่เห็นว่าหลัวหลินกำลังยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาจึงรีบพูด
หลัวหลินตอบกลับด้วยสีหน้าที่ดูอึดอัดว่า : "ขออภัยด้วยนะครับ คนๆนี้ผมจับไม่ได้"
"ผู้กองหลัว ตอนแรกผมก็คิดว่าคุณเป็นคนเที่ยงธรรมคนนึง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเวลาที่คุณได้เผชิญหน้ากับอำนาจ คุณก็อ่อนข้อและขี้ขลาดเป็นด้วย!"
เหยียนมู่ไห่ต้องมองเห็นอยู่แล้วว่าหลงเยว่หยิบสมุดเอกสารอะไรบางอย่างออกมา เขาก็คิดว่าหลัวหลินเกรงกลัวหลินเทียนฉี หลัวหลินถึงไม่ยอมจับกุมตัวฝ่ายตรงข้าม
ซึ่งความจริงมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ถ้าเกิดหลินเทียนฉีมาจากสถานที่แห่งนั้นจริงๆ งั้นก็ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความเกรงกลัวแล้วล่ะ แต่เขาหลัวหลิน ไม่มีสิทธิ์จับกุมตัวคนๆนี้จริงๆ
"วันนี้เป็นแค่คำตักเตือน ถ้าเกิดยังกล้าคิดที่จะทำอะไรต่อผู้หญิงของฉันอีก จุดจบของเหยียนหัว จะเป็นจุดจบของตระกูลเหยียน!"
หลินเทียนฉีกวาดตามองดูใบหน้าของทุกคนในตระกูลเหยียนพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
ทันทีที่พูดจบเขาและหลงเยว่ก็ได้ออกไปจากที่นี่ทันที
เหยียนมู่ไห่มองดูเงาหลังของหลินเทียนฉีพลางกัดฟันแน่นพลางพูดด้วยอารมณ์ที่โกรธแค้นว่า : "ฉันไม่สนหรอกว่าแกจะเป็นใครมาจากไหน แต่แกฆ่าลูกชายฉัน ฉันจะทำให้แกได้ชดใช้!"
"ถูกต้อง ติดหนี้ต้องคืน ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต นี่เป็นหลักการทฤษฎีธรรมชาติ!"
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงที่ฟังดูกวนโอ๊ยของผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังเหยียนมู่ไห่
เขาหันหน้ากลับไป พบว่าคนดังกล่าวคือหลินเทียนเจี้ยน
"คุณชายเจี้ยน ขออภัยที่ทำให้คุณต้องมาเห็นอะไรที่มันตลกๆแบบนี้ด้วยนะครับ"
ถึงแม้ลูกชายจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เหยียนมู่ไห่ก็ไม่กล้าชักสีหน้าใส่หลินเทียนเจี้ยน
หลินเทียนเจี้ยนปัดมือไปมา : "ลุงเหยียนเจ็บปวดหัวใจที่ลูกชายได้เสียชีวิตไปจากโลกนี้ ขอให้เหยียนหัวได้ไปสู่สุคตินะครับ ผมจะไม่รบกวนแล้ว"
หลังจากที่พูดจบ เขาก็ได้ออกไปจากงานโดยตรง และกลับไปถึงวิลล่าใหญ่ของตระกูลหลิน
"เอ็งพูดว่าอะไรนะ ไอ้สัตว์เดรัจฉานหลินเทียนฉีนั่นมันฆ่าเหยียนหัวด้วยฝ่ามือเดียวต่อหน้าทุกคนในงานงั้นหรือ?" หลินเจี้ยนซานถลึงตาพลางถาม
หลินเทียนเจี้ยนพยักหน้า "อีกอย่างผู้กองหลัวหลินจากสถานีตำรวจเมืองเจียง หลังจากที่เห็นสมุดเอกสารอะไรบางอย่างของหลินเทียนฉีแล้ว เขาก็ไม่กล้าจับกุมตัวไอ้หมอนั่นอีกเลย หลินเทียนฉีคนนั้นเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ลุงใหญ่ครับ งั้นพวกเรา….."
"พวกเราอะไร?"
หลินเจี้ยนซานตะคอกด้วยอารมณ์ที่โกรธกริ้ว "ไม่ว่าตอนนี้ตัวตนของหลินเทียนฉีจะเป็นอะไร มันอย่าแม้แต่จะคิดว่าพวกเราจะตอบตกลงเงื่อนไขทั้งสามข้อนั้นของมัน ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะมีปัญญาอะไรทำให้ตระกูลหลินของเราหายสาบสูญไปจากเมืองเจียงได้!"
"หลังจากที่ผ่านไป 3 วัน เป็นช่วงเวลาที่เราจัดงานเลี้ยงให้ท่านคนนั้นที่โรงแรมตงหัวพอดี ถ้าเกิดมันมีปัญญาจริง ก็มาลองดูได้เต็มที่เลย!"
หลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้ หลินเทียนเจี้ยนก็วางใจลงไปได้แล้ว
ตอนแรกเขากำลังกังวลอยู่ว่าหลินเทียนฉีจะบ้าคลั่งเกินไป ทำเรื่องทุกอย่างได้โดยที่คำนึงถึงผลที่จะตามมา แต่เมื่อนึกถึงตัวตนของท่านคนนั้นแล้ว ความรู้สึกตึงเครียดและความไม่สบายใจทั้งหมดก็ได้หายวับเข้าไปในกลีบเมฆ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่แล้ว ความบ้าคลั่งก็เป็นได้แค่มุกตลกเท่านั้น
อีกฝั่งนึง หลินเทียนฉีกลับไปถึงห้องเพรสซิเด้นท์ที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมตงหัว""
"หลงเยว่ มีเบาะแสที่เกี่ยวกับน้องสาวฉันบ้างไหม?" หลินเทียนฉียืนอยู่ด้านหน้ากระจกบานใหญ่ พลางก้มหน้ามองดูทุกสรรพสิ่งที่อยู่ด้านล่างเหมือนอัศวินผู้ยิ่งใหญ่
หลงเยว่ทำท่าคารวะ "ณ ตอนนี้ ยังไม่มีเบาะแสใดๆเลยครับ พวกผมแค่สืบทราบมาได้ว่าคืนที่พ่อคุณได้เสียชีวิตไปจากโลกนี้ น้องสาวของคุณเป็นคนที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงพ่อคุณครับ"
"แต่พอเช้าวันต่อมา เขาก็จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย กล้องวงจรที่ติดอยู่ตามโรงพยาบาลรวมไปถึงตามถนนต่างๆ ก็ไม่เห็นเงาร่างของเขาเลยครับ"
"ตามสืบต่อไปเถอะ" หลินเทียนฉีพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
ตอนนั้นเขาเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปคนนึง การที่เขาจะตามหาน้องสาวของตัวเองไม่เจอนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมากๆ แต่ปัจจุบันเขาเป็นหัวหน้าเทียนกง แต่กลับตามสืบเบาะแสข่าวที่เกี่ยวกับน้องสาวตัวเองไม่ได้เลยสักนิด นี่จึงทำให้เขารู้สึกตึงเครียดอยู่เล็กน้อย
หลงเยว่ตอบกลับคํานึง ก่อนที่เขาจะทำท่าคารวะและเดินออกไปจากห้อง
และตอนนี้เอง โทรศัพท์มือถือของหลินเทียนฉีก็ได้สั่นชั่วขณะ เป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากฉู่จิ้งหลี
"เทียนฉี คุณรู้หรือเปล่าว่าเหยียนหัวตายแล้ว! ตายในงานเลี้ยงวันเกิดของพ่อเขาเมื่อกี้นี้เอง!"
"ได้ยินมาว่าเป็นพวกคนชั่วกลุ่มหนึ่งเห็นว่าที่นี่ล้วนมีแต่แขกคนใหญ่คนโตที่มีหน้ามีตาในสังคม พวกมันจึงคิดที่จะเข้ามาปล้น และมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกับเหยียนหัว จนทำให้เหยียนหัวถูกฆ่าในที่สุด"
หลินเทียนฉียิ้มกระตุกบริเวณมุมปาก เข้าใจอยู่ว่านี่เป็นวิธีการสุดท้ายที่ตระกูลเหยียนจะรักษาภาพลักษณ์หน้าตาของตัวเองเอาไว้ได้ พวกเขาถึงได้พูดแบบนี้
มิเช่นนั้น ถ้าเกิดทำให้คนทั้งเมืองเจียงรู้เรื่องนี้เข้า
คุณชายใหญ่แห่งตระกูลเหยียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังถูกคนอื่นตบหัวจนหัวแตกกระจายออกมาในงานเลี้ยงวันเกิดของพ่อตัวเอง แต่ฆาตกรกลับสามารถเดินออกมาจากงานได้อย่างโจ่งแจ้ง ถ้าเกิดเป็นแบบนี้ตระกูลเหยียนจะยืนหยัดอยู่ในเมืองเจียงต่อไปได้อย่างไร
ส่วนคนอื่นที่มองเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ถ้าไม่อยากสร้างปัญหาให้ตัวเอง พวกเขาต้องไม่มีทางปากมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
การที่ฉู่จิ้งหลี จะไม่รู้ความจริงนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่
คุยแชทกับฉู่จิ้งหลี ไปได้สักพัก หลินเทียนฉีก็ได้เดินออกไปจากห้อง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ข่าวคราวที่เขากลับมาได้แพร่งพรายออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาจะคุยแชทกับฉู่จิ้งหลี เขาได้รับสายที่โทรเข้ามาจากใครบางคน
เป็นสายที่โทรเข้ามาจากหัวหน้าห้องเมื่อสมัยเรียนมัธยมของเขา ฝ่ายตรงข้ามได้บอกมาว่าเย็นนี้มีงานรวมรุ่นพอดี อยากจะเชิญชวนให้เขาไปเข้าร่วมด้วย
ตอนแรกหลินเทียนฉีอยากจะตอบปฏิเสธ แต่เมื่อได้ยินมาว่าอดีตครูประจำชั้นก็ไปเข้าร่วมงานเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง
ช่วงเวลาการเรียนมัธยมปลาย ครูประจำชั้นหวู่ยวิ๋น เป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยมากที่ทำดีต่อเขา
ตอนนั้นเขาถูกคนอื่นรังแกกลั่นแกล้ง อาหารเที่ยงถูกเด็กนักเรียนเทลงโถส้วม หวู่ยวิ๋นเป็นคนแบ่งอาหารกลางวันของเธอให้เขากิน ถึงได้ทำให้เขามีแรงกลับไปเรียน
เวลาผ่านไปเร็วมากและพวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย ดังนั้นเขาจึงควรกลับไปขอบคุณหวู่ยวิ๋น
โบกแท็กซี่มาถึงด้านหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง หลินเทียนฉีมองเห็นหัวหน้าห้องที่กำลังยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูแล้ว ซึ่งหัวหน้าห้องคือ หลิ่วเชียนยี่
เธอเป็นเหมือนดาวโรงเรียนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว เวลาผ่านพ้นไปนานหลายปี ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างภายนอกหรือว่าออร่าของเธอ ก็ยังคงงดงามอยู่เช่นเคย
"เพื่อนหลิน!"
หลิ่วเชียนยี่ก็จำหน้าหลินเทียนฉีได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเช่นกัน เธอได้ทำการโบกมือทักทาย
ผู้ชายที่กำลังยืนล้อมอยู่ข้างกายเธอรีบหันมามองหลินเทียนฉีด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรทันที
"หัวหน้าห้อง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"
หลินเทียนฉีมองข้ามสายตาที่ดุเหมือนหมาป่าเหล่านั้น ทำการทักทายหลิ่วเชียนยี่อย่างชิลล์สบาย
"เพื่อนหลิน คิดไม่ถึงจริงๆว่าจะเป็นนาย เมื่อกี้ฉันแค่รู้สึกว่าเหมือนนาย นายเปลี่ยนไปเยอะเกินไปหรือเปล่า!"
หลิ่วเชียนยี่กำลังกวาดตามองหลินเทียนฉีตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาที่เป็นประกาย
หลินเทียนฉีเมื่อตอนที่ยังเรียนมัธยม เขาเป็นคนที่พูดน้อยและเก็บตัว เนื่องจากขาดสารอาหารมาเป็นเวลานานทำให้ร่างกายของเขาผอมแห้งมาก
ตอนนี้เขาได้เข้าร่วมกองทัพมาเป็นเวลา 8 ปี ทำให้ร่างกายภายนอกของเขาในตอนนี้ดูแข็งแรงมาก และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือพลังออร่าที่ดูน่าเกรงขามนั่นของเขา ทำให้เขาดูโดดเด่นกว่าคนธรรมดาทั่วไปอยู่เล็กน้อย
"โอ๊ะ นี่มันคุณชายตระกูลหลินของเราไม่ใช่หรอ ได้ยินมาว่าหลังจากที่โดนไล่ออกจากตระกูลหลินแล้ว นายก็หนีไปเป็นทหารแล้วใช่ไหม?"
และในตอนนี้เอง ก็มีเสียงที่แปลกประหลาดเสียงหนึ่งดังมาจากข้างๆ
หลินเทียนฉีหันหน้ากลับไปมองรอบนึง เจ้าของเสียงดังกล่าวเป็นผู้ชายที่เขาไม่รู้จัก
"เผยหยง นายหยุดเลยนะ สมัยที่ยังอยู่มัธยมนายก็ชอบกีดกันเพื่อนหลินอยู่แล้ว ตอนนี้เราเรียนจบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมนิสัยนายถึงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย!"
หลิ่วเชียนยี่เอาเท้าย่ำพื้นพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์
ผู้ชายที่ชื่อเผยหยงรีบทำการขอโทษ ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความประจบสอพลอ
"นายคือเผยหยง?"
จนกระทั่งหลิ่วเชียนยี่เรียกชื่อของเขา หลินเทียนฉีถึงจะจำเขาขึ้นมาได้ลางๆ
"เหอะๆ คุณชายหลินเป็นคนสูงส่งที่งานเยอะจริงๆเลยนะครับ คงไม่ใช่ว่าลืมฉันไปแล้วหรอกมั้ง?" เผยหยงหัวเราะอย่างเยือกเย็น
"ลืมไปแล้วจริงๆ"
หลินเทียนฉีตอบกลับตรงๆ
หลังจากที่ได้ยินแบบนี้แล้วทำให้สีหน้าของเผยหยงหม่นหมองลงไปทันที
ในขณะที่เขาเตรียมพร้อมที่จะเหน็บแนมหลินเทียนฉีอยู่นั้น แต่หลินเทียนฉีกลับเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อนว่า : "นายอยู่ให้ห่างจากฉันหน่อย ฉันไม่อยากพูดคุยกับคนที่ใกล้จะตาย"
ทันทีที่คำพูดนี้ได้หลุดออกมา ทำให้สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างเปลี่ยนแปลงไป
"แกแม่งพูดอะไรวะ แกอยากตายใช่ไหม!?"
เผยหยงตะคอกอย่างโกรธเคือง เขาง้างมือขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะกระทืบหลินเทียนฉี สรุปเขาเพิ่งก้าวเดินขึ้นมาได้แค่ก้าวเดียว สีหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ก่อนที่เขาจะเอามือกุมท้องและล้มลงไปกับพื้น
เหยียนมู่ไห่เห็นว่าหลัวหลินกำลังยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาจึงรีบพูด
หลัวหลินตอบกลับด้วยสีหน้าที่ดูอึดอัดว่า : "ขออภัยด้วยนะครับ คนๆนี้ผมจับไม่ได้"
"ผู้กองหลัว ตอนแรกผมก็คิดว่าคุณเป็นคนเที่ยงธรรมคนนึง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเวลาที่คุณได้เผชิญหน้ากับอำนาจ คุณก็อ่อนข้อและขี้ขลาดเป็นด้วย!"
เหยียนมู่ไห่ต้องมองเห็นอยู่แล้วว่าหลงเยว่หยิบสมุดเอกสารอะไรบางอย่างออกมา เขาก็คิดว่าหลัวหลินเกรงกลัวหลินเทียนฉี หลัวหลินถึงไม่ยอมจับกุมตัวฝ่ายตรงข้าม
ซึ่งความจริงมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ถ้าเกิดหลินเทียนฉีมาจากสถานที่แห่งนั้นจริงๆ งั้นก็ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความเกรงกลัวแล้วล่ะ แต่เขาหลัวหลิน ไม่มีสิทธิ์จับกุมตัวคนๆนี้จริงๆ
"วันนี้เป็นแค่คำตักเตือน ถ้าเกิดยังกล้าคิดที่จะทำอะไรต่อผู้หญิงของฉันอีก จุดจบของเหยียนหัว จะเป็นจุดจบของตระกูลเหยียน!"
หลินเทียนฉีกวาดตามองดูใบหน้าของทุกคนในตระกูลเหยียนพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
ทันทีที่พูดจบเขาและหลงเยว่ก็ได้ออกไปจากที่นี่ทันที
เหยียนมู่ไห่มองดูเงาหลังของหลินเทียนฉีพลางกัดฟันแน่นพลางพูดด้วยอารมณ์ที่โกรธแค้นว่า : "ฉันไม่สนหรอกว่าแกจะเป็นใครมาจากไหน แต่แกฆ่าลูกชายฉัน ฉันจะทำให้แกได้ชดใช้!"
"ถูกต้อง ติดหนี้ต้องคืน ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต นี่เป็นหลักการทฤษฎีธรรมชาติ!"
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงที่ฟังดูกวนโอ๊ยของผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังเหยียนมู่ไห่
เขาหันหน้ากลับไป พบว่าคนดังกล่าวคือหลินเทียนเจี้ยน
"คุณชายเจี้ยน ขออภัยที่ทำให้คุณต้องมาเห็นอะไรที่มันตลกๆแบบนี้ด้วยนะครับ"
ถึงแม้ลูกชายจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เหยียนมู่ไห่ก็ไม่กล้าชักสีหน้าใส่หลินเทียนเจี้ยน
หลินเทียนเจี้ยนปัดมือไปมา : "ลุงเหยียนเจ็บปวดหัวใจที่ลูกชายได้เสียชีวิตไปจากโลกนี้ ขอให้เหยียนหัวได้ไปสู่สุคตินะครับ ผมจะไม่รบกวนแล้ว"
หลังจากที่พูดจบ เขาก็ได้ออกไปจากงานโดยตรง และกลับไปถึงวิลล่าใหญ่ของตระกูลหลิน
"เอ็งพูดว่าอะไรนะ ไอ้สัตว์เดรัจฉานหลินเทียนฉีนั่นมันฆ่าเหยียนหัวด้วยฝ่ามือเดียวต่อหน้าทุกคนในงานงั้นหรือ?" หลินเจี้ยนซานถลึงตาพลางถาม
หลินเทียนเจี้ยนพยักหน้า "อีกอย่างผู้กองหลัวหลินจากสถานีตำรวจเมืองเจียง หลังจากที่เห็นสมุดเอกสารอะไรบางอย่างของหลินเทียนฉีแล้ว เขาก็ไม่กล้าจับกุมตัวไอ้หมอนั่นอีกเลย หลินเทียนฉีคนนั้นเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ลุงใหญ่ครับ งั้นพวกเรา….."
"พวกเราอะไร?"
หลินเจี้ยนซานตะคอกด้วยอารมณ์ที่โกรธกริ้ว "ไม่ว่าตอนนี้ตัวตนของหลินเทียนฉีจะเป็นอะไร มันอย่าแม้แต่จะคิดว่าพวกเราจะตอบตกลงเงื่อนไขทั้งสามข้อนั้นของมัน ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะมีปัญญาอะไรทำให้ตระกูลหลินของเราหายสาบสูญไปจากเมืองเจียงได้!"
"หลังจากที่ผ่านไป 3 วัน เป็นช่วงเวลาที่เราจัดงานเลี้ยงให้ท่านคนนั้นที่โรงแรมตงหัวพอดี ถ้าเกิดมันมีปัญญาจริง ก็มาลองดูได้เต็มที่เลย!"
หลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้ หลินเทียนเจี้ยนก็วางใจลงไปได้แล้ว
ตอนแรกเขากำลังกังวลอยู่ว่าหลินเทียนฉีจะบ้าคลั่งเกินไป ทำเรื่องทุกอย่างได้โดยที่คำนึงถึงผลที่จะตามมา แต่เมื่อนึกถึงตัวตนของท่านคนนั้นแล้ว ความรู้สึกตึงเครียดและความไม่สบายใจทั้งหมดก็ได้หายวับเข้าไปในกลีบเมฆ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่แล้ว ความบ้าคลั่งก็เป็นได้แค่มุกตลกเท่านั้น
อีกฝั่งนึง หลินเทียนฉีกลับไปถึงห้องเพรสซิเด้นท์ที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมตงหัว""
"หลงเยว่ มีเบาะแสที่เกี่ยวกับน้องสาวฉันบ้างไหม?" หลินเทียนฉียืนอยู่ด้านหน้ากระจกบานใหญ่ พลางก้มหน้ามองดูทุกสรรพสิ่งที่อยู่ด้านล่างเหมือนอัศวินผู้ยิ่งใหญ่
หลงเยว่ทำท่าคารวะ "ณ ตอนนี้ ยังไม่มีเบาะแสใดๆเลยครับ พวกผมแค่สืบทราบมาได้ว่าคืนที่พ่อคุณได้เสียชีวิตไปจากโลกนี้ น้องสาวของคุณเป็นคนที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงพ่อคุณครับ"
"แต่พอเช้าวันต่อมา เขาก็จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย กล้องวงจรที่ติดอยู่ตามโรงพยาบาลรวมไปถึงตามถนนต่างๆ ก็ไม่เห็นเงาร่างของเขาเลยครับ"
"ตามสืบต่อไปเถอะ" หลินเทียนฉีพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
ตอนนั้นเขาเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปคนนึง การที่เขาจะตามหาน้องสาวของตัวเองไม่เจอนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมากๆ แต่ปัจจุบันเขาเป็นหัวหน้าเทียนกง แต่กลับตามสืบเบาะแสข่าวที่เกี่ยวกับน้องสาวตัวเองไม่ได้เลยสักนิด นี่จึงทำให้เขารู้สึกตึงเครียดอยู่เล็กน้อย
หลงเยว่ตอบกลับคํานึง ก่อนที่เขาจะทำท่าคารวะและเดินออกไปจากห้อง
และตอนนี้เอง โทรศัพท์มือถือของหลินเทียนฉีก็ได้สั่นชั่วขณะ เป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากฉู่จิ้งหลี
"เทียนฉี คุณรู้หรือเปล่าว่าเหยียนหัวตายแล้ว! ตายในงานเลี้ยงวันเกิดของพ่อเขาเมื่อกี้นี้เอง!"
"ได้ยินมาว่าเป็นพวกคนชั่วกลุ่มหนึ่งเห็นว่าที่นี่ล้วนมีแต่แขกคนใหญ่คนโตที่มีหน้ามีตาในสังคม พวกมันจึงคิดที่จะเข้ามาปล้น และมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกับเหยียนหัว จนทำให้เหยียนหัวถูกฆ่าในที่สุด"
หลินเทียนฉียิ้มกระตุกบริเวณมุมปาก เข้าใจอยู่ว่านี่เป็นวิธีการสุดท้ายที่ตระกูลเหยียนจะรักษาภาพลักษณ์หน้าตาของตัวเองเอาไว้ได้ พวกเขาถึงได้พูดแบบนี้
มิเช่นนั้น ถ้าเกิดทำให้คนทั้งเมืองเจียงรู้เรื่องนี้เข้า
คุณชายใหญ่แห่งตระกูลเหยียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังถูกคนอื่นตบหัวจนหัวแตกกระจายออกมาในงานเลี้ยงวันเกิดของพ่อตัวเอง แต่ฆาตกรกลับสามารถเดินออกมาจากงานได้อย่างโจ่งแจ้ง ถ้าเกิดเป็นแบบนี้ตระกูลเหยียนจะยืนหยัดอยู่ในเมืองเจียงต่อไปได้อย่างไร
ส่วนคนอื่นที่มองเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ถ้าไม่อยากสร้างปัญหาให้ตัวเอง พวกเขาต้องไม่มีทางปากมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
การที่ฉู่จิ้งหลี จะไม่รู้ความจริงนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่
คุยแชทกับฉู่จิ้งหลี ไปได้สักพัก หลินเทียนฉีก็ได้เดินออกไปจากห้อง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ข่าวคราวที่เขากลับมาได้แพร่งพรายออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาจะคุยแชทกับฉู่จิ้งหลี เขาได้รับสายที่โทรเข้ามาจากใครบางคน
เป็นสายที่โทรเข้ามาจากหัวหน้าห้องเมื่อสมัยเรียนมัธยมของเขา ฝ่ายตรงข้ามได้บอกมาว่าเย็นนี้มีงานรวมรุ่นพอดี อยากจะเชิญชวนให้เขาไปเข้าร่วมด้วย
ตอนแรกหลินเทียนฉีอยากจะตอบปฏิเสธ แต่เมื่อได้ยินมาว่าอดีตครูประจำชั้นก็ไปเข้าร่วมงานเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง
ช่วงเวลาการเรียนมัธยมปลาย ครูประจำชั้นหวู่ยวิ๋น เป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยมากที่ทำดีต่อเขา
ตอนนั้นเขาถูกคนอื่นรังแกกลั่นแกล้ง อาหารเที่ยงถูกเด็กนักเรียนเทลงโถส้วม หวู่ยวิ๋นเป็นคนแบ่งอาหารกลางวันของเธอให้เขากิน ถึงได้ทำให้เขามีแรงกลับไปเรียน
เวลาผ่านไปเร็วมากและพวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย ดังนั้นเขาจึงควรกลับไปขอบคุณหวู่ยวิ๋น
โบกแท็กซี่มาถึงด้านหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง หลินเทียนฉีมองเห็นหัวหน้าห้องที่กำลังยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูแล้ว ซึ่งหัวหน้าห้องคือ หลิ่วเชียนยี่
เธอเป็นเหมือนดาวโรงเรียนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว เวลาผ่านพ้นไปนานหลายปี ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างภายนอกหรือว่าออร่าของเธอ ก็ยังคงงดงามอยู่เช่นเคย
"เพื่อนหลิน!"
หลิ่วเชียนยี่ก็จำหน้าหลินเทียนฉีได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเช่นกัน เธอได้ทำการโบกมือทักทาย
ผู้ชายที่กำลังยืนล้อมอยู่ข้างกายเธอรีบหันมามองหลินเทียนฉีด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรทันที
"หัวหน้าห้อง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"
หลินเทียนฉีมองข้ามสายตาที่ดุเหมือนหมาป่าเหล่านั้น ทำการทักทายหลิ่วเชียนยี่อย่างชิลล์สบาย
"เพื่อนหลิน คิดไม่ถึงจริงๆว่าจะเป็นนาย เมื่อกี้ฉันแค่รู้สึกว่าเหมือนนาย นายเปลี่ยนไปเยอะเกินไปหรือเปล่า!"
หลิ่วเชียนยี่กำลังกวาดตามองหลินเทียนฉีตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาที่เป็นประกาย
หลินเทียนฉีเมื่อตอนที่ยังเรียนมัธยม เขาเป็นคนที่พูดน้อยและเก็บตัว เนื่องจากขาดสารอาหารมาเป็นเวลานานทำให้ร่างกายของเขาผอมแห้งมาก
ตอนนี้เขาได้เข้าร่วมกองทัพมาเป็นเวลา 8 ปี ทำให้ร่างกายภายนอกของเขาในตอนนี้ดูแข็งแรงมาก และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือพลังออร่าที่ดูน่าเกรงขามนั่นของเขา ทำให้เขาดูโดดเด่นกว่าคนธรรมดาทั่วไปอยู่เล็กน้อย
"โอ๊ะ นี่มันคุณชายตระกูลหลินของเราไม่ใช่หรอ ได้ยินมาว่าหลังจากที่โดนไล่ออกจากตระกูลหลินแล้ว นายก็หนีไปเป็นทหารแล้วใช่ไหม?"
และในตอนนี้เอง ก็มีเสียงที่แปลกประหลาดเสียงหนึ่งดังมาจากข้างๆ
หลินเทียนฉีหันหน้ากลับไปมองรอบนึง เจ้าของเสียงดังกล่าวเป็นผู้ชายที่เขาไม่รู้จัก
"เผยหยง นายหยุดเลยนะ สมัยที่ยังอยู่มัธยมนายก็ชอบกีดกันเพื่อนหลินอยู่แล้ว ตอนนี้เราเรียนจบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมนิสัยนายถึงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย!"
หลิ่วเชียนยี่เอาเท้าย่ำพื้นพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์
ผู้ชายที่ชื่อเผยหยงรีบทำการขอโทษ ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความประจบสอพลอ
"นายคือเผยหยง?"
จนกระทั่งหลิ่วเชียนยี่เรียกชื่อของเขา หลินเทียนฉีถึงจะจำเขาขึ้นมาได้ลางๆ
"เหอะๆ คุณชายหลินเป็นคนสูงส่งที่งานเยอะจริงๆเลยนะครับ คงไม่ใช่ว่าลืมฉันไปแล้วหรอกมั้ง?" เผยหยงหัวเราะอย่างเยือกเย็น
"ลืมไปแล้วจริงๆ"
หลินเทียนฉีตอบกลับตรงๆ
หลังจากที่ได้ยินแบบนี้แล้วทำให้สีหน้าของเผยหยงหม่นหมองลงไปทันที
ในขณะที่เขาเตรียมพร้อมที่จะเหน็บแนมหลินเทียนฉีอยู่นั้น แต่หลินเทียนฉีกลับเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อนว่า : "นายอยู่ให้ห่างจากฉันหน่อย ฉันไม่อยากพูดคุยกับคนที่ใกล้จะตาย"
ทันทีที่คำพูดนี้ได้หลุดออกมา ทำให้สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างเปลี่ยนแปลงไป
"แกแม่งพูดอะไรวะ แกอยากตายใช่ไหม!?"
เผยหยงตะคอกอย่างโกรธเคือง เขาง้างมือขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะกระทืบหลินเทียนฉี สรุปเขาเพิ่งก้าวเดินขึ้นมาได้แค่ก้าวเดียว สีหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ก่อนที่เขาจะเอามือกุมท้องและล้มลงไปกับพื้น
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved