บทที่ 8 โยนความผิดกันหน้าด้านๆ
by สันเป่าเอ๋อ
10:39,Nov 22,2021
"ใครแม่งอยากตายว่ะ?!"
ชายร่างใหญ่หัวล้านมองเจ้าของมือด้วยสายตาที่โกรธเคือง
ทุกคนหันกลับไปมอง ก่อนจะพบว่าคนที่ลุกขึ้นมาช่วยหวู่ยวิ๋นคือหวังตง!
ในทางตรงกันข้ามหลินเทียนฉีที่หวู่ยวิ๋นดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ และยังเป็นทหารมานานเป็นเวลา 8 ปี กลับยังคงนั่งอยู่กับที่ และไม่กล้าจะเดินเข้ามาแตะต้องฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่ปลายเล็บ
นี่จึงทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งรู้สึกรังเกียจหลินเทียนฉีมากขึ้น แม้แต่ตัวหวู่ยวิ๋นเองก็รู้สึกผิดหวังต่อหลินเทียนฉีเล็กน้อย
"อยากจะถวายครูของฉันงั้นหรอ แกถามฉันก่อนหรือยัง?"
สีหน้าอารมณ์ของหวังตงดูได้ใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาสังเกตเห็นแล้วว่าเพื่อนร่วมห้องของเขากำลังมองมาทางตัวเองด้วยสายตาแบบนั้น
โดยเฉพาะหวู่ยวิ๋นและหลิ่วเชียนยี่ ผู้หญิงทั้งสองคนนี้เป็นเหมือนนางฟ้าในใจของเขาที่เขายังคงไม่ลืมหลังจากที่เรียนจบ ตอนนี้ในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้ทำให้พวกเธอประทับใจในตัวเขาบ้างแล้ว
หวังตงแสยะยิ้มอย่างได้ใจ ในขณะที่เขากำลังจะข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามอยู่นั้น แต่สุดท้ายชายร่างใหญ่หัวล้านกลับกำหมัดแล้วต่อยใส่หน้าเขาทันที ทำให้ตัวเขาหน้าหงายล้มลงไปกับพื้น
"โอ๊ย แกรู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร แก….."
ตุบ ตุบ ตุบ!
หวังตงอยากจะบอกตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง แต่ชายร่างใหญ่หัวล้านกลับไม่ให้โอกาสเขาเลยด้วยซ้ำ กำปั้นของฝ่ายตรงข้ามได้ร่วงลงบนใบหน้าของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
ผ่านไปไม่ถึง 1 นาที ใบหน้าของหวังตงก็ได้บวมเต่งไปทั้งหน้าแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ฟันที่อยู่ในปากก็ใกล้จะร่วงลงมาหมดปากแล้วเหมือนกัน
เขากำลังร้องไห้ฟูมฟายพลางกราบขอร้องอ้อนวอน ไม่มีความกล้าที่จะพูดอะไรอีก
ชายร่างใหญ่หัวล้านถ่มน้ำลายใส่เขาแล้วด่ากราดว่า : "แม่งบรรยากาศเสียหมดเลย แกแม่งใหญ่โตมาจากไหนวะถึงได้กล้ามาพังเรื่องดีๆของฉัน แกลองออกไปสืบดูก่อนว่าฉันเฮียหัวล้านอยู่แก๊งเดียวกับใคร ตระกูลเหยียนน่ะ แกเคยได้ยินมาก่อนหรือเปล่า หัวหน้าตระกูลเหยียนแห่งเมืองเจียงเป็นลูกพี่ใหญ่ของฉันเอง!"
เมื่อได้ยินคำว่า"ตระกูลเหยียน"
ทำให้สีหน้าของทุกคนที่อยู่ภายในห้องต่างเปลี่ยนแปลงไป หวังตงยิ่งรู้สึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก
เขาก็เป็นแค่ผู้จัดการหน้าล็อบบี้ของโรงแรมหนึ่งในเมืองเท่านั้นแหละ ถึงแม้จะยืมความกล้าให้เขาอีกกี่เท่าตัว เขาก็ไม่กล้าต่อกรกับตระกูลเหยียน!
"พวกแกคือใครกันแน่?"
หวู่ยวิ๋นถามหาความรับผิดชอบ
"ฉันเป็นเจ้าหนี้ของผู้ชายแก!" ชายร่างใหญ่หัวล้านแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายพลางพูด
"ผู้ชายของฉัน?"
หวู่ยวิ๋นขึงตา "แกกำลังพูดเหลวไหลอะไรอยู่ ฉันหย่ากับไอ้หมอนั่นตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว เรื่องของมันเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน?"
"งั้นก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ"
ชายร่างใหญ่หัวล้านยักไหล่ "มันติดหนี้พวกเรา 20 ล้านและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มันทิ้งช่องทางการติดต่อและรูปถ่ายของแกเอาไว้ ถ้าเกิดพวกเราไม่มาหาแก จะให้เราไปหาใคร?"
หลังจากที่ได้ยินแบบนี้แล้วทำให้ใบหน้าของหวู่ยวิ๋นขาวซีดลงมาภายในพริบตา
ยังไม่รอให้เธอตอบสนองกลับมาได้ ชายร่างใหญ่หัวล้านก็ได้จับมือของเธอเอาไว้ก่อน เตรียมพร้อมที่จะลากตัวเธอออกไปจากห้อง
"พวกแกจะทำอะไร?!"
หวู่ยวิ๋นตะโกนเสียงดัง
"เอาตัวแกไปแลกกับเงินไงล่ะ ยังต้องถามอีกหรอ?"
ชายร่างใหญ่หัวล้านหัวเราะดังลั่น พลางกวาดตามองดูเรือนร่างของหวู่ยวิ๋นด้วยสายตาที่อุกอาจ
เมื่อเห็นว่าหวู่ยวิ๋นถูกลากออกไปนอกห้อง เธอในตอนนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย คนที่อยู่ข้างๆจึงพูดเร่งว่า : "หลินเทียนฉี นายเคยเป็นทหารมาก่อนไม่ใช่หรอ รีบเข้าไปช่วยคนสิ!"
หลิ่วเชียนยี่ก็เดินเข้ามาดึงแขนเสื้อของหลินเทียนฉีเช่นกัน "เพื่อนหลิน ตอนนั้นครูหวู่ทำดีกับนายขนาดนั้น ถ้าเกิดนายมีปัญญาช่วยครูได้จริงๆ นายก็อย่านิ่งดูดายอย่างเดียวสิ!"
หลินเทียนฉีไม่ได้พูดอะไร แค่กำลังจิบชาอย่างเงียบๆ
"อย่าไปขอร้องอะไรคนอกตัญญูแบบนั้นเลย ตอนนั้นครูหวู่ทำดีกับมันขนาดนั้น แต่ตอนนี้มันกลับไม่มีความกล้าที่จะลุกยืนขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ!"
มีคนลุกพรวดขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่โกรธกริ้ว ก่อนจะใช้นิ้วชี้หน้าหลินเทียนฉีพลางด่ากราด
"เป็นพวกกินบนเรือนขี้บนหลังคาจริงๆ แม่งไม่มีความเป็นคนหลงเหลืออยู่อีกแล้ว!"
"ขากก ถุ้ยย!! ฉันรู้สึกอายมากที่มีเพื่อนร่วมห้องอย่างแก เราทุกคนรีบโทรแจ้งตำรวจเถอะ!"
"ทางที่ดีพวกเธออย่าโทรแจ้งตำรวจจะดีที่สุด"
หลังจากที่หลิ่วเชียนยี่หยิบโทรศัพท์ออกมาและเตรียมพร้อมที่จะโทรแจ้งตำรวจ จู่ๆหลินเทียนฉีก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมา
"นายพูดว่าอะไรนะ?"
หลิ่วเชียนยี่มองดูผู้ชายคนนี้ด้วยสายตาที่เหลือเชื่อ "นายไม่เพียงแต่ไม่กล้าช่วยครู แต่ตอนนี้นายไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะโทรแจ้งตำรวจงั้นหรือ?"
"หลินเทียนฉี นายทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังมากจริงๆ"
จะว่าไปเมื่อก่อน หลิ่วเชียนยี่ก็เคยรู้สึกหวั่นไหวต่อหลินเทียนฉีอยู่เหมือนกัน
สมัยตอนที่ยังเรียนมัธยม แม้หลินเทียนฉีจะเป็นคนที่ผอมแห้งแรงน้อย แต่เขาเป็นคนที่ฉลาดมากจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นการสอบครั้งไหนๆ คะแนนของเขาก็จะอยู่ท็อปสามมาโดยตลอด มิเช่นนั้นหวู่ยวิ๋นก็คงไม่มีทางดูแลและให้ความสำคัญเขาเป็นพิเศษ
หลิ่วเชียนยี่ในตอนนั้นเป็นเหมือนดาวโรงเรียน ฐานะทางบ้านไม่แย่ เธอจึงไม่มีความสนใจต่อลูกคนรวยเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ
ในทางตรงกันข้ามเธอรู้สึกสงสัยในตัวหลินเทียนฉีที่ถูกคนอื่นรังแกมาโดยตลอดมากๆ
แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาในการเรียนมัธยมมันสั้นเกินไป ยังไม่รอให้เธอรวบรวมความกล้าแล้วเข้าไปทำความรู้จักเขาให้ดีมากยิ่งขึ้น พวกเขาทั้งสองคนก็ได้พรากจากกันไปก่อนแล้ว
การได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง เธอรู้สึกดีใจมากจริงๆ
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าพฤติกรรมของหลินเทียนฉีมันย่ำแย่กว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้ในตอนแรกเยอะมาก มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
"หัวหน้าห้องครับ อย่าไปสนใจมันเลย รีบโทรแจ้งตำรวจก่อนเถอะ!"
มีคนพูดเร่งขึ้นมาอีกครั้ง : "ถ้าเกิดช้ากว่านี้ ชีวิตของครูอาจจะตกอยู่ในความอันตรายได้นะ!"
หลิ่วเชียนยี่พยักหน้าก่อนที่เธอจะรีบกดเบอร์โทร แต่เธอยังไม่ทันได้กดโทรออก จู่ๆประตูห้องก็ถูกคนอื่นเปิดออก!
ชายหนุ่มที่หน้าตาอัปลักษณ์และมีฟันทองคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามาด้านในพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูชั่วร้าย
ในมือของเขายังมีมีดสั้นอีกเล่มหนึ่ง เขากำลังใช้มีดที่แหลมคมชี้มาทางพวกเขาทุกคน
"ลูกพี่ใหญ่ให้ฉันค่อยจับตาดูพวกแกเอาไว้ดีๆ ไม่แน่พวกแกอาจจะโทรแจ้งตำรวจได้ และลูกพี่ใหญ่ก็เดาถูกต้องจริงๆด้วย!"
ทันทีที่ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาในห้องแล้ว หลิ่วเชียนยี่ก็รีบซ่อนโทรศัพท์ของตัวเองกลับเข้าที่ทันที
แต่ก็สายไปแล้ว เนื่องจากคนดังกล่าวยืนอยู่ตรงหน้าประตูมาโดยตลอด และเขาก็ได้ยินบทสนทนาที่อยู่ด้านในห้องชัดแจ๋วทั้งสองหู
"พูดมาเถอะ เมื่อกี้ใครเป็นคนโทรแจ้งตำรวจ สภาพออกมาเดี๋ยวนี้ ฉันจะอบรมสั่งสอนแค่คนเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดไม่สารภาพ งั้นพวกเขาทุกคนก็ต้องทรมานพร้อมกัน!"
ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูชั่วร้าย ก่อนที่เขาจะปักมีดสั้นลงไปบนโต๊ะจนเสียงดัง"ตึก"
ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างตกใจจนสะดุ้ง นั่งลงไปกับที่ด้วยใบหน้าที่ขาวซีด
พวกคนที่ขี้ขลาดหน่อย ตกใจมากจนร้องไห้แล้ว
"ไม่บอกใช่ไหม งั้นก็เริ่มที่แกแล้วกัน!"
ชายหนุ่มเบ้ปาก ก่อนที่เขาจะชักมีดขึ้นมาและมุ่งหน้าเดินเข้าไปหาคนที่อยู่ใกล้กับเขามากที่สุด
"ฉันบอก ฉันจะบอกเอง!"
คนคนนั้นก็ตกใจมากจนขวัญเสียไปแล้วจริงๆ : "มันเป็นคนโทรแจ้งตำรวจ มันเป็นคนที่ครูของเราชื่นชอบมากที่สุด ครูของเราโดนจับกุมตัวไปแล้ว มันจึงต้องกังวลใจมากกว่าเราทุกคนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว!"
หลังจากที่ได้ยินแบบนี้ ทำให้สีหน้าของทุกคนที่อยู่ภายในห้องเปลี่ยนแปลงไป
แต่ทว่าเร็วมากพวกเขาก็ได้ใจเย็นลงมา
"ถูกต้อง ฉันก็เป็นพยานให้ได้เหมือนกัน คนที่ชื่อหลินเทียนฉีนั่นเป็นคนจะโทรแจ้งตำรวจ!"
"ฉันก็เป็นพยานให้ได้เหมือนกัน พวกเราบอกกับมันแล้วว่าเฮียหัวล้านเป็นคนที่มีปัญหาด้วยไม่ได้ แต่มันไม่ฟังพวกเราเอง ดื้อด้านที่จะเป็นศัตรูกับเฮียหัวล้าน!"
"ไอ้หมอนั่นมันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง สภาพมันเหมือนคนวอนตีนตั้งแต่เกิดแล้ว!"
ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างพากันพูดคนละคำ และโยนความผิดทั้งหมดมาที่หลินเทียนฉีคนเดียว
มีแค่หลิ่วเชียนยี่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่พูดอะไร ตอนนี้เธอรู้สึกผิดอยู่ในใจมากๆ
เมื่อกี้หลินเทียนฉีเป็นคนบอกให้พวกเขาว่าอย่าโทรแจ้งตำรวจ แสดงว่าเขาต้องรู้แน่นอนว่าด้านนอกมีคน
แต่พวกเขาไม่เพียงแต่จะไม่ฟังคำแนะนำ และยังด่าหลินเทียนฉีว่าเป็นคนที่ลืมบุญคุณอีกด้วย
ตอนนี้มีปัญหาเกิดขึ้นมาแล้ว พวกเขากลับโยนความผิดทั้งหมดให้หลินเทียนฉี แบบนี้มันไม่ถูกต้อง!
เธออยากจะช่วยหลินเทียนฉีอธิบาย แต่กลับถูกเพื่อนผู้หญิงที่อยู่ข้างๆจับข้อมือเอาไว้ก่อน เพื่อเป็นการบอกให้เธออย่าหาเหาใส่หัว
ชายหนุ่มเดินเข้าไปด้านหน้าหลินเทียนฉี ก่อนจะใช้มีดสั้นจี้ลงกลางศีรษะของเขา "ใช้มือข้างไหนโทรแจ้งตำรวจ แบออกมา ฉันแค่ตัดนิ้วนิ้วเดียวของแกก็พอแล้ว"
"ฉันขอแนะนำให้แกวางมีดลงมาก่อนจะดีกว่า ฉันไม่ชอบให้คนอื่นใช้สิ่งของมาชี้หัวฉัน"
หลินเทียนฉีวางแก้วชาที่อยู่ในมือลงมา แล้วพูดอย่างเชื่องช้า
"ฮ่าๆๆ!"
ชายหนุ่มหัวเราะดังลั่น เหมือนกำลังมองคนโง่คนนึงอยู่ยังไงอย่างนั้น "งั้นวันนี้ฉันก็จะใช้มีดชี้หัวแกนี่แหละ ดูซิว่าแกจะทำอะไรฉันได้…."
เพี๊ยะ——แคว็ก!!
เขายังไม่ทันได้พูดจบ หลินเทียนฉีลุกพรวดขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของเขาทันที
ศีรษะของชายหนุ่มหันไปเจ็ดร้อยกว่าองศา ก่อนที่คอของเขาจะตกลงบนหัวไหล่ ดวงตาทั้งสองข้างระเบิดแตกกระจายออกมา ตายตาไม่หลับ
ภายในห้องเงียบกริบลงไปทันที
ชายร่างใหญ่หัวล้านมองเจ้าของมือด้วยสายตาที่โกรธเคือง
ทุกคนหันกลับไปมอง ก่อนจะพบว่าคนที่ลุกขึ้นมาช่วยหวู่ยวิ๋นคือหวังตง!
ในทางตรงกันข้ามหลินเทียนฉีที่หวู่ยวิ๋นดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ และยังเป็นทหารมานานเป็นเวลา 8 ปี กลับยังคงนั่งอยู่กับที่ และไม่กล้าจะเดินเข้ามาแตะต้องฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่ปลายเล็บ
นี่จึงทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งรู้สึกรังเกียจหลินเทียนฉีมากขึ้น แม้แต่ตัวหวู่ยวิ๋นเองก็รู้สึกผิดหวังต่อหลินเทียนฉีเล็กน้อย
"อยากจะถวายครูของฉันงั้นหรอ แกถามฉันก่อนหรือยัง?"
สีหน้าอารมณ์ของหวังตงดูได้ใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาสังเกตเห็นแล้วว่าเพื่อนร่วมห้องของเขากำลังมองมาทางตัวเองด้วยสายตาแบบนั้น
โดยเฉพาะหวู่ยวิ๋นและหลิ่วเชียนยี่ ผู้หญิงทั้งสองคนนี้เป็นเหมือนนางฟ้าในใจของเขาที่เขายังคงไม่ลืมหลังจากที่เรียนจบ ตอนนี้ในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้ทำให้พวกเธอประทับใจในตัวเขาบ้างแล้ว
หวังตงแสยะยิ้มอย่างได้ใจ ในขณะที่เขากำลังจะข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามอยู่นั้น แต่สุดท้ายชายร่างใหญ่หัวล้านกลับกำหมัดแล้วต่อยใส่หน้าเขาทันที ทำให้ตัวเขาหน้าหงายล้มลงไปกับพื้น
"โอ๊ย แกรู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร แก….."
ตุบ ตุบ ตุบ!
หวังตงอยากจะบอกตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง แต่ชายร่างใหญ่หัวล้านกลับไม่ให้โอกาสเขาเลยด้วยซ้ำ กำปั้นของฝ่ายตรงข้ามได้ร่วงลงบนใบหน้าของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
ผ่านไปไม่ถึง 1 นาที ใบหน้าของหวังตงก็ได้บวมเต่งไปทั้งหน้าแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ฟันที่อยู่ในปากก็ใกล้จะร่วงลงมาหมดปากแล้วเหมือนกัน
เขากำลังร้องไห้ฟูมฟายพลางกราบขอร้องอ้อนวอน ไม่มีความกล้าที่จะพูดอะไรอีก
ชายร่างใหญ่หัวล้านถ่มน้ำลายใส่เขาแล้วด่ากราดว่า : "แม่งบรรยากาศเสียหมดเลย แกแม่งใหญ่โตมาจากไหนวะถึงได้กล้ามาพังเรื่องดีๆของฉัน แกลองออกไปสืบดูก่อนว่าฉันเฮียหัวล้านอยู่แก๊งเดียวกับใคร ตระกูลเหยียนน่ะ แกเคยได้ยินมาก่อนหรือเปล่า หัวหน้าตระกูลเหยียนแห่งเมืองเจียงเป็นลูกพี่ใหญ่ของฉันเอง!"
เมื่อได้ยินคำว่า"ตระกูลเหยียน"
ทำให้สีหน้าของทุกคนที่อยู่ภายในห้องต่างเปลี่ยนแปลงไป หวังตงยิ่งรู้สึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก
เขาก็เป็นแค่ผู้จัดการหน้าล็อบบี้ของโรงแรมหนึ่งในเมืองเท่านั้นแหละ ถึงแม้จะยืมความกล้าให้เขาอีกกี่เท่าตัว เขาก็ไม่กล้าต่อกรกับตระกูลเหยียน!
"พวกแกคือใครกันแน่?"
หวู่ยวิ๋นถามหาความรับผิดชอบ
"ฉันเป็นเจ้าหนี้ของผู้ชายแก!" ชายร่างใหญ่หัวล้านแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายพลางพูด
"ผู้ชายของฉัน?"
หวู่ยวิ๋นขึงตา "แกกำลังพูดเหลวไหลอะไรอยู่ ฉันหย่ากับไอ้หมอนั่นตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว เรื่องของมันเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน?"
"งั้นก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ"
ชายร่างใหญ่หัวล้านยักไหล่ "มันติดหนี้พวกเรา 20 ล้านและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มันทิ้งช่องทางการติดต่อและรูปถ่ายของแกเอาไว้ ถ้าเกิดพวกเราไม่มาหาแก จะให้เราไปหาใคร?"
หลังจากที่ได้ยินแบบนี้แล้วทำให้ใบหน้าของหวู่ยวิ๋นขาวซีดลงมาภายในพริบตา
ยังไม่รอให้เธอตอบสนองกลับมาได้ ชายร่างใหญ่หัวล้านก็ได้จับมือของเธอเอาไว้ก่อน เตรียมพร้อมที่จะลากตัวเธอออกไปจากห้อง
"พวกแกจะทำอะไร?!"
หวู่ยวิ๋นตะโกนเสียงดัง
"เอาตัวแกไปแลกกับเงินไงล่ะ ยังต้องถามอีกหรอ?"
ชายร่างใหญ่หัวล้านหัวเราะดังลั่น พลางกวาดตามองดูเรือนร่างของหวู่ยวิ๋นด้วยสายตาที่อุกอาจ
เมื่อเห็นว่าหวู่ยวิ๋นถูกลากออกไปนอกห้อง เธอในตอนนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย คนที่อยู่ข้างๆจึงพูดเร่งว่า : "หลินเทียนฉี นายเคยเป็นทหารมาก่อนไม่ใช่หรอ รีบเข้าไปช่วยคนสิ!"
หลิ่วเชียนยี่ก็เดินเข้ามาดึงแขนเสื้อของหลินเทียนฉีเช่นกัน "เพื่อนหลิน ตอนนั้นครูหวู่ทำดีกับนายขนาดนั้น ถ้าเกิดนายมีปัญญาช่วยครูได้จริงๆ นายก็อย่านิ่งดูดายอย่างเดียวสิ!"
หลินเทียนฉีไม่ได้พูดอะไร แค่กำลังจิบชาอย่างเงียบๆ
"อย่าไปขอร้องอะไรคนอกตัญญูแบบนั้นเลย ตอนนั้นครูหวู่ทำดีกับมันขนาดนั้น แต่ตอนนี้มันกลับไม่มีความกล้าที่จะลุกยืนขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ!"
มีคนลุกพรวดขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่โกรธกริ้ว ก่อนจะใช้นิ้วชี้หน้าหลินเทียนฉีพลางด่ากราด
"เป็นพวกกินบนเรือนขี้บนหลังคาจริงๆ แม่งไม่มีความเป็นคนหลงเหลืออยู่อีกแล้ว!"
"ขากก ถุ้ยย!! ฉันรู้สึกอายมากที่มีเพื่อนร่วมห้องอย่างแก เราทุกคนรีบโทรแจ้งตำรวจเถอะ!"
"ทางที่ดีพวกเธออย่าโทรแจ้งตำรวจจะดีที่สุด"
หลังจากที่หลิ่วเชียนยี่หยิบโทรศัพท์ออกมาและเตรียมพร้อมที่จะโทรแจ้งตำรวจ จู่ๆหลินเทียนฉีก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมา
"นายพูดว่าอะไรนะ?"
หลิ่วเชียนยี่มองดูผู้ชายคนนี้ด้วยสายตาที่เหลือเชื่อ "นายไม่เพียงแต่ไม่กล้าช่วยครู แต่ตอนนี้นายไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะโทรแจ้งตำรวจงั้นหรือ?"
"หลินเทียนฉี นายทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังมากจริงๆ"
จะว่าไปเมื่อก่อน หลิ่วเชียนยี่ก็เคยรู้สึกหวั่นไหวต่อหลินเทียนฉีอยู่เหมือนกัน
สมัยตอนที่ยังเรียนมัธยม แม้หลินเทียนฉีจะเป็นคนที่ผอมแห้งแรงน้อย แต่เขาเป็นคนที่ฉลาดมากจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นการสอบครั้งไหนๆ คะแนนของเขาก็จะอยู่ท็อปสามมาโดยตลอด มิเช่นนั้นหวู่ยวิ๋นก็คงไม่มีทางดูแลและให้ความสำคัญเขาเป็นพิเศษ
หลิ่วเชียนยี่ในตอนนั้นเป็นเหมือนดาวโรงเรียน ฐานะทางบ้านไม่แย่ เธอจึงไม่มีความสนใจต่อลูกคนรวยเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ
ในทางตรงกันข้ามเธอรู้สึกสงสัยในตัวหลินเทียนฉีที่ถูกคนอื่นรังแกมาโดยตลอดมากๆ
แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาในการเรียนมัธยมมันสั้นเกินไป ยังไม่รอให้เธอรวบรวมความกล้าแล้วเข้าไปทำความรู้จักเขาให้ดีมากยิ่งขึ้น พวกเขาทั้งสองคนก็ได้พรากจากกันไปก่อนแล้ว
การได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง เธอรู้สึกดีใจมากจริงๆ
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าพฤติกรรมของหลินเทียนฉีมันย่ำแย่กว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้ในตอนแรกเยอะมาก มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
"หัวหน้าห้องครับ อย่าไปสนใจมันเลย รีบโทรแจ้งตำรวจก่อนเถอะ!"
มีคนพูดเร่งขึ้นมาอีกครั้ง : "ถ้าเกิดช้ากว่านี้ ชีวิตของครูอาจจะตกอยู่ในความอันตรายได้นะ!"
หลิ่วเชียนยี่พยักหน้าก่อนที่เธอจะรีบกดเบอร์โทร แต่เธอยังไม่ทันได้กดโทรออก จู่ๆประตูห้องก็ถูกคนอื่นเปิดออก!
ชายหนุ่มที่หน้าตาอัปลักษณ์และมีฟันทองคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามาด้านในพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูชั่วร้าย
ในมือของเขายังมีมีดสั้นอีกเล่มหนึ่ง เขากำลังใช้มีดที่แหลมคมชี้มาทางพวกเขาทุกคน
"ลูกพี่ใหญ่ให้ฉันค่อยจับตาดูพวกแกเอาไว้ดีๆ ไม่แน่พวกแกอาจจะโทรแจ้งตำรวจได้ และลูกพี่ใหญ่ก็เดาถูกต้องจริงๆด้วย!"
ทันทีที่ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาในห้องแล้ว หลิ่วเชียนยี่ก็รีบซ่อนโทรศัพท์ของตัวเองกลับเข้าที่ทันที
แต่ก็สายไปแล้ว เนื่องจากคนดังกล่าวยืนอยู่ตรงหน้าประตูมาโดยตลอด และเขาก็ได้ยินบทสนทนาที่อยู่ด้านในห้องชัดแจ๋วทั้งสองหู
"พูดมาเถอะ เมื่อกี้ใครเป็นคนโทรแจ้งตำรวจ สภาพออกมาเดี๋ยวนี้ ฉันจะอบรมสั่งสอนแค่คนเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดไม่สารภาพ งั้นพวกเขาทุกคนก็ต้องทรมานพร้อมกัน!"
ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูชั่วร้าย ก่อนที่เขาจะปักมีดสั้นลงไปบนโต๊ะจนเสียงดัง"ตึก"
ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างตกใจจนสะดุ้ง นั่งลงไปกับที่ด้วยใบหน้าที่ขาวซีด
พวกคนที่ขี้ขลาดหน่อย ตกใจมากจนร้องไห้แล้ว
"ไม่บอกใช่ไหม งั้นก็เริ่มที่แกแล้วกัน!"
ชายหนุ่มเบ้ปาก ก่อนที่เขาจะชักมีดขึ้นมาและมุ่งหน้าเดินเข้าไปหาคนที่อยู่ใกล้กับเขามากที่สุด
"ฉันบอก ฉันจะบอกเอง!"
คนคนนั้นก็ตกใจมากจนขวัญเสียไปแล้วจริงๆ : "มันเป็นคนโทรแจ้งตำรวจ มันเป็นคนที่ครูของเราชื่นชอบมากที่สุด ครูของเราโดนจับกุมตัวไปแล้ว มันจึงต้องกังวลใจมากกว่าเราทุกคนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว!"
หลังจากที่ได้ยินแบบนี้ ทำให้สีหน้าของทุกคนที่อยู่ภายในห้องเปลี่ยนแปลงไป
แต่ทว่าเร็วมากพวกเขาก็ได้ใจเย็นลงมา
"ถูกต้อง ฉันก็เป็นพยานให้ได้เหมือนกัน คนที่ชื่อหลินเทียนฉีนั่นเป็นคนจะโทรแจ้งตำรวจ!"
"ฉันก็เป็นพยานให้ได้เหมือนกัน พวกเราบอกกับมันแล้วว่าเฮียหัวล้านเป็นคนที่มีปัญหาด้วยไม่ได้ แต่มันไม่ฟังพวกเราเอง ดื้อด้านที่จะเป็นศัตรูกับเฮียหัวล้าน!"
"ไอ้หมอนั่นมันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง สภาพมันเหมือนคนวอนตีนตั้งแต่เกิดแล้ว!"
ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างพากันพูดคนละคำ และโยนความผิดทั้งหมดมาที่หลินเทียนฉีคนเดียว
มีแค่หลิ่วเชียนยี่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่พูดอะไร ตอนนี้เธอรู้สึกผิดอยู่ในใจมากๆ
เมื่อกี้หลินเทียนฉีเป็นคนบอกให้พวกเขาว่าอย่าโทรแจ้งตำรวจ แสดงว่าเขาต้องรู้แน่นอนว่าด้านนอกมีคน
แต่พวกเขาไม่เพียงแต่จะไม่ฟังคำแนะนำ และยังด่าหลินเทียนฉีว่าเป็นคนที่ลืมบุญคุณอีกด้วย
ตอนนี้มีปัญหาเกิดขึ้นมาแล้ว พวกเขากลับโยนความผิดทั้งหมดให้หลินเทียนฉี แบบนี้มันไม่ถูกต้อง!
เธออยากจะช่วยหลินเทียนฉีอธิบาย แต่กลับถูกเพื่อนผู้หญิงที่อยู่ข้างๆจับข้อมือเอาไว้ก่อน เพื่อเป็นการบอกให้เธออย่าหาเหาใส่หัว
ชายหนุ่มเดินเข้าไปด้านหน้าหลินเทียนฉี ก่อนจะใช้มีดสั้นจี้ลงกลางศีรษะของเขา "ใช้มือข้างไหนโทรแจ้งตำรวจ แบออกมา ฉันแค่ตัดนิ้วนิ้วเดียวของแกก็พอแล้ว"
"ฉันขอแนะนำให้แกวางมีดลงมาก่อนจะดีกว่า ฉันไม่ชอบให้คนอื่นใช้สิ่งของมาชี้หัวฉัน"
หลินเทียนฉีวางแก้วชาที่อยู่ในมือลงมา แล้วพูดอย่างเชื่องช้า
"ฮ่าๆๆ!"
ชายหนุ่มหัวเราะดังลั่น เหมือนกำลังมองคนโง่คนนึงอยู่ยังไงอย่างนั้น "งั้นวันนี้ฉันก็จะใช้มีดชี้หัวแกนี่แหละ ดูซิว่าแกจะทำอะไรฉันได้…."
เพี๊ยะ——แคว็ก!!
เขายังไม่ทันได้พูดจบ หลินเทียนฉีลุกพรวดขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของเขาทันที
ศีรษะของชายหนุ่มหันไปเจ็ดร้อยกว่าองศา ก่อนที่คอของเขาจะตกลงบนหัวไหล่ ดวงตาทั้งสองข้างระเบิดแตกกระจายออกมา ตายตาไม่หลับ
ภายในห้องเงียบกริบลงไปทันที
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved