บทที่ 7 แนะนำงาน
by สันเป่าเอ๋อ
10:39,Nov 22,2021
"นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?!"
ทุกคนต่างรู้สึกตะลึงเป็นอย่างมาก ก่อนที่หลิ่วเชียนยี่จะรีบวิ่งเข้าไปประคองตัวเขาเอาไว้
เผยหย่งเอามือกุมหน้าท้องพลางตะเกียกตะกายอยู่บนพื้น เจ็บปวดมากจนร้องโอญครวญอยู่ตลอดเวลา
"มันแน่ๆ ต้องเป็นฝีมือของมันแน่ๆ!"
ใบหน้าของเผยหย่งบิดเบี้ยว เขากำลังใช้นิ้วชี้หน้าหลินเทียนฉีพลางตะโกนเสียงดัง
ทุกคนได้นำสายตาจับจ้องมาทางหลินเทียนฉี หลินเทียนฉีไม่ได้อธิบายอะไร แต่เขาแค่พูดว่า : "ส่งไปโรงพยาบาลตอนนี้ยังมีโอกาสรอดชีวิตได้ ถ้าเกิดสายไปกว่านี้คงหมดหนทางจริงๆแล้วล่ะ"
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว เผยหย่งจะมีอารมณ์ไปหาเรื่องหลินเทียนฉีอีกได้อย่างไร ก่อนที่เขาจะรีบบอกให้เพื่อนที่สนิทส่งตัวเขาไปโรงพยาบาล
"เพื่อนหลิน ตกลงแล้วนี่มันอะไรยังไงกันแน่?"
หลิ่วเชียนยี่นำตัวคนส่งขึ้นรถก่อนที่เธอจะเดินย้อนกลับมาถามหลินเทียนฉี
"ฉันไม่ใช่หมอ ไม่เข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียด แต่แค่ดูจากสีหน้าของเขาก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติได้ชัดเจนแล้ว"
อยู่ในกองทัพมาเป็นเวลา 8 ปี หลินเทียนฉีเคยผ่านสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายมาหลายรูปแบบแล้ว บางครั้งถ้าเกิดเป็นบาดแผลเล็กๆน้อยๆเขาสามารถรักษาเองได้
บาดแผลที่สาหัสหน่อย ถึงแม้จะไม่ทราบวิธีการรักษา แต่อย่างน้อยเขาก็พอเข้าใจอยู่เล็กน้อย เมื่อกี้แววตาทั้งสองข้างของเผยหย่งหม่นหมอง ใบหน้าดูเขียวช้ำ เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นอาการก่อนโรคจะกำเริบ
"งั้นเราก็เข้าไปกันเถอะ ครูหวู่รอพวกเราอยู่ด้านในแล้ว"
หลิ่วเชียนยี่พูดด้วยน้ำเสียงในเชิงหมดหนทาง
ภายในห้องอาหารของโรงแรม
ในที่สุดหลินเทียนฉีก็ได้เจอหน้าครูสมัยมัธยม หวู่ยวิ๋น แล้ว
ตอนที่เขายังเรียนมัธยม อันที่จริงหวู่ยวิ๋นก็เพิ่งเรียนจบมหาลัยมากใหม่ๆเช่นกัน เวลาผ่านไป 8 ปีแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกของหวู่ยวิ๋นดูโตขึ้นเยอะมากๆ แต่เธอก็ยังคงเป็นผู้หญิงที่งดงามอยู่เช่นเคย
"ครูหวู่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ" หลินเทียนฉีทำการทักทายอย่างมีมารยาท
หลังจากที่หวู่ยวิ๋นเห็นหลินเทียนฉีแล้ว แววตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมาก่อนที่เธอจะยิ้มหวานพลางพูดว่า : "เทียนฉี นายกลับมาสักทีนะ ไม่ได้เจอกันนานหลายปีแล้ว นายเป็นหนุ่มหล่อไปแล้วเนี่ย"
ถูกสาวสวยที่มีความเป็นผู้ใหญ่ชื่นชมแบบนี้ ถ้าเกิดเปลี่ยนเป็นคนอื่น คนคนนั้นคงรู้สึกดีใจมากจนควบคุมตัวเองไม่ได้ตั้งนานแล้ว
แต่หลินเทียนฉีเป็นคนที่เคยผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆมาเยอะ ซึ่งสิ่งที่เขาเคยประสบพบเจอมาเป็นสิ่งที่คนอื่นจินตนาการไม่ได้ เขาแค่อมยิ้มเล็กน้อยและปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป
เมื่อผู้ชายคนอื่นในห้องเห็นแบบนี้แล้ว ทำให้พวกเขาต่างพากันแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น
ไอ้หมอนี่ ครูประจำชั้นแค่ชื่นชมมันแค่ไม่กี่คำมันก็เริ่มเหลิงแล้ว วิธีการแบบนี้ของแกมันต่ำตมเกินไปหรือเปล่า
"เทียนฉี นายทำงานอยู่ในกองทัพมานานขนาดนี้แล้ว นายได้เลื่อนขั้นบ้างหรือยัง?"
และในตอนนี้เอง ชายแว่นที่นั่งอยู่ข้างกายหวู่ยวิ๋นคนหนึ่งก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมา
หวังตง รองหัวหน้าห้องและหัวหน้าด้านการเรียนของห้องเมื่อสมัยมัธยม หลินเทียนฉียังพอจำเขาได้อยู่บ้างเล็กน้อย
เมื่อได้ยินเขาถามถึงตำแหน่งระดับของตัวเอง หลินเทียนฉีแค่ส่ายหน้าเงียบๆ
หวังตงขมวดคิ้ว "ไม่อยากพูดหรอ งั้นเดี๋ยวฉันขอเดาดูก่อน เป็นแม่ทัพหรอ?"
หลินเทียนฉีส่ายหน้า
"เป็นหัวหน้าค่าย?"
หลินเทียนฉีส่ายหน้าอีกครั้ง
"งั้นคงต้องเป็นระดับนายทหารแล้วล่ะใช่ไหม นายอย่าบอกนะว่านายเข้าร่วมกองทัพมา 8 ปีกว่าแล้ว แต่นายเป็นแค่จ่าคนหนึ่ง?"
ใบหน้าของหวังตงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อ
หลินเทียนฉียังคงส่ายหน้าเช่นเคย "ฉันไม่ใช่นายทหารและไม่ใช่จ่าด้วย"
"ว่าไงนะ?"
ครั้งนี้ทำเอาทุกคนที่อยู่ในห้องต่างรู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก
ทุกคนต่างพากันมองหน้าซึ่งกันและกันและแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น แววตาที่มองไปทางหลินเทียนฉีก็เริ่มเยือกเย็นลงมาเช่นกัน
ตอนแรกทุกคนก็คิดว่าไอ้หมอนี่ที่อยู่ในกองทัพทหารเริ่มมีระดับตำแหน่งบ้างแล้ว และอยากจะเข้าไปตีสนิท แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเขาเป็นแค่ทหารธรรมดาทั่วไปมาเป็นเวลา 8 ปี การทหารของเขาก็เท่ากับสูญเปล่าไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?
หวู่ยวิ๋นเห็นว่าบรรยากาศภายในห้องเริ่มอึดอัดลง ดังนั้นเธอจึงหัวเราะแล้วพูดกับทุกคนว่า : "เราทุกคนก็เป็นเพื่อนร่วมห้องเหมือนกัน ตอนที่ยังเรียนอยู่ครูบอกกับพวกเธอไปว่ายังไง ครูบอกให้พวกเธอรักกันและสมานฉันท์กันเอาไว้ ตอนนี้พวกเธอลืมไปหมดแล้วหรอ?"
"หวังตง ครูได้ยินมาว่านายเป็นผู้จัดการหน้าล็อบบี้ของโรงแรมแห่งหนึ่งไม่ใช่หรอ ตอนนี้หลินเทียนฉีออกมาจากกองทัพแล้ว นายช่วยแนะนำงานให้เขาหน่อยสิ เป็นยังไง?"
"โอ๊ยครูหวู่ครับ นี่ครูกำลังทำให้ผมรู้สึกลำบากใจอยู่นะครับ"
หวังตงแกล้งทำเป็นรู้สึกลำบากใจ "โรงแรมของพวกเราเป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่หาพบได้น้อยในเมืองเจียง ถึงแม้จะเป็นรปภที่มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรงหน้าทางเข้า ก็ต้องเป็นคนที่จบระดับปริญญาเอกนะครับ หลินเทียนฉีเป็นแค่ทหารธรรมดาทั่วไปคนนึง ผมยากที่จะจัดการเรื่องนี้ได้จริงๆนะครับ"
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ใบหน้าของหวู่ยวิ๋นก็มีความรู้สึกอึดอัดปรากฏขึ้นมา แต่เธอยังไม่ยอมแพ้ ก่อนที่เธอจะขยับเข้าไปใกล้หวังตง
"หวังตง ถือซะว่าเป็นการช่วยเหลือครูแล้วกัน นายเป็นถึงผู้จัดการหน้าล็อบบี้แล้ว จัดการตำแหน่งหน้าที่งานที่คนไม่ค่อยสนใจ น่าจะไม่ใช่ปัญหาใช่ไหม?"
"ครูหวู่พูดถึงขั้นนี้แล้ว ผมก็คงตอบปฏิเสธไม่ได้แล้วล่ะครับ"
หวังตงแอบชำเลืองมองหน้าอกของหวู่ยวิ๋นพลางกลืนน้ำลายแล้วพูดว่า : "เอาแบบนี้เถอะครับ ตอนนี้โรงแรมของเราขาดคนทำความสะอาดห้องครัวอยู่พอดี ให้หลินเทียนฉีลองไปทำที่นั่นก่อนแล้วกัน"
"ในส่วนของเรื่องเงินเดือน เริ่มต้นที่เดือนละสามพันหยวน รอเขาทำไปนานๆ เดี๋ยวผมค่อยเปลี่ยนงานรปภให้เขาทำอีกที แบบนี้ไม่มีปัญหาใช่ไหมครับ?"
"ไม่มีปัญหาๆ หน้าที่การงานไม่แบ่งแยกเรื่องระดับชนชั้น ขอแค่สามารถทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไปได้ นั่นก็คืองานที่ดีงานนึงแล้ว"
หวู่ยวิ๋นรีบพูด และเธอยังไม่ลืมที่จะหันมากระพริบตาให้หลินเทียนฉี หวังว่าเขาจะยอมตอบตกลง
ผู้คนที่อยู่ภายในห้องต่างมองไปทางหลินเทียนฉีด้วยสายตาที่อิจฉา
ครูหวู่ทำดีกับไอ้หมอนี่มากจริงๆ!
แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่า จู่ๆหลินเทียนฉีก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า "ครูหวู่ ความหวังดีของครูผมรับไว้แล้ว แต่ผมไม่ต้องการงานนี้จริงๆครับ"
"เทียนฉี นายกำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย ครูบอกแล้วไม่ใช่หรอว่างานทุกงานไม่แบ่งเรื่องระดับและชนชั้น"
หวู่ยวิ๋นเริ่มกังวลใจขึ้นมา เธอก็คิดว่าเทียนฉีวางอีโก้ตัวเองลงมาไม่ได้ ไม่อยากทำงานนี้
"ครูหวู่ ครูอย่ากลุ้มใจแทนมันไปเปล่าๆเลยครับ คนเต้าเป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหลิน กลับมาจากกองทัพแล้วเขาต้องกลับมาสืบทอดมรดกพันล้านของตระกูลแน่นอนครับ เขายังต้องการให้ผมแนะนำงานให้เขาอีกหรอ?" หวังตงพูดอย่างแปลกประหลาด
"ก็ใช่ไง ใครบางคนนะสมัยที่ยังอยู่มัธยม ยังครูหวู่ครับครูหวู่ขาอยู่เลย แต่ตอนนี้เริ่มรู้จักวางมาดแล้ว กล้าปฏิเสธแม้แต่ความหวังดีของครูหวู่ ช่างเป็นอะไรที่น่าสงสารเหลือเกิน"
"ถ้าพูดตรงๆหน่อยก็คือวางอีโก้ตัวเองลงมาไม่ได้สินะ ไม่รู้จริงๆว่าแค่ทหารกระจอกๆคนหนึ่งมันจะไปมีหน้ามีตาอะไร"
มีเสียงถากถางดังขึ้นมาภายในห้อง
สายตาของทุกคนต่างดูรังเกียจเป็นอย่างมาก คนที่อยู่รอบกายเขายังได้ขยับเก้าอี้ออกไปจากหลินเทียนฉีเป็นพิเศษอีกด้วย ไม่อยากเข้าใกล้หลินเทียนฉี
หลินเทียนฉีกวาดตามองดูทุกคนที่อยู่ในห้องด้วยสายตาที่เรียบนิ่ง ไม่ได้อะไรกับพวกเขา
เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองโดยตรง?
เขาไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายขนาดนั้น
"เทียนฉีเทพแห่งสงคราม" คำนี้ เป็นคำที่เพื่อนร่วมรบนับหมื่นนับแสนใช้เลือดเนื้อและชีวิตของตัวเองแลกมาให้เขา ไม่ใช่ชื่อจอมปลอมที่เขาจะเอามาโอ้อวดต่อหน้าคนอื่น
อีกอย่างตอนนี้คนในประเทศต่างคิดว่าเทียนฉีเทพแห่งสงครามได้เสียสละชีวิตตัวเองอยู่ในสนามรบไปแล้ว ถ้าเกิดเขาเปิดเผยตัวตนของตัวเอง ไม่แน่อาจจะมีปัญหาที่มากกว่านี้ตามมาอีกได้
บรรยากาศภายในห้องกลับสู่ความคึกคักอีกครั้ง แต่แค่ไม่มีใครสนใจหลินเทียนฉีอีก
หลินเทียนฉีก็รู้สึกชอบที่ได้อยู่ตัวคนเดียวเหมือนกัน ที่เขายอมมาที่นี่ก็เพราะจะมาทักทายหวู่ยวิ๋น และกลับมาพร้อมกับสิ่งที่เขาอยากจะตอบแทนเธอที่เคยดูแลเขาเมื่อตอนที่เขายังเรียนมัธยม
แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว นึกว่าจะเป็นชีวิตหรือว่าหน้าที่การงานของหวู่ยวิ๋น ทุกอย่างดำเนินการไปได้อย่างราบรื่นมาก เขาน่าจะไม่มีโอกาสอะไรได้ตอบแทนหวู่ยวิ๋น
ในขณะที่หลินเทียนฉีกำลังจะคิดหาข้ออ้างออกไปจากที่นี่อยู่นั้น จู่ๆประตูของห้องก็ถูกคนอื่นเปิดออกก่อน
ผู้ชายที่สักรอยสักตามตัวกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาด้านในห้อง
"ใครคือหวู่ยวิ๋น?!"
ชายร่างใหญ่หัวล้านที่อยู่ด้านหน้าสุดตะคอกเสียงดังลั่น
นักเรียนทุกคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานได้หยุดชะงักลงไป ก่อนที่พวกเขาจะมองไปทางหวู่ยวิ๋นโดยสัญชาตญาณ
ชายร่างใหญ่หัวล้านเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูดุร้ายบนใบหน้า "ที่แท้แกก็คือหวู่ยวิ๋นนี่เอง เป็นเหมือนกับที่ผู้ชายแกบอกมาเลย หน้าตาดูเปราะบางและสวยงามมาก มา มาให้คุณท่านฉันลองสัมผัสดูหน่อย"
"แกทำอะไรน่ะ?!"
ใบหน้าของหวู่ยวิ๋นเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธ เธอได้ใช้มือปัดมือของชายร่างใหญ่หัวล้านทิ้ง
ชายร่างใหญ่หัวล้านโกรธมากจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ก่อนที่เขาจะง้างมือขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะตบหน้าหวู่ยวิ๋น
แต่ทันใดนั้นเองมือข้างหนึ่งก็ได้ยื่นออกมาจับข้อมือของชายร่างใหญ่หัวล้านเอาไว้ก่อน
ทุกคนต่างรู้สึกตะลึงเป็นอย่างมาก ก่อนที่หลิ่วเชียนยี่จะรีบวิ่งเข้าไปประคองตัวเขาเอาไว้
เผยหย่งเอามือกุมหน้าท้องพลางตะเกียกตะกายอยู่บนพื้น เจ็บปวดมากจนร้องโอญครวญอยู่ตลอดเวลา
"มันแน่ๆ ต้องเป็นฝีมือของมันแน่ๆ!"
ใบหน้าของเผยหย่งบิดเบี้ยว เขากำลังใช้นิ้วชี้หน้าหลินเทียนฉีพลางตะโกนเสียงดัง
ทุกคนได้นำสายตาจับจ้องมาทางหลินเทียนฉี หลินเทียนฉีไม่ได้อธิบายอะไร แต่เขาแค่พูดว่า : "ส่งไปโรงพยาบาลตอนนี้ยังมีโอกาสรอดชีวิตได้ ถ้าเกิดสายไปกว่านี้คงหมดหนทางจริงๆแล้วล่ะ"
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว เผยหย่งจะมีอารมณ์ไปหาเรื่องหลินเทียนฉีอีกได้อย่างไร ก่อนที่เขาจะรีบบอกให้เพื่อนที่สนิทส่งตัวเขาไปโรงพยาบาล
"เพื่อนหลิน ตกลงแล้วนี่มันอะไรยังไงกันแน่?"
หลิ่วเชียนยี่นำตัวคนส่งขึ้นรถก่อนที่เธอจะเดินย้อนกลับมาถามหลินเทียนฉี
"ฉันไม่ใช่หมอ ไม่เข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียด แต่แค่ดูจากสีหน้าของเขาก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติได้ชัดเจนแล้ว"
อยู่ในกองทัพมาเป็นเวลา 8 ปี หลินเทียนฉีเคยผ่านสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายมาหลายรูปแบบแล้ว บางครั้งถ้าเกิดเป็นบาดแผลเล็กๆน้อยๆเขาสามารถรักษาเองได้
บาดแผลที่สาหัสหน่อย ถึงแม้จะไม่ทราบวิธีการรักษา แต่อย่างน้อยเขาก็พอเข้าใจอยู่เล็กน้อย เมื่อกี้แววตาทั้งสองข้างของเผยหย่งหม่นหมอง ใบหน้าดูเขียวช้ำ เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นอาการก่อนโรคจะกำเริบ
"งั้นเราก็เข้าไปกันเถอะ ครูหวู่รอพวกเราอยู่ด้านในแล้ว"
หลิ่วเชียนยี่พูดด้วยน้ำเสียงในเชิงหมดหนทาง
ภายในห้องอาหารของโรงแรม
ในที่สุดหลินเทียนฉีก็ได้เจอหน้าครูสมัยมัธยม หวู่ยวิ๋น แล้ว
ตอนที่เขายังเรียนมัธยม อันที่จริงหวู่ยวิ๋นก็เพิ่งเรียนจบมหาลัยมากใหม่ๆเช่นกัน เวลาผ่านไป 8 ปีแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกของหวู่ยวิ๋นดูโตขึ้นเยอะมากๆ แต่เธอก็ยังคงเป็นผู้หญิงที่งดงามอยู่เช่นเคย
"ครูหวู่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ" หลินเทียนฉีทำการทักทายอย่างมีมารยาท
หลังจากที่หวู่ยวิ๋นเห็นหลินเทียนฉีแล้ว แววตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมาก่อนที่เธอจะยิ้มหวานพลางพูดว่า : "เทียนฉี นายกลับมาสักทีนะ ไม่ได้เจอกันนานหลายปีแล้ว นายเป็นหนุ่มหล่อไปแล้วเนี่ย"
ถูกสาวสวยที่มีความเป็นผู้ใหญ่ชื่นชมแบบนี้ ถ้าเกิดเปลี่ยนเป็นคนอื่น คนคนนั้นคงรู้สึกดีใจมากจนควบคุมตัวเองไม่ได้ตั้งนานแล้ว
แต่หลินเทียนฉีเป็นคนที่เคยผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆมาเยอะ ซึ่งสิ่งที่เขาเคยประสบพบเจอมาเป็นสิ่งที่คนอื่นจินตนาการไม่ได้ เขาแค่อมยิ้มเล็กน้อยและปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป
เมื่อผู้ชายคนอื่นในห้องเห็นแบบนี้แล้ว ทำให้พวกเขาต่างพากันแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น
ไอ้หมอนี่ ครูประจำชั้นแค่ชื่นชมมันแค่ไม่กี่คำมันก็เริ่มเหลิงแล้ว วิธีการแบบนี้ของแกมันต่ำตมเกินไปหรือเปล่า
"เทียนฉี นายทำงานอยู่ในกองทัพมานานขนาดนี้แล้ว นายได้เลื่อนขั้นบ้างหรือยัง?"
และในตอนนี้เอง ชายแว่นที่นั่งอยู่ข้างกายหวู่ยวิ๋นคนหนึ่งก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมา
หวังตง รองหัวหน้าห้องและหัวหน้าด้านการเรียนของห้องเมื่อสมัยมัธยม หลินเทียนฉียังพอจำเขาได้อยู่บ้างเล็กน้อย
เมื่อได้ยินเขาถามถึงตำแหน่งระดับของตัวเอง หลินเทียนฉีแค่ส่ายหน้าเงียบๆ
หวังตงขมวดคิ้ว "ไม่อยากพูดหรอ งั้นเดี๋ยวฉันขอเดาดูก่อน เป็นแม่ทัพหรอ?"
หลินเทียนฉีส่ายหน้า
"เป็นหัวหน้าค่าย?"
หลินเทียนฉีส่ายหน้าอีกครั้ง
"งั้นคงต้องเป็นระดับนายทหารแล้วล่ะใช่ไหม นายอย่าบอกนะว่านายเข้าร่วมกองทัพมา 8 ปีกว่าแล้ว แต่นายเป็นแค่จ่าคนหนึ่ง?"
ใบหน้าของหวังตงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อ
หลินเทียนฉียังคงส่ายหน้าเช่นเคย "ฉันไม่ใช่นายทหารและไม่ใช่จ่าด้วย"
"ว่าไงนะ?"
ครั้งนี้ทำเอาทุกคนที่อยู่ในห้องต่างรู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก
ทุกคนต่างพากันมองหน้าซึ่งกันและกันและแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น แววตาที่มองไปทางหลินเทียนฉีก็เริ่มเยือกเย็นลงมาเช่นกัน
ตอนแรกทุกคนก็คิดว่าไอ้หมอนี่ที่อยู่ในกองทัพทหารเริ่มมีระดับตำแหน่งบ้างแล้ว และอยากจะเข้าไปตีสนิท แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเขาเป็นแค่ทหารธรรมดาทั่วไปมาเป็นเวลา 8 ปี การทหารของเขาก็เท่ากับสูญเปล่าไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?
หวู่ยวิ๋นเห็นว่าบรรยากาศภายในห้องเริ่มอึดอัดลง ดังนั้นเธอจึงหัวเราะแล้วพูดกับทุกคนว่า : "เราทุกคนก็เป็นเพื่อนร่วมห้องเหมือนกัน ตอนที่ยังเรียนอยู่ครูบอกกับพวกเธอไปว่ายังไง ครูบอกให้พวกเธอรักกันและสมานฉันท์กันเอาไว้ ตอนนี้พวกเธอลืมไปหมดแล้วหรอ?"
"หวังตง ครูได้ยินมาว่านายเป็นผู้จัดการหน้าล็อบบี้ของโรงแรมแห่งหนึ่งไม่ใช่หรอ ตอนนี้หลินเทียนฉีออกมาจากกองทัพแล้ว นายช่วยแนะนำงานให้เขาหน่อยสิ เป็นยังไง?"
"โอ๊ยครูหวู่ครับ นี่ครูกำลังทำให้ผมรู้สึกลำบากใจอยู่นะครับ"
หวังตงแกล้งทำเป็นรู้สึกลำบากใจ "โรงแรมของพวกเราเป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่หาพบได้น้อยในเมืองเจียง ถึงแม้จะเป็นรปภที่มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรงหน้าทางเข้า ก็ต้องเป็นคนที่จบระดับปริญญาเอกนะครับ หลินเทียนฉีเป็นแค่ทหารธรรมดาทั่วไปคนนึง ผมยากที่จะจัดการเรื่องนี้ได้จริงๆนะครับ"
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ใบหน้าของหวู่ยวิ๋นก็มีความรู้สึกอึดอัดปรากฏขึ้นมา แต่เธอยังไม่ยอมแพ้ ก่อนที่เธอจะขยับเข้าไปใกล้หวังตง
"หวังตง ถือซะว่าเป็นการช่วยเหลือครูแล้วกัน นายเป็นถึงผู้จัดการหน้าล็อบบี้แล้ว จัดการตำแหน่งหน้าที่งานที่คนไม่ค่อยสนใจ น่าจะไม่ใช่ปัญหาใช่ไหม?"
"ครูหวู่พูดถึงขั้นนี้แล้ว ผมก็คงตอบปฏิเสธไม่ได้แล้วล่ะครับ"
หวังตงแอบชำเลืองมองหน้าอกของหวู่ยวิ๋นพลางกลืนน้ำลายแล้วพูดว่า : "เอาแบบนี้เถอะครับ ตอนนี้โรงแรมของเราขาดคนทำความสะอาดห้องครัวอยู่พอดี ให้หลินเทียนฉีลองไปทำที่นั่นก่อนแล้วกัน"
"ในส่วนของเรื่องเงินเดือน เริ่มต้นที่เดือนละสามพันหยวน รอเขาทำไปนานๆ เดี๋ยวผมค่อยเปลี่ยนงานรปภให้เขาทำอีกที แบบนี้ไม่มีปัญหาใช่ไหมครับ?"
"ไม่มีปัญหาๆ หน้าที่การงานไม่แบ่งแยกเรื่องระดับชนชั้น ขอแค่สามารถทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไปได้ นั่นก็คืองานที่ดีงานนึงแล้ว"
หวู่ยวิ๋นรีบพูด และเธอยังไม่ลืมที่จะหันมากระพริบตาให้หลินเทียนฉี หวังว่าเขาจะยอมตอบตกลง
ผู้คนที่อยู่ภายในห้องต่างมองไปทางหลินเทียนฉีด้วยสายตาที่อิจฉา
ครูหวู่ทำดีกับไอ้หมอนี่มากจริงๆ!
แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่า จู่ๆหลินเทียนฉีก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า "ครูหวู่ ความหวังดีของครูผมรับไว้แล้ว แต่ผมไม่ต้องการงานนี้จริงๆครับ"
"เทียนฉี นายกำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย ครูบอกแล้วไม่ใช่หรอว่างานทุกงานไม่แบ่งเรื่องระดับและชนชั้น"
หวู่ยวิ๋นเริ่มกังวลใจขึ้นมา เธอก็คิดว่าเทียนฉีวางอีโก้ตัวเองลงมาไม่ได้ ไม่อยากทำงานนี้
"ครูหวู่ ครูอย่ากลุ้มใจแทนมันไปเปล่าๆเลยครับ คนเต้าเป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหลิน กลับมาจากกองทัพแล้วเขาต้องกลับมาสืบทอดมรดกพันล้านของตระกูลแน่นอนครับ เขายังต้องการให้ผมแนะนำงานให้เขาอีกหรอ?" หวังตงพูดอย่างแปลกประหลาด
"ก็ใช่ไง ใครบางคนนะสมัยที่ยังอยู่มัธยม ยังครูหวู่ครับครูหวู่ขาอยู่เลย แต่ตอนนี้เริ่มรู้จักวางมาดแล้ว กล้าปฏิเสธแม้แต่ความหวังดีของครูหวู่ ช่างเป็นอะไรที่น่าสงสารเหลือเกิน"
"ถ้าพูดตรงๆหน่อยก็คือวางอีโก้ตัวเองลงมาไม่ได้สินะ ไม่รู้จริงๆว่าแค่ทหารกระจอกๆคนหนึ่งมันจะไปมีหน้ามีตาอะไร"
มีเสียงถากถางดังขึ้นมาภายในห้อง
สายตาของทุกคนต่างดูรังเกียจเป็นอย่างมาก คนที่อยู่รอบกายเขายังได้ขยับเก้าอี้ออกไปจากหลินเทียนฉีเป็นพิเศษอีกด้วย ไม่อยากเข้าใกล้หลินเทียนฉี
หลินเทียนฉีกวาดตามองดูทุกคนที่อยู่ในห้องด้วยสายตาที่เรียบนิ่ง ไม่ได้อะไรกับพวกเขา
เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองโดยตรง?
เขาไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายขนาดนั้น
"เทียนฉีเทพแห่งสงคราม" คำนี้ เป็นคำที่เพื่อนร่วมรบนับหมื่นนับแสนใช้เลือดเนื้อและชีวิตของตัวเองแลกมาให้เขา ไม่ใช่ชื่อจอมปลอมที่เขาจะเอามาโอ้อวดต่อหน้าคนอื่น
อีกอย่างตอนนี้คนในประเทศต่างคิดว่าเทียนฉีเทพแห่งสงครามได้เสียสละชีวิตตัวเองอยู่ในสนามรบไปแล้ว ถ้าเกิดเขาเปิดเผยตัวตนของตัวเอง ไม่แน่อาจจะมีปัญหาที่มากกว่านี้ตามมาอีกได้
บรรยากาศภายในห้องกลับสู่ความคึกคักอีกครั้ง แต่แค่ไม่มีใครสนใจหลินเทียนฉีอีก
หลินเทียนฉีก็รู้สึกชอบที่ได้อยู่ตัวคนเดียวเหมือนกัน ที่เขายอมมาที่นี่ก็เพราะจะมาทักทายหวู่ยวิ๋น และกลับมาพร้อมกับสิ่งที่เขาอยากจะตอบแทนเธอที่เคยดูแลเขาเมื่อตอนที่เขายังเรียนมัธยม
แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว นึกว่าจะเป็นชีวิตหรือว่าหน้าที่การงานของหวู่ยวิ๋น ทุกอย่างดำเนินการไปได้อย่างราบรื่นมาก เขาน่าจะไม่มีโอกาสอะไรได้ตอบแทนหวู่ยวิ๋น
ในขณะที่หลินเทียนฉีกำลังจะคิดหาข้ออ้างออกไปจากที่นี่อยู่นั้น จู่ๆประตูของห้องก็ถูกคนอื่นเปิดออกก่อน
ผู้ชายที่สักรอยสักตามตัวกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาด้านในห้อง
"ใครคือหวู่ยวิ๋น?!"
ชายร่างใหญ่หัวล้านที่อยู่ด้านหน้าสุดตะคอกเสียงดังลั่น
นักเรียนทุกคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานได้หยุดชะงักลงไป ก่อนที่พวกเขาจะมองไปทางหวู่ยวิ๋นโดยสัญชาตญาณ
ชายร่างใหญ่หัวล้านเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูดุร้ายบนใบหน้า "ที่แท้แกก็คือหวู่ยวิ๋นนี่เอง เป็นเหมือนกับที่ผู้ชายแกบอกมาเลย หน้าตาดูเปราะบางและสวยงามมาก มา มาให้คุณท่านฉันลองสัมผัสดูหน่อย"
"แกทำอะไรน่ะ?!"
ใบหน้าของหวู่ยวิ๋นเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธ เธอได้ใช้มือปัดมือของชายร่างใหญ่หัวล้านทิ้ง
ชายร่างใหญ่หัวล้านโกรธมากจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ก่อนที่เขาจะง้างมือขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะตบหน้าหวู่ยวิ๋น
แต่ทันใดนั้นเองมือข้างหนึ่งก็ได้ยื่นออกมาจับข้อมือของชายร่างใหญ่หัวล้านเอาไว้ก่อน
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved