บทที่ 5 เรื่องราวที่ผ่านมา
by ลาวจินเหมา
11:51,Dec 14,2020
เย่ปิงเผิงถูกตบจนน้ำตาไหลพราก ใบหน้ามีรอยนิ้วมือแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอกลับไม่กล้าพูดอะไร เย่ปิงหรงจึงร้องเรียก “คุณพ่อ คุณพ่อทำอะไรคะ ปิงเผิงโตแล้วนะ พ่อยังจะตบตีเธออีกเหรอ แล้วจะให้เธอออกไปพบเจอผู้คนได้ยังไง”
“ยังจะมีหน้าไปเจอผู้คนอีกเหรอ”
เย่ไท่สีหน้าขรึม ยกมือชี้ไปที่เย่ปิงเผิง “ใช่ พวกแกโตแล้ว ฉันยุ่งเรื่องของพวกแกไม่ได้แล้ว แต่ฉันไม่ได้ให้พวกแกไปทำร้ายคนอื่น ฉัน เย่ไท่ไม่อยากให้ลูกที่ตัวเองเลี้ยงมาจนโต ต้องไปเป็นมะเร็งของสังคม วันนี้วางแผนใส่ร้ายหลัวชุน แล้วพรุ่งนี้จะไปสมรู้ร่วมคิดกับคนพวกนั้นแล้วมาทำร้ายฉันด้วยเลยเหรอ ห่ะ”
”คุณพูดอะไรของคุณ”ถางฉานมองไปที่ลูกสาว และพูดว่า “ปิงเผิงเป็นลูกสาวคุณ ทำไมเธอจะต้องมาทำร้ายคุณล่ะ”
เย่ไท่จึงด่ากลับ “คุณหุบปากไปเลย ลูกไม่ได้ทำร้ายผมเหรอ ที่มีเรื่องตบตีทั้งวัน ลองถามผมดูไหมว่าต้องไปประกันตัวเธอที่สถานีตำรวจกี่ครั้งแล้ว ผมต้องรู้สึกเสียหน้าทุกครั้งที่เห็นผู้คน ลูกสาวแท้ๆเหรอ ในทุกปีที่เป็นวันเกิดผม หลัวชุนจะโทรมาอวยพรผมทุกปี เขาเป็นทหารก็มีเงินไม่มาก แต่ยังเอาเงินมาซื้อของขวัญให้ผม คุณลองถามไอ้เด็กคนนี้ดู ภาพวาดที่ผมซื้อมาในราคาสิบล้าน แต่เธอขโมยไปขายในราคาแค่หนึ่งล้าน เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ”
หลายคนที่ถูกเขาด่าก็ตะลึงจนเงียบไป เย่ไท่โกรธมากจนต้องดื่มน้ำเพื่อฟื้นฟูอารมณ์ก่อนจะชี้ไปที่ทั้งสามคนและพูดว่า “ผมจะบอกให้นะ ตั้งแต่เมื่อวานเป็นต้นไปหลัวชุนเป็นคนของตระกูลเย่ ใครกล้าพูดว่าเขาเป็นคนนอกอีก ไสหัวไปให้ไกลจากผมเลย”
พูดจบเขาก็หันตัวเดินกลับขึ้นห้องไป เดินไปได้แค่สองก้าวเขาก็หันกลับมาพูดว่า “ปิงหรง แกมากับพ่อ”
ชั่วพริบตาเดียวมีเพียงเย่ปิงเผิงและถางฉานที่ยังอยู่ในห้องรับแขกแค่สองคน ถางฉานถอนหายใจเฮือกใหญ่“ปิงเผิง ที่พ่อของลูกพูดก็ถูก ลูกลองคิดให้ดีๆแล้วกัน”
”ใช่ พวกคุณไม่ผิด แต่ฉันผิด”เย่ปิงเผิงร้องไห้วิ่งออกจากห้องไป ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ความคิดที่จะแก้แค้นผุดขึ้นมาในหัวของเธอทันที เธอพูดด้วยเสียง
เย่ปิงหรงเดินตามผู้เป็นพ่อไปถึงห้องหนังสือ เดิมทีคิดว่าจะโดนต่อว่า สุดท้ายเย่ไท่ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดว่า “ตั้งแต่เล็กลูกเป็นคนที่เชื่อฟังมาก เดิมทีเรื่องของลูกพ่อไม่ได้อยากเข้าไปยุ่ง แต่ผู้ชายที่ลูกชอบคนนั้น ที่ชื่อหยางไห่จวินใช่ไหม พ่อไปสืบมาแล้ว คนนี้ไม่ผ่าน”
”คะ” เย่ปิงหรงคิดไม่ถึงว่าพ่อของเธอจะทราบเรื่องนี้ จึงประหลาดใจเล็กน้อย แต่เธอก็รู้สึกไม่เห็นด้วยเล็กน้อย
หยางไห่จวินทั้งยังหนุ่มและมีอนาคต มีการศึกษา มีสง่าผ่าเผย ถ่อมตัวและสุภาพ เธอรู้สึกว่าเขาดีกว่าหลัวชุนทุกอย่าง แต่เธอไม่กล้าพูดออกมา
เย่ไท่รินชาใส่ถ้วยให้ทั้งสองแก้ว และพูดต่อว่า “ลูกอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจเสี่ยวชุน แม้ว่าเด็กคนนี้จะตรงไปตรงมาเกินไป แต่กลับเป็นผู้ชายที่มีความรัก ความยุติธรรม และความรับผิดชอบ ตอนเด็กที่ลูกไปเรียนในทุกๆวัน ใครเป็นคนเอาขนมเฮอหย่งจี้ใส่กระเป๋าไว้ให้ลูก”
เย่ปิงหรงตอบกลับอย่างประหลาดใจ “เขาเหรอคะ ฉันคิดมาโดยตลอดว่าคุณน้าจางแม่ของหลัวชุนซื้อให้ฉัน........”
เย่ไท่หัวเราะและพูดว่า “เขารู้ว่าลูกชอบกินขนมเฮอหย่งจี้ ทุกหกโมงเช้าเข้าจะตื่นไปซื้อให้ลูก ระยะทางไปกลับตั้งห้ากิโล ตลาดสี่ปีไม่เคยหยุดแม้แต่วันเดียว เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ มีวันหนึ่งพ่อบังเอิญไปเห็นถึงได้รู้”
”ที่แท้ก็เป็นเขา..........”
เย่ปิงหรงตะลึงอยู่กับที่ เธอคิดมาโดยตลอดว่าแม่ของหลัวชุนเตรียมมาให้เธอ เธอเลยไม่ได้ถามอะไรมาก ไม่คิดว่าที่แท้จะเป็นหลัวชุน ทันใดนั้นเธอก็จำได้ว่าวันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนัก รอยช้ำบนใบหน้าของเขา คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเขาไปซื้ออาหารเช้าให้เธอ
”ปิงเผิงบอกว่าเธอแย่งเงินค่าขนมของเสี่ยวชุนไป เลยไม่รู้ว่าเขาเอาเงินที่ไหนไปซื้ออาหารเช้า ขนมเฮอหย่งจี้ราคาไม่ใช่ถูกๆเลยนะ.........”
เย่ไท่ถอนหายใจอย่างลวกๆ เย่ปิงหรงเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ทันใดนั้นเธอก็ตัวสั่น ในสมองหยุดคิดถึงร่างบอบบางที่อดคิดถึงถังขยะเพื่อหาขวดเปล่าทุกวันหลังเลิกเรียนมิน่าล่ะทำไมเขากลับบ้านค่ำทุกวัน เนื้อตัวก็ยังสกปรกมอมแมม น่าขำจริงๆที่ตอนนั้นเธอยังหัวเราะคนที่น่าสงสารอย่างเขา ที่มีชีวิตเป็นถังขยะ
เย่ปิงหรง ภาพในตาก็เบลอทันทีโดยไม่รู้ตัว เธอรู้แต่ว่าร่างเธอสั่นเทาด้วยความหนาว
เย่ไท่รีบถาม “ตอนที่พวกลูกขึ้นมอปลาย มีอยู่คืนหนึ่งที่เขาแอบกลับมา ร่างกายได้รับบาดเจ็บ พ่อถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาก็ไม่ตอบ พ่อกับคุณน้าจางถามอยู่นานเขาถึงยอมเอ่ยปากพูด ที่แท้ก็เป็นเพราะลูกถูกเพื่อนผู้ชายในห้องรังแก เขาคนเดียวจึงเข้าไปจัดการคนเป็นหกเจ็ดคน ฮึฮึ พูดแล้วเหมือนน่าเกรงขาม ที่จริงก็ถูกกระทืบกลับมา
”ครั้งนั้น............”
เย่ปิงหรงรู้สึกจุกอยู่ในอก เธอพูดอะไรไม่ออกสักคำ
ครั้งนั้นหลัวชุนรักษาตัวอยู่ที่บ้านตั้งหลายวัน เธอยังคิดว่าเขาไปทะเลาะวิวาทกับใคร เธอจึงเยาะเย้ยเขาอยู่ทุกวันเพราะรู้สึกเกลียดเขา ที่แท้เขาทำเพื่อเธอถึงได้บาดเจ็บขนาดนั้น
”เขาแอบทำอะไรๆให้ลูกตั้งมากมาย แล้วจะยังเรื่องที่ลูกกับปิงเผิงออกไปเที่ยวนอกบ้านในฤดูใบไม้ผลิปีนั้น...........”
แสงในห้องหนังสือยังคงเปิดอยู่จนกระทั้งดึกดื่น เมื่อเย่ปิงหรงออกมาดวงตาของเธอก็แดงช้ำ เมื่อกลับไปที่ห้องก็ไม่เห็นหลัวชุน ไม่มีแม้แต่เงาของใครอยู่ในห้อง ในใจก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที หรือเขาจะแอบหนีไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าประตูดาดฟ้ายังเปิดอยู่ เธอจึงรีบวิ่งขึ้นไปดูทันที จึงได้เห็นหลัวชุนกำลังยืนอยู่ข้างราวกันของดาดฟ้าแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สายลมยามค่ำคืนพัดมา แผ่นหลังที่กว้างยิ่งดูอ้างว้างเป็นทวีคูณ
เย่ปิงหรงเริ่มแสบจมูก เมื่อคิดถึงว่าเขาได้รับความทุกข์ทรมานมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ เธอจึงร้องไห้ออกมา ในใจก็แอบคิด เขาดีกับเธอขนาดนี้ แต่เธอกลับทำร้ายเขามาตลอด ทำไมเธอถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้นะ
หลัวชุนหันกลับไปมองเย่ปิงหรง ก็ถามอย่างตกใจ “คุณพ่อคุณต่อว่าคุณเหรอ”
เย่ปิงหรงส่ายหน้า เดินไปข้างหน้าหลัวชุนอย่างช้าๆ ก้มหน้าและพูดว่า “ขอโทษนะ เมื่อก่อนฉันทำผิดต่อคุณ เป็นเพราะฉันไม่ดีเอง” เธอพูดอย่างสะอื้น
หลัวชุนรู้ว่าเมื่อก่อนเธอมีอัตตาสูง แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยร้องไห้ ตอนนี้เขาจึงรีบถามอย่างตกใจ “เป็นอะไรไป คุณ......คุณอย่าร้อง ผมไม่ดีเอง คุณอย่าร้องไห้นะ”
และไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้ความไม่พอใจทั้งหมดของหลัวชุนได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว เขาคิดแค่ว่าอยากจะกอดปลอบเย่ปิงหรงไว้ในอ้อมแขนด้วยความเป็นห่วง ยื่นมือไปได้ครึ่งทางก็ต้องหยุดชะงัก และเช็ดน้ำตาให้เธอแทน
เย่ปิงหรงพูดเสียงต่ำ “คุณพ่อเล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังแล้ว คุณดีกับฉันมาก เหมือนเป็นพี่ชายของฉัน แต่.........”
หลัวชุนพูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “แต่คุณมีคนที่ชอบอยู่แล้วใช่ไหม เป็นพี่ชายก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ขอแค่คุณมีความสุข เป็นอะไรก็ได้”
”ไม่ใช่” เย่ปิงหรงมองหลัวชุน ในใจรู้สึกสูญเสียอะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูก
”ไม่เป็นไร” หลัวชุนมองไปที่แสงไฟในระยะไกลๆ และพูดเบาๆว่า “ผมเข้าใจแล้ว เรื่องความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ แต่พวกเราเพิ่งแต่งงานกัน จะให้มาหย่ากัน พ่อแม่คุณคงเสียหน้า รอให้เวลาผ่านไปอีกสักหน่อยเถอะผมจะไปทำเรื่องหย่ากับคุณ
ทันใดนั้น เขามองนาฬิกาและพูดว่า “ตอนนี้ก็ดึกแล้ว คุณรีบไปพักผ่อนเถอะ ผมต้องฝึกฝนแล้ว”
พูดจบเขาก็นั่งไขว้ห้างกลางอากาศและหลับตา
คำพูดของเย่ปิงหรงติดอยู่ที่ปากแต่เธอก็ไม่พูดออกมา เธอหันตัวเดินลงไปชั้นล่าง และหันกลับมามองหลัวชุน ท่ามกลางแสงจันทร์ก็เห็นเขายืนอยู่ ใบหน้าของเขาแน่วแน่ และหัวใจของเธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
หลังจากซ้อมมาทั้งคืน หลัวชุนรู้สึกว่าสายตาของเขาฟื้นตัวจนเกือบจะกลับมาเป็นปกติแล้ว และยังมีความรู้สึกที่เพิ่มขึ้นอีก
มวลอากาศที่อยู่ในช่องท้องส่วนล่างนี่น่าทึ่งจริงๆ หลัวชุนเฝ้ามองดูดวงดาวบนท้องฟ้าตลอดทั้งคืน เขารู้สึกเหมือนได้สัมผัสประตูบางอย่าง การเรียงตัวดวงดาวบนท้องฟ้าดูเหมือนจะมีความเชื่อมโยงบางอย่างที่ลึกลับกับบรรยากาศในร่างกาย
เขาตระหนักได้ถึงความลึกลับของด้วยดาวบนท้องฟ้า จากทั้งก็ปล่อยให้อากาศได้ไหลไปทั่วร่างกาย ภายใต้กระแสลมนี้ เขารู้สึกว่าพลังวิญญาณของเขากำลังเติมโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ยังจะมีหน้าไปเจอผู้คนอีกเหรอ”
เย่ไท่สีหน้าขรึม ยกมือชี้ไปที่เย่ปิงเผิง “ใช่ พวกแกโตแล้ว ฉันยุ่งเรื่องของพวกแกไม่ได้แล้ว แต่ฉันไม่ได้ให้พวกแกไปทำร้ายคนอื่น ฉัน เย่ไท่ไม่อยากให้ลูกที่ตัวเองเลี้ยงมาจนโต ต้องไปเป็นมะเร็งของสังคม วันนี้วางแผนใส่ร้ายหลัวชุน แล้วพรุ่งนี้จะไปสมรู้ร่วมคิดกับคนพวกนั้นแล้วมาทำร้ายฉันด้วยเลยเหรอ ห่ะ”
”คุณพูดอะไรของคุณ”ถางฉานมองไปที่ลูกสาว และพูดว่า “ปิงเผิงเป็นลูกสาวคุณ ทำไมเธอจะต้องมาทำร้ายคุณล่ะ”
เย่ไท่จึงด่ากลับ “คุณหุบปากไปเลย ลูกไม่ได้ทำร้ายผมเหรอ ที่มีเรื่องตบตีทั้งวัน ลองถามผมดูไหมว่าต้องไปประกันตัวเธอที่สถานีตำรวจกี่ครั้งแล้ว ผมต้องรู้สึกเสียหน้าทุกครั้งที่เห็นผู้คน ลูกสาวแท้ๆเหรอ ในทุกปีที่เป็นวันเกิดผม หลัวชุนจะโทรมาอวยพรผมทุกปี เขาเป็นทหารก็มีเงินไม่มาก แต่ยังเอาเงินมาซื้อของขวัญให้ผม คุณลองถามไอ้เด็กคนนี้ดู ภาพวาดที่ผมซื้อมาในราคาสิบล้าน แต่เธอขโมยไปขายในราคาแค่หนึ่งล้าน เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ”
หลายคนที่ถูกเขาด่าก็ตะลึงจนเงียบไป เย่ไท่โกรธมากจนต้องดื่มน้ำเพื่อฟื้นฟูอารมณ์ก่อนจะชี้ไปที่ทั้งสามคนและพูดว่า “ผมจะบอกให้นะ ตั้งแต่เมื่อวานเป็นต้นไปหลัวชุนเป็นคนของตระกูลเย่ ใครกล้าพูดว่าเขาเป็นคนนอกอีก ไสหัวไปให้ไกลจากผมเลย”
พูดจบเขาก็หันตัวเดินกลับขึ้นห้องไป เดินไปได้แค่สองก้าวเขาก็หันกลับมาพูดว่า “ปิงหรง แกมากับพ่อ”
ชั่วพริบตาเดียวมีเพียงเย่ปิงเผิงและถางฉานที่ยังอยู่ในห้องรับแขกแค่สองคน ถางฉานถอนหายใจเฮือกใหญ่“ปิงเผิง ที่พ่อของลูกพูดก็ถูก ลูกลองคิดให้ดีๆแล้วกัน”
”ใช่ พวกคุณไม่ผิด แต่ฉันผิด”เย่ปิงเผิงร้องไห้วิ่งออกจากห้องไป ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ความคิดที่จะแก้แค้นผุดขึ้นมาในหัวของเธอทันที เธอพูดด้วยเสียง
เย่ปิงหรงเดินตามผู้เป็นพ่อไปถึงห้องหนังสือ เดิมทีคิดว่าจะโดนต่อว่า สุดท้ายเย่ไท่ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดว่า “ตั้งแต่เล็กลูกเป็นคนที่เชื่อฟังมาก เดิมทีเรื่องของลูกพ่อไม่ได้อยากเข้าไปยุ่ง แต่ผู้ชายที่ลูกชอบคนนั้น ที่ชื่อหยางไห่จวินใช่ไหม พ่อไปสืบมาแล้ว คนนี้ไม่ผ่าน”
”คะ” เย่ปิงหรงคิดไม่ถึงว่าพ่อของเธอจะทราบเรื่องนี้ จึงประหลาดใจเล็กน้อย แต่เธอก็รู้สึกไม่เห็นด้วยเล็กน้อย
หยางไห่จวินทั้งยังหนุ่มและมีอนาคต มีการศึกษา มีสง่าผ่าเผย ถ่อมตัวและสุภาพ เธอรู้สึกว่าเขาดีกว่าหลัวชุนทุกอย่าง แต่เธอไม่กล้าพูดออกมา
เย่ไท่รินชาใส่ถ้วยให้ทั้งสองแก้ว และพูดต่อว่า “ลูกอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจเสี่ยวชุน แม้ว่าเด็กคนนี้จะตรงไปตรงมาเกินไป แต่กลับเป็นผู้ชายที่มีความรัก ความยุติธรรม และความรับผิดชอบ ตอนเด็กที่ลูกไปเรียนในทุกๆวัน ใครเป็นคนเอาขนมเฮอหย่งจี้ใส่กระเป๋าไว้ให้ลูก”
เย่ปิงหรงตอบกลับอย่างประหลาดใจ “เขาเหรอคะ ฉันคิดมาโดยตลอดว่าคุณน้าจางแม่ของหลัวชุนซื้อให้ฉัน........”
เย่ไท่หัวเราะและพูดว่า “เขารู้ว่าลูกชอบกินขนมเฮอหย่งจี้ ทุกหกโมงเช้าเข้าจะตื่นไปซื้อให้ลูก ระยะทางไปกลับตั้งห้ากิโล ตลาดสี่ปีไม่เคยหยุดแม้แต่วันเดียว เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ มีวันหนึ่งพ่อบังเอิญไปเห็นถึงได้รู้”
”ที่แท้ก็เป็นเขา..........”
เย่ปิงหรงตะลึงอยู่กับที่ เธอคิดมาโดยตลอดว่าแม่ของหลัวชุนเตรียมมาให้เธอ เธอเลยไม่ได้ถามอะไรมาก ไม่คิดว่าที่แท้จะเป็นหลัวชุน ทันใดนั้นเธอก็จำได้ว่าวันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนัก รอยช้ำบนใบหน้าของเขา คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเขาไปซื้ออาหารเช้าให้เธอ
”ปิงเผิงบอกว่าเธอแย่งเงินค่าขนมของเสี่ยวชุนไป เลยไม่รู้ว่าเขาเอาเงินที่ไหนไปซื้ออาหารเช้า ขนมเฮอหย่งจี้ราคาไม่ใช่ถูกๆเลยนะ.........”
เย่ไท่ถอนหายใจอย่างลวกๆ เย่ปิงหรงเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ทันใดนั้นเธอก็ตัวสั่น ในสมองหยุดคิดถึงร่างบอบบางที่อดคิดถึงถังขยะเพื่อหาขวดเปล่าทุกวันหลังเลิกเรียนมิน่าล่ะทำไมเขากลับบ้านค่ำทุกวัน เนื้อตัวก็ยังสกปรกมอมแมม น่าขำจริงๆที่ตอนนั้นเธอยังหัวเราะคนที่น่าสงสารอย่างเขา ที่มีชีวิตเป็นถังขยะ
เย่ปิงหรง ภาพในตาก็เบลอทันทีโดยไม่รู้ตัว เธอรู้แต่ว่าร่างเธอสั่นเทาด้วยความหนาว
เย่ไท่รีบถาม “ตอนที่พวกลูกขึ้นมอปลาย มีอยู่คืนหนึ่งที่เขาแอบกลับมา ร่างกายได้รับบาดเจ็บ พ่อถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาก็ไม่ตอบ พ่อกับคุณน้าจางถามอยู่นานเขาถึงยอมเอ่ยปากพูด ที่แท้ก็เป็นเพราะลูกถูกเพื่อนผู้ชายในห้องรังแก เขาคนเดียวจึงเข้าไปจัดการคนเป็นหกเจ็ดคน ฮึฮึ พูดแล้วเหมือนน่าเกรงขาม ที่จริงก็ถูกกระทืบกลับมา
”ครั้งนั้น............”
เย่ปิงหรงรู้สึกจุกอยู่ในอก เธอพูดอะไรไม่ออกสักคำ
ครั้งนั้นหลัวชุนรักษาตัวอยู่ที่บ้านตั้งหลายวัน เธอยังคิดว่าเขาไปทะเลาะวิวาทกับใคร เธอจึงเยาะเย้ยเขาอยู่ทุกวันเพราะรู้สึกเกลียดเขา ที่แท้เขาทำเพื่อเธอถึงได้บาดเจ็บขนาดนั้น
”เขาแอบทำอะไรๆให้ลูกตั้งมากมาย แล้วจะยังเรื่องที่ลูกกับปิงเผิงออกไปเที่ยวนอกบ้านในฤดูใบไม้ผลิปีนั้น...........”
แสงในห้องหนังสือยังคงเปิดอยู่จนกระทั้งดึกดื่น เมื่อเย่ปิงหรงออกมาดวงตาของเธอก็แดงช้ำ เมื่อกลับไปที่ห้องก็ไม่เห็นหลัวชุน ไม่มีแม้แต่เงาของใครอยู่ในห้อง ในใจก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที หรือเขาจะแอบหนีไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าประตูดาดฟ้ายังเปิดอยู่ เธอจึงรีบวิ่งขึ้นไปดูทันที จึงได้เห็นหลัวชุนกำลังยืนอยู่ข้างราวกันของดาดฟ้าแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สายลมยามค่ำคืนพัดมา แผ่นหลังที่กว้างยิ่งดูอ้างว้างเป็นทวีคูณ
เย่ปิงหรงเริ่มแสบจมูก เมื่อคิดถึงว่าเขาได้รับความทุกข์ทรมานมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ เธอจึงร้องไห้ออกมา ในใจก็แอบคิด เขาดีกับเธอขนาดนี้ แต่เธอกลับทำร้ายเขามาตลอด ทำไมเธอถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้นะ
หลัวชุนหันกลับไปมองเย่ปิงหรง ก็ถามอย่างตกใจ “คุณพ่อคุณต่อว่าคุณเหรอ”
เย่ปิงหรงส่ายหน้า เดินไปข้างหน้าหลัวชุนอย่างช้าๆ ก้มหน้าและพูดว่า “ขอโทษนะ เมื่อก่อนฉันทำผิดต่อคุณ เป็นเพราะฉันไม่ดีเอง” เธอพูดอย่างสะอื้น
หลัวชุนรู้ว่าเมื่อก่อนเธอมีอัตตาสูง แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยร้องไห้ ตอนนี้เขาจึงรีบถามอย่างตกใจ “เป็นอะไรไป คุณ......คุณอย่าร้อง ผมไม่ดีเอง คุณอย่าร้องไห้นะ”
และไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้ความไม่พอใจทั้งหมดของหลัวชุนได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว เขาคิดแค่ว่าอยากจะกอดปลอบเย่ปิงหรงไว้ในอ้อมแขนด้วยความเป็นห่วง ยื่นมือไปได้ครึ่งทางก็ต้องหยุดชะงัก และเช็ดน้ำตาให้เธอแทน
เย่ปิงหรงพูดเสียงต่ำ “คุณพ่อเล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังแล้ว คุณดีกับฉันมาก เหมือนเป็นพี่ชายของฉัน แต่.........”
หลัวชุนพูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “แต่คุณมีคนที่ชอบอยู่แล้วใช่ไหม เป็นพี่ชายก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ขอแค่คุณมีความสุข เป็นอะไรก็ได้”
”ไม่ใช่” เย่ปิงหรงมองหลัวชุน ในใจรู้สึกสูญเสียอะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูก
”ไม่เป็นไร” หลัวชุนมองไปที่แสงไฟในระยะไกลๆ และพูดเบาๆว่า “ผมเข้าใจแล้ว เรื่องความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ แต่พวกเราเพิ่งแต่งงานกัน จะให้มาหย่ากัน พ่อแม่คุณคงเสียหน้า รอให้เวลาผ่านไปอีกสักหน่อยเถอะผมจะไปทำเรื่องหย่ากับคุณ
ทันใดนั้น เขามองนาฬิกาและพูดว่า “ตอนนี้ก็ดึกแล้ว คุณรีบไปพักผ่อนเถอะ ผมต้องฝึกฝนแล้ว”
พูดจบเขาก็นั่งไขว้ห้างกลางอากาศและหลับตา
คำพูดของเย่ปิงหรงติดอยู่ที่ปากแต่เธอก็ไม่พูดออกมา เธอหันตัวเดินลงไปชั้นล่าง และหันกลับมามองหลัวชุน ท่ามกลางแสงจันทร์ก็เห็นเขายืนอยู่ ใบหน้าของเขาแน่วแน่ และหัวใจของเธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
หลังจากซ้อมมาทั้งคืน หลัวชุนรู้สึกว่าสายตาของเขาฟื้นตัวจนเกือบจะกลับมาเป็นปกติแล้ว และยังมีความรู้สึกที่เพิ่มขึ้นอีก
มวลอากาศที่อยู่ในช่องท้องส่วนล่างนี่น่าทึ่งจริงๆ หลัวชุนเฝ้ามองดูดวงดาวบนท้องฟ้าตลอดทั้งคืน เขารู้สึกเหมือนได้สัมผัสประตูบางอย่าง การเรียงตัวดวงดาวบนท้องฟ้าดูเหมือนจะมีความเชื่อมโยงบางอย่างที่ลึกลับกับบรรยากาศในร่างกาย
เขาตระหนักได้ถึงความลึกลับของด้วยดาวบนท้องฟ้า จากทั้งก็ปล่อยให้อากาศได้ไหลไปทั่วร่างกาย ภายใต้กระแสลมนี้ เขารู้สึกว่าพลังวิญญาณของเขากำลังเติมโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved