บทที่ 12 ผมกำลังตามหาลูกชายของผม

เมื่อได้ยินชื่อของหยางไห่จวิน หญิงสาวทุกคนรีบวิ่งไปที่ประตู เหล่าหญิงสาวเรียกชื่อเขาอย่างบ้าคลั่ง “ไอดอลของฉัน ในที่สุดฉันก็ได้เจอ”

"ใช่ เขาหล่อมากเลย ซ้ำยังเป็นคนที่มีความสามารถอีก ถ้าฉันได้แต่งงานกับเขาก็ดี”

"อย่าฝันไปเลย คนที่เขาชอบคือเย่ปิงหรง เธอเทียบกับเขาไม่ได้เลย”

แม้ว่าเย่ปิงหรงก็ตั้งตารอเขา แต่เธอก็ไม่ได้เดินไปหา แต่ความขาดหวังในสายตาของเธอไม่ได้ลดลงเลย

หลัวชุนส่ายหน้าและยิ้ม เดินไปนั่งทานอาหารที่อยู่ด้านข้าง ในใจเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเย่ปิงหรงนานแล้ว ครั้งนี้เขามาในฐานะบอดี้การ์ดของเธอ ดังนั้นขอแค่เธอไม่ได้ทำอะไรมากเกินไป หลัวชุนก็ไม่ได้จะยุ่งกับเธอ

ขณะที่กำลังกินอาหารอยู่ ที่นั่งตรงข้ามก็มีคนมาเพิ่ม

เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง เบื้องหน้าของเขาคือผู้หญิงในชุดสีเหลืองอ่อน ผมของเธอถูกรวบมัดไว้ด้านหลัง ดูสูงส่ง เธอเลิกคิ้วอย่างน่าเกรงขาม ความสวยที่เธอมีไม่ได้น้อยไปกว่าเย่ปิงหรงเลย

เธอดูเหมือนดาบที่มีคม ไปที่ไหนก็มีคนสนใจ เธอมองไปที่หลัวชุนพร้อมแก้วไวน์แดงในมือ

"สวัสดีค่ะ ฉันชื่อลู่ชิง”

อีกฝ่ายยื่นมือออกไปอย่างเป็นมิตร หลัวชุนเขย่าปลายนิ้วของเธอ และถามอย่างสงสัย “คุณรู้จักผมเหรอ”

ลู่ชิงตอบอย่างยิ้มๆ “เมื่อก่อนไม่รู้จัก ตอนนี้รู้จักแล้ว”

"อ่อ”

หลัวชุนตอบไปหนึ่งคำ และก้มหน้ากินอาหารต่อ ผู้หญิงคนนี้มีออร่ามาก แต่หลัวชุนหลงอยู่บนขอบของชีวิตและความตายตลอดทั้งปี ไม่เคยเจอสถานการณ์อะไร แม้ว่าประธานาธิบดีของประเทศใหญ่ๆจะนั่งอยู่ที่ดีเขาก็ยังกินได้

ลู่ชิงก็ยิ่งสนใจเขา เธอไม่เคยเห็นใครที่เมินเฉยต่อเธอได้ แน่นอนว่าเมื่อกี้เธอได้ยินที่หลัวชุนพูด ใบหน้าที่ดูหมิ่นทุกอย่าง ทำให้เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีความมั่นใจจริงๆ หรือไม่ก็เป็นโรคจิตจริงๆ

ทันใดนั้นฝูงชนที่อยู่ไม่ไกลก็มาที่นี่ด้วยความรีบเร่ง หลัวชุนปรายตามองไปแวบหนึ่ง เห็นทุกคนเดินไปมากับชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าหรูหรา เขาดูหล่อ มีรสนิยมสูง สวมใส่เสื้อผ้าบนร่างกายไม่ใช่แบรนด์เนมระดับไฮเอนด์ เพียงแต่แววตาไร้ความรู้สึก เดินตัวลอยๆ ซึ่งมองแวบแรกการก้าวเดินของเขาทำให้รู้สึกกลวงเปล่าเพราะการปล่อยตัวที่มากเกินไป

เย่ปิงหรงก็ยังกระซิบคนข้างกาย ทั้งสองคนยิ้มเป็นครั้งคราว และดูเหมือนจะเป็นคนพูดเก่ง

"นี่ก็คือสามีของเย่ปิงหรง”ติงหว่านเดินเข้ามาแย่งแนะนำก่อน พูดอย่างดีใจว่า “ไห่จวิน เมื่อกี้เข้าเพิ่งบอกว่าเขาสามารถบีบคุณให้ตายด้วยนิ้วเดียวได้”

หนุ่มหล่อคนนั้นยิ้มเล็กน้อย ยื่นมือไปหาและพูดว่า “สวัสดีครับ ผมหยางไห่จวินเป็นเพื่อนสนิทของเย่ปิงหรง ดีใจที่ได้รู้จักครับ”

"อืม” หลัวชุนไม่ได้เงยหน้ามอง และยังคงกินซี่โครงวัวต่อ ราวกับว่าเขากำลังพบกับผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง

ความโกรธฉายในแววตาของหยางไห่จวิน แต่กลับไม่มีความลำบากใจบนใบหน้า ผู้หญิงที่เดินตามมาหลายคนก็เริ่มไม่มีความสุขแล้ว จึงได้แต่ตะโกนว่า “ทำไมคนคนนี้ไม่มีมารยาทเลย คนอื่นทักทายก็ไม่ทักทายกลับไม่รู้ว่าคนที่บ้านสอนมายังไง”

"เป็นคนต้องถ่อมตัว ไม่มีความสามารถแล้วยังดูถูกคน ในชีวิตนี้จะมีอะไรโดดเด่นเหรอ”

จางเหวินไห่หัวเราะลั่น “คุณหลัวยังต้องเรียนรู้จากไห่จวินอีกเยอะ เรียนรู้ความอดกลั้นของคนอื่นจะมีประโยชน์มากในอนาคต”

ติงหว่านพูดดูถูก “ไห่จวินเปรียบเหมือนท้องฟ้า เกิดมาพร้อมกับความอดทนอดกลั้นและความยับยั้งชั่งใจ เขาเป็นแค่ทหารจะไปรู้อะไร คุณสามีก็อย่าไปว่าเขาเลย”

หยางไห่จวินพูดยิ้มๆ “จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ ทุกคนมีความโดดเด่นเป็นของตัวเอง ผมมั่นใจว่าปิงหรงมองคนไม่ผิด”

เย่ปิงหรงยิ้มอย่างตะขิดตะขวง ในใจเธอมีความไม่พอใจหลัวชุนอยู่มาก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงหยิ่งผยองนัก

ในที่สุดหลัวชุนก็กินซี่โครงวัวหมด เขาหยิบทิชชู่มาเช็ดปาก มองไปที่หยางไห่จวินและพูดว่า “ถ้าจะให้ดีอย่ามาเล่นเลห์เหลี่ยมแบบเด็กๆต่อหน้าผม เพราะในสายตาผม คุณไม่มีอะไรเลย”

ในที่เย่ปิงหรงก็ระเบิดออกมา จึงดุเขา “หลัวชุนคุณหมายความว่าอะไร คุณไม่มั่นใจที่เห็นว่าคนอื่นดีกว่าคุณเหรอ ถ้าไม่มั่นใจก็เอาความสามารถของคุณออกมาแสดงให้คนอื่นเห็น จะเสแสร้งอยู่ทำไม”

หยางไห่จวินรีบพูดห้าม “ปิงหรงอย่าเพิ่งโมโห คุณหลัวน่าจะอารมณ์ไม่ดี พวกเราไปทางนู้นกันเถอะ ให้เขาอารมณ์เย็นก่อน ไปเถอะ”

เขาดึงเย่ปิงหรงไปทางอื่น คนอื่นๆก็พากันส่ายหน้า และถอนหายใจ “สุดท้ายก็แค่ทหารคนหนึ่ง สำหรับความอดทนและจิตใจ เขาเทียบกับหยางไห่จวินไม่ได้เลยสักครึ่ง”

"ใช่ค่ะถ้าฉันเจอคนแบบนี้ต้องทนไม่ไหวแน่ๆ แต่หยางไห่จวินไม่โกรธเลย ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขามาถึงจุดนี้ได้”

หลัวชุนทำเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เขารินไวน์ใส่แก้ว มองไปที่ลู่ชิงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ลู่ชิงยิ้มเล็กน้อย และจิบไวน์ “ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นกับหยางไห่จวิน หึงเขาหรือว่ามีเหตุผลอื่น”

"หึงเหรอ” หลัวชุนยิ้มจางๆและพูดว่า “คนแบบนี้ไม่เคยอยู่ในสายตาผมอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ใช่ความหึงหวงแน่นอน

หยางไห่จวินที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็พูดคุยอย่างอิสระ ทุกคนรับฟังอย่างนอบน้อมโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง ราวกับว่าลืมเรื่องของหลัวชุนไปแล้ว

และเป็นอีกครั้งที่ประตูห้องจัดเลี้ยงถูกเปิดออก ลมเย็นพัดเข้ามา ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามา ข้างกายมีชายหนุ่มร่างเล็กตามมาด้วย และด้านหลังก็มีบอดี้การ์ดร่างบึกอีกสี่คน หลายคนต่างจดจ้องไปที่พวกเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา

ชายวัยกลางคนคนนั้นมีรูปร่างสูง ใบหน้าหยาบกร้าน ค่อนข้างมีสีหน้าที่น่าเกลียด มีคนพูดด้วยเสียงต่ำว่า “คนคนนี้ก็คือหานจินฉวน คนตัวเล็กที่ตามมาด้วยคือเกาเฟยที่เป็นน้อยเขย คนคนนี้ถึงร่างกายจะตัวเล็ก แต่พอลงมือจัดการแล้วโหดร้ายมาก”

จู่ๆในห้องจัดเลี้ยงก็มีคนถามขึ้น “หานจินฉวนคือใคร”น้ำเสียงไม่เบาและไม่ดัง แต่กลับทำให้ทุกคนได้ยิน บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงจึงหยุดชะงักทันที

เสียงพูดเพิ่งจบลง จู่ๆชายตัวเล็กที่ชื่อเกาเฟยก็เดินไปตบหน้าคนที่พูดนั้นอย่างรุนแรงหลายครั้ง จนฝ่ายตรงข้ามเลือดกบปาก และด่าด้วยเสียงดังว่า “แกก็ไม่มีค่าพอที่จะเรียกชื่อคุณท่านฉวน น่ารำคาญ” พร้อมกับพ่นน้ำลายใส่หน้าฝ่ายตรงข้าม

เห็นได้ชัดว่าคนหนุ่มคนนั้นไม่รู้จักสถานะของหานจินฉวนจริงๆ จึงตะโกนด้วยเสียงดังว่า “พวกแกกล้าตบฉัน ฉันจะแจ้งความ” พร้อมกับเตรียมที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

บอดี้การ์ดทั้งสี่รีบมาขวางหน้าคนหนุ่มคนนั้นไว้ เกาเฟยดึงท่อเหล็กออกจากเอวของเขาและด่าต่อว่า “กูให้มึงแจ้ง!”

เขาทุบเข้าไปที่คู่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง มาพร้อมเสียงโอดครวญที่หวาดกลัว ชายคนนั้นยังคงมีเสียงในตอนแรก และตอนสุดท้ายก็เหมือนจะสิ้นใจ ล้มลงกับพื้นโดยไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

เกาเฟยถึงได้หยุด เช็ดเลือดที่สาดเต็มใบหน้าของตัวเอง ชี้ไปทางแขกคนอื่นๆ “มีใครจะแจ้งความอีกไหม”

คนอื่นๆเงียบ แล้วเดินถอยหลัง ทุกคนต่างกลัวจนไม่กล้าหายใจ นับประสาอะไรกับการแจ้งความ

หานจินฉวนกวาดตามองในงาน และพุ่งสายตาไปที่เย่ปิงหรง

เย่ปิงหรงอดไม่ได้ที่จะถอยออกมาเล็กน้อย พลางคว้าแขนเสื้อของหยางไห่จวินที่อยู่ข้างๆไว้

“หลานสาว ไม่เจอกันนานเลยนะ” หานจินฉวนดึงมุมปากของเขาแสดงรอยยิ้มที่แข็งกระด้าง

เย่ปิงหรงหน้าขาวซีด หัวเราะเล็กน้อยและพูดว่า “สวัสดีค่ะคุณลุงหาน”

"สวัสดี ฉันกำลังตามหาลูกชายของฉัน”หานจินฉวนยืนรูปให้เธอ ในภาพคือภาพขาวดำของหานเคอ เย่ปิงหรงตัวสั่นและพูดว่า "ฉัน.............ฉันไม่เคยเจอเขา”

"ไม่ หลานเคยเจอ หลานเคยเจอ ไปกับลุง ลุงมีเรื่องจะคุยกับหลานหน่อย” หานจินฉวนสีหน้าไร้ความรู้สึก น้ำเสียงเย็นชาและไร้อารมณ์ ราวกับว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นซอมบี้

เย่ปิงหรงตื่นกลัวขึ้นมา เธอรู้ว่าถ้าเธอออกจากห้องนี้ไปเธอต้องเจ็บตัวแน่ แต่ข้างกายเธอมีแค่หยางไห่จวิน เธอจึงรีบคว้าแขนเขาไว้ “ฉันไปกับเขาไม่ได้”

หยางไห่จวินเหงื่อออกมาเต็มศีรษะ และรีบตอบว่า “คุณหาน คุยกันดีๆนะครับ เห็นแกหน้าผมด้วย...............”

"มึงมันไร้ประโยชน์” เกาเฟยเดินออกมาตบหน้าเขา เขาจับผมและตบอยู่หลายครั้ง และถามในขณะที่ตบว่า “มึงมีหน้าตาอะไร ห่ะ ไม่ดูสารรูปตัวเองเลยว่ามีอะไร”

"ไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย” หยางไห่จวินผมกระเซอะกระเซิง ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด เขาร้องขอความเมตตา ชนชั้นสูงในธุรกิจที่ยังคงคุยกันอยู่ตอนนี้กลายเป็นคนที่น่าสังเวชยิ่งกว่าขอทานเสียอีก

เกาเฟยกระทืบหน้าหยางไห่จวินไปหลายครั้ง และพูดเตือนว่า “ถ้ายังกล้าพูดอีกกูจะตัดลิ้นมึง แม่ง ทำไมวันนี้ถึงเจอแต่พวกโง่”

หยางไห่จวินกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะตัดลิ้นเขาจริงๆ จึงรีบปิดปากไม่พูดอะไร และคลานถอยไปด้านหลัง

ดวงตาที่ดุดันของเกาเฟยกวาดตามองฝูงชน “ให้ดีคืออยู่อย่างเชื่อฟัง ใครกล้าขยับ อย่าหาว่ากูไม่เกรงใจ ได้ยินไหม”

พูดจบก็เดินไปหน้าเย่ปิงหรง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไปเถอะคนสวย ไม่ต้องกลัว พวกเราไปสนุกกัน อ๊ะ ดูหน้าอกนี้หน่อยว่าดีแค่ไหน”

"อย่าแตะต้องตัวฉัน” เย่ปิงเผิงเอามือของเกาเฟยออกจากหน้าอกของเธอ สีหน้าขาวซีดกว่าเดิม

รอยยิ้มบนใบหน้าของเกาเฟยหายไป ทันใดนั้นก็ตบเย่ปิงหรงไปที่ใบหน้าด้วยหลังมือ “ปากดี คิดว่าตัวเองเป็นใคร”

จู่ๆก็มีมือยื่นออกมาจากด้านข้าง จับข้อมือเกาเฟยไว้แน่น






















Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

173