บทที่ 10 พวกอ่อนแอ

หลัวชุนตามมาอย่างช้าๆ รถคันหน้าเลี้ยวไปไม่กี่ครั้ง ก็ขับเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นซากบ้านแถวชานเมือง เขายิ่งมั่นใจว่าอยู่ในสถานที่แบบนี้ ฝ่ายตรงข้ามน่าจะมีไม่กี่คน

หลัวชุนนำรถมาจอดไว้ด้านนอก แล้วเดินไล่ตามรถผ่านตรงข้ามนผ่านซากปรักหักพังจากอีกทาง

ความเร็วของเขาเร็วมาก นอกจากนี้ยังมีกำแพงที่เป็นซากปรักหักพังขวางอยู่เป็นอุปสรรค ฝ่านตรงข้ามจึงไม่เห็นว่ามีคนตามอยู่

รถเลี้ยวเข้าไปในลานบ้านที่ได้รับการบำรุงรักษาไว้อย่างดี หลัวชุนกระโดดขึ้นไปนอนราบบนหลังคาบ้านฝั่งตรงข้าม และได้เห็นว่าเย่ไท่ที่ถูกมัดด้วยเชือกถูกนำตัวลงจากรถ คนอื่นๆเปิดหีบเงินที่อยู่หลังรถ แล้วก็ได้เห็นธนบัตรสีแดงเต็มหลังรถ พวกเขาตกตะลึงมาก “แม่มึงเอ้ย มีเงินแล้วโว้ย”

”ไอ้แก่นี้มันเต็มใจจริงๆ ถ้ารู้แบบนี้ น่าจะเรียกให้เยอะกว่านี้หน่อย จริงไหม”

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ใต้ชายคาแล้วซึ่งสวมหน้ากากตือโบ๊ยก๊าย ก็กวักมือเรียก “เอาตัวประกันออกมา”

หลังจากนั้นเย่ปิงเผิงก็ถูกนำตัวออกมา ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เธอสวมเพียงเสื้อแจ็คเก็ตที่ขาดรุ่งริ่ง เห็นได้ชัดว่าเธอทุกข์ทรมานไม่น้อย

เย่ไท่ข่มความโกรธเอาไว้ แล้วถาม “เอาเงินมาแล้ว ก็ปล่อยคนได้รึยัง”

”ปล่อยแน่นอน แต่จะพูดอีกหน่อยว่าลูกสาวคนนี้ของแกมันดีจริงๆ เมื่อคืนทำให้พี่น้องของเราคลั่งแทบตายไปเลย จริงไหม”

คนทั้งบริเวณหัวเราะ แล้วพูดคำพูดที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงออกมาไม่หยุด

”พวกแกไปตายซะ” จู่ๆเย่ปิงเผิงก็บ้าขึ้นมาแล้วชกต่อยคนรอบข้าง แล้วก็กลับโดนตบ ชายร่างใหญ่ปลดเข็มขัดพลางพูดว่า “ดูเหมือนว่าตัวประกันคนนี้ยังไม่ยอมจำนนนะ ว่ากันว่าลูกที่กตัญญูจะต้องอยู่ในโอวาท ไอ้แก่ วันนี้ฉันช่วยสั่งสอนลูกสาวแกให้ดีไหม”

”แกกล้าเหรอ” เย่ไท่ตะโกนเสียงดัง

เย่ปิงเผิงถูกฉีกเสื้อผ้าทิ้งลงบนพื้น คนอื่นๆก็ล้อมรอบเข้ามา ลูบคลำตัวเธอ แล้วปล่อยให้เธอร้องไห้และดิ้นรน ชายร่างใหญ่ลงไปคร่อมตัวเธอไว้ เย่ปิงเผิงจึงกรีดร้องออกมา

เย่ไท่โกรธจนตัวสั่น ดวงตาแดงก่ำ เขาพยายามแกะเชือกแต่ทำยังไงก็ไม่สามารถแกะได้ จึงทำได้แค่มองลูกสาวตัวเองถูกทำร้าย ในหัวใจเขาโกรธจนถึงขีดสุด

และในตอนนี้ จู่ๆชายร่างใหญ่คนนั้นก็ไม่ขยับตัว เสียงหัวเราะหยุดลง ทุกคนได้เห็นรูเลือดหลังศีรษะของชายคนนั้น เลือดไหลออกมานองเต็มพื้น

เย่ปิงเผิงเห็นว่าคนที่อยู่บนตัวเธอเลือดไหลเป็นทาง จึงร้องกรี้ดด้วยความตกใจ เธอพยายามคลานหนีไปอยู่ด้านข้าง

”ใคร”คนในบริเวณนั้นแตกตื่น ยกปืนขึ้นมาจะละหวัน

หลัวชุนกระโดดลงมาจากหลังคา เขาไม่คิดว่าก้อนหินที่เขาขว้างด้วยมือจะทรงพลังขนาดนี้ ถึงกับทำให้คนตายได้

”มึงเป็นใคร หมอบตัวลง เอามือไว้บนหัวเดี๋ยวนี้”

ชายที่สามหน้ากากตือโป๊ยก๊ายชี้ปืนมาทางหลัวชุน

หลัวชุนหรี่ตามอง “ถ้าให้ดีแกวางปืนในมือลงดีกว่า คนที่เล่นปืนต่อหน้าฉันจะต้องตายทุกคน”

คำพูดนี้ไม่ใช่คำขู่ การจับปืนภายในสิบกระบวนท่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับสมาชิกในทีมพิเศษ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงดวงตาของเขาที่แตกต่างจากคนทั่วไป ไม่เพียงแต่สามารถมองเห็นสิ่งต่างได้ในระยะไกลๆ เขายังสามารถมองเห็นวิถีกระสุนและหลบได้ทัน เพราะไม่เช่นนั้นก็คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในสนามรบที่เต็มไปด้วยไฟได้

”ไอ้กระจอก แกอย่ามาผยองหน่อยเลย” ชายที่สวมหน้ากากตือโบ๊ยก๊ายโบกปืนไปมาพร้อมพูดว่า “ความอดทนกูมีขีดจำกัดนะ กูจะไม่พูดเป็นครั้งที่สอง ถ้ายังไม่หมอบ จะให้มึงได้ลิ้มรสลูกปืนสักหน่อย”

”แกลองดู” หลัวชุนไม่ได้ขยับ เหมือนกับว่ากำลังยืนรอกระสุน

”มึงหาเรื่องตายแท้ๆ”ชายที่สามหน้ากากตือโบ๊ยก๊ายลั่นไกปืน

หลังจากเสียงปืนหนึ่งนัด หลัวชุนก็ขยับตัวเล็กน้อย และยังคงยืนอยู่อย่างปลอดภัย เขายิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ดูเหมือนว่าปืนของแกจะเล็งไม่ตรงเป้านะ”

ปืนของฝ่ายตรงข้ามเริ่มสั่น เขาตะโกนเสียงดังลั่น “ฆ่ามัน”

ทุกคนทำตามคำสั่ง ลั่นกระสุนทักทายหลัวชุน จากนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าหลัวชุนได้กลายเป็นเงาล่องหน เขาเคลื่อนไหวไปมาอย่างต่อเนื่องในสนาม และในชั่วพริบตา คนร้ายทั้งหกก็จับข้อมือและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

ในมือหลัวชุนคว้าปืนไว้ได้หกกระบอก เขาค่อยๆเดินไปหาคนสวมหน้ากากตือโบ๊ยก๊ายและพูดว่า “ถอดหน้ากาก”

“แม่มึงสิ” ทันใดนั้นชายคนนั้นก็หยิบมีดพกออกมาและแทงไปที่ท้องของหลัวชุน หลัวชุนคว้ามือคู่ต่อสู้ไว้ได้ หักมือเขาจนเกิดเสียงกระดูกหัก

“โอ้ย”

เสียงร้องลั่น หลัวชุนเปิดหน้ากากของเขา เผยให้เห็นสีหน้าขาวซีดของเด็กหนุ่ม คนคนนี้น่าจะอายุยี่สิบกว่าๆ ตาที่บวม และเม็ดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถัวเหลืองก็ผุดขึ้นบนหน้าผาก พูดด้วยเสียงสั่น “พี่ชาย พี่ชายไว้ชีวิตด้วย พี่ต้องการเท่าไหร่ผมจะให้พี่ ผมขอร้องพี่ปล่อยผมเถอะ.....”

”หม่าเจี้ยน เป็นแกเหรอ”เย่ปิงเผิงพูดด้วยความเกลียด “ที่แกล้งมาเป็นเพื่อนกันฉัน เพราะจะลักพาตัวฉันเหรอ”

หลัวชุนแอบส่ายหน้า ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเย่ปิงเผิงไม่รู้เรื่องแบบนี้ แล้วเป็นเพื่อนกับพวกคนโกงพวกนี้

”ไอ้สารเลว ให้อภัยไม่ได้”

เมื่อหลัวชุนคิดถึงสภาพของเสี่ยวหลิน เขาเกลียดพวกขยะพวกนี้มากที่ทำร้ายผู้หญิง เขาเหยียบไปที่เป้ากางเกงของหม่าเจี้ยน ทันใดนั้นเขาก็สลบไปโดยที่ยังไม่ได้ส่งเสียงสักคำ

คนอื่นๆที่เห็นต่างก็ตกใจ หมอบลงและพูดว่า “คุณชาย คุณชายไว้ชีวิตด้วย พวกเราก็ถูกบังคับมา โอ้ย...........”

“พวกอ่อนแอ”

หลัวชุนยิงปืนออกไป ซึ่งมีเสียงเกิดขึ้นหลายครั้ง ผู้ร้ายลักพาตัวก็แพ้ราบคาบทุกคนสลบไปเพราะความเจ็บปวด

เย่ไท่ก็รีบไปหาลูกสาว เย่ปิงเผิงจึงร้องไห้ออกมา เย่ไท่ลูบหัวของเธอและพูดว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว พ่ออยู่นี่”

เขาเงยหน้าขึ้นมองตาหลัวชุนด้วยความตื้นตัน หลังจากนั้นก็อดที่จะกลัวขึ้นมาในใจไม่ได้ ถ้าวันนี้ไม่ได้หลัวชุนมาช่วย ผลสุดท้ายคงไม่ใช่สิ่งที่เขาจะจินตนาการได้

หลัวชุนดึงหน้ากากคนที่เหลืออกมา พบว่าส่วนใหญ่เป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ตัวตน ดูเหมือนว่าจะเป็นพวกหนีคดี

เขายิ้มอย่างเยือกเย็น แล้วจึงโทรหาตำรวจ แค่คดีลักพาตัวและขู่กรรโฉกก็ทำให้พวกเขาติดคุกได้แล้ว

”พวกเรากลับกันเถอะ”

หลัวชุนไม่อยากคุยกับตำรวจอีก เขาแค่มัดพวกโจรรวมกันไว้ และขับรถพาทั้งสองคนกลับคฤหาสน์ที่ตงซาน

ถางฉานและเย่ปิงหรงนั่งรออยู่อย่างร้อนรน เมื่อเห็นหลัวชุนขับรถกลับมา ก็รู้สึกตื่นเต้น ไม่รู้ว่าผลเป็นยังไง

และเมื่อเห็นเย่ไท่และเย่ปิงเผิงลงจากรถ พวกเธอเกือบล้มลงกับพื้นด้วยความตื่นเต้น เพราะคนในครอบครัวต้องตกอยู่ในอันตรายแต่ผ่านมันมาได้ แล้วพวกเขาก็จึงกอดกันร้องไห้

หลัวชุนเดินจากไปอย่างเงียบๆ ยื่นหน้าไปที่ประตูและจ้องมองวิวทิวทัศน์อันไกลโพ้น เขารู้สึกสงบภายในใจ เขาแก้ไขปัญหาพวกโจรเหล่านี้ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วย ยิ่งไปกว่านั้นสมรรถภาพทางกายของเขาก็แข็งแรงขึ้นด้วย ความเร็วในการยิงครั้งนี้แทบจะทำลายสถิติเดิม ดูหมือนว่ามวลอากาศในร่างกายของเขาจะเป็นของที่หายากจริงๆ

เย่ปิงหรงหันกลับมาและเห็นว่าหลัวชุนกำลังยืนอยู่ที่ประตู จึงกวักมือเรียก “ไปยืนทำไมตั้งไกล นายเป็นวีรบุรุษนะ พวกเราขอบคุณนายมากๆ”

คนอื่นๆถึงได้คิดถึงหลัวชุนขึ้นมาได้ ถางฉานคิดถึงว่าเธอเคยบอกว่าเขาไม่มีวัฒนธรรม ตระกูลเย่ไม่เลี้ยงดูคนไร้ประโยชน์ ก็รู้สึกอายจนใบหน้าร้อนผ่าว























Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

173