บทที่ 11 พึ่งพาผู้หญิงขึ้นสู่ที่สูง

ผมคิดไม่ถึงว่าร่างกายของซุนน่าจะไวต่อความรู้สึกขนาดนี้ ผมจึงชักมือกลับเข้ามาด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย

"พี่น่า ถ้าพี่รู้สึกว่าร่างกายฟื้นคืนสภาพดีแล้ว เช่นนั้นผมก็จะออกไปแล้วนะ"

พูดจบผมก็เตรียมตัวจะลุกขึ้นเดินออกไป แต่คิดไม่ถึงว่าซุนน่าจะใช้มือดึงตัวผมเอาไว้

"ถ้านายบริการแค่ครึ่งเดียวแบบนี้ก็โดนหักเงินนะ นายแน่ใจเหรอว่าต้องการออกไป?"

เมื่อมองไปที่สายตาของซุนน่า ผมก็พบว่าในดวงตาของเธอมีสิ่งอื่นอยู่อีก ผมไม่กล้าคิดลึก ทำได้เพียงนั่งยอง ๆ และปรนนิบัติเธอต่อไปอย่างเงียบ ๆ

"การบริการในครั้งนี้ดีมาก ๆ นี่เป็นเงินห้าแสน นายรับเอาไปเถอะ"

หลังจากผมช่วยสวมเสื้อผ้าให้ซุนน่าเสร็จ เธอก็หยิบเช็กแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสตางค์และมองผมด้วยสายตายิ้ม ๆ

"สืออี หวังว่าครั้งต่อไปนายจะยังสามารถทำให้ฉันมีประสบการณ์ที่ยากจะลืมได้อีกนะ"

ขณะที่ซุนน่าก้าวออกไปจากห้อง ทันใดนั้นเธอก็หันกลับมาและพูดประโยคที่คลุมเครือนี้กับผม ในสายตาของเธอเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์

สายตาของคนที่แอบฟังอยู่ตรงประตูเหล่านั้นก็เปลี่ยนไปในทันที ผมยิ้มเจื่อน ๆ เล็กน้อยและไม่ได้ตอบรับอะไรคำพูดของซุนน่า

ผมรู้ว่าเธอตั้งใจ แม้ว่าวันนี้ผมจะทำให้เธอได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ด้วยเหตุและผลแล้ว ผมทำแบบนี้ก็ยังถือว่าเป็นการล่วงเกินเธอ

เสียงตะโกนของเธอเมื่อกี้ดังกว่าเสียงของพี่ชิงเสียอีก คนที่อยู่ข้างนอกและอิจฉาผมเหล่านั้นจะต้องได้ยินเสียงอย่างแน่นอน พวกเขาจะต้องคิดว่าผมกับเธอทำเรื่องที่คาวโลกีย์กันอยู่ด้านในแน่ ๆ และคำพูดประโยคนี้ของซุนน่าก็ยิ่งเป็นการยืนยันการคาดเดาของพวกเขา

"ช่างหน้าไม่อายจริง ๆ เดิมทีฉันคิดว่าคลับของพวกเราน่าจะเป็นร้านที่ถูกทำนองคลองธรรมที่สุดในบรรดาร้านนวด คิดไม่ถึงว่าปลาเน่าตัวเดียวจะเหม็นทั้งข้อง"

ไม่รู้ว่าใครเป็นพูดคำพูดเหน็บแนมแบบนี้ออกมา คนที่อยู่ข้างล่างต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาในทันที ไม่เพียงแต่เสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังไม่น่าฟังขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน

ตอนที่ผมกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา เถ้าแก่โจวก็เดินมาหาผมด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นดีใจ เขาโอบไหล่ของผมเอาไว้ข้างหนึ่ง และด่าคนที่กำลังพูดจาซี้ซั้วเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด

"เสียงดังอะไรกัน? ทำไม เห็นสืออีเขามีความสามารถมากกว่าพวกนายหน่อย สามารถทำให้ลูกค้านิยมชมชอบได้ พวกนายก็อิจฉากันแล้วเหรอ? แต่ละคนไม่เคยทำให้ฉันวางใจได้เลยสักวัน พวกนายน่ะนะ ขอเพียงทำได้สักครึ่งหนึ่งของสืออีก็ถือว่าดีแล้ว!"

ผมรับท่าทางปลอม ๆ แบบนี้ของเถ้าแก่โจวไม่ได้จริง ๆ ผมจึงปลดมือของเขาออกจากไหล่ของตัวเองอย่างเงียบ ๆ หลังจากนั้นผมก็พูดออกไปโดยไม่ถ่อมตัวหรือเย่อหยิ่ง

"ขอบคุณสำหรับคำชมของเถ้าแก่ มือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้าง ผมไม่ได้ทำเรื่องที่ต้องรู้สึกบาป เป็นธรรมดาที่ผมจะไม่กลัวคนต่ำทรามเหล่านั้นนินทาลับหลัง ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วผมก็ขอตัวไปพักผ่อนก่อน"

โจวฉังเซิงคิดไม่ถึงว่าผมจะตบหน้าเขาต่อหน้าทุกคนแบบนี้ สีหน้าของเขาจึงดูอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง แต่เขากลับแสดงความโกรธออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงหัวเราะออกมาสองที

"แหะ ๆ ในเมื่อสืออีรู้สึกเหนื่อยแล้ว เช่นนั้นก็ไปพักผ่อนเถอะ"

ผมเพิ่งจะเดินออกไปได้ไม่ไกล ก็ได้ยินคนที่เดิมทีวิพากษ์วิจารณ์ผมเหล่านั้นพากันประจบสอพลอโจวฉังเซิง และเหยียบย่ำผมเพื่อทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ

ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เดินไปพลางบริหารนิ้วมือของตัวเองไปพลาง การนวดให้ซุนน่าในครั้งนี้ทำให้มือของผมใช้งานหนักเกินไป จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกชาที่มืออยู่เลย

แต่ไหนแต่ไรมาผมก็ดูถูกการประจบสอพลอคนอื่น ถ้าตัวเองมีความสามารถพอ ทำไมต้องดูสีหน้าของคนอื่นด้วย?

คลับแห่งนี้นอกจากห้องสำหรับลูกค้าแล้วก็ไม่มีสถานที่อื่นให้พวกเราพักผ่อนได้เลย ปกติแล้วถ้าพวกเรารู้สึกเหนื่อย สถานที่เพียงแห่งเดียวที่สามารถพักผ่อนได้ก็คือพื้นที่พักผ่อนในโรงอาหาร

"โอ้ นี่มันลูกศิษย์ที่มีหน้ามีตาของฉันไม่ใช่เหรอ? ทำไม ปรนนิบัติอาเจ๊ของนายเสร็จแล้วเหรอ?"

ผมเพิ่งจะนั่งลงได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยและเต็มไปด้วยการเหน็บแนม

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นก็พบว่าอาจารย์ฉังเล่อนั่งลงตรงข้ามกับผมแล้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสะอิดสะเอียน ในใจของผมจึงรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าในอดีตเขาก็คิดกับผมเช่นนี้

"อาจารย์ คุณอย่าคิดกับผมแบบนี้ ผมไม่ได้ทำเรื่องที่ไม่ดีเหล่านั้นเลย"

เขาเป็นอาจารย์ของผม ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเหน็บแนมผมยังไง ภายในใจของผมก็ยังคงเคารพเขาอยู่

"คำว่าอาจารย์ของนายฉันกลับรับเอาไว้ไม่ไหว ตอนนี้นายมีทั้งอนาคตและความสามารถ ความมีหน้ามีตาก็ยังดีกว่าฉันเสียอีก ฉันควรเรียกนายว่าอาจารย์ถึงจะถูกสินะ?"

รอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามของเขาทิ่มแทงดวงตาของผมจนรู้สึกเจ็บปวด และทำให้เสียงของผมสั่นเครือขึ้นมาเล็กน้อย

"เป็นครูเพียงหนึ่งวัน ดังพ่อลูกกันตลอดชีวิต คำว่าอาจารย์นี้คุณคู่ควรกับมันอย่างแน่นอน"

"หึ นายพูดมันออกมาจนได้สินะ ฉันไม่มีลูกศิษย์ที่พึ่งพาผู้หญิงเพื่อขึ้นไปสู่ที่สูงแบบนาย และฉันก็รังเกียจที่จะเกี่ยวข้องกับนาย เมื่อถึงเวลานั้นฉันไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าผู้ชายแก่ ๆ แบบฉันจะยังทำเรื่องที่ไร้จรรยาบรรณและเลวทรามแบบนั้นอยู่อีก!"

คำพูดนี้ทำลายความภาคภูมิใจในตัวเองของผมอย่างถึงที่สุด แม้ว่าผมจะเคารพเขามากแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้เขามาทำลายเกียรติของผมได้ ผมจึงคว่ำจานในมือลงบนโต๊ะแรง ๆ ด้วยความโกรธ และจ้องฉังเล่อด้วยดวงตาที่คุกรุ่น

"ฉังเล่อ ผมเคารพคุณถึงได้เรียกคุณว่าอาจารย์ ผมหวังว่าคุณจะรู้ตัวเองสักหน่อยและสามารถแบกรับคำว่าอาจารย์ได้จริง ๆ ต่อไปจะพูดอะไรคุณก็กรุณาเคารพกันหน่อย สุนัขจนตรอกยังสามารถกระโดดข้ามกำแพงได้เลย ผมคิดว่าคุณคงไม่ได้อยากให้พวกเราทะเลาะกันจนไม่เหลือไมตรีต่อกันหรอกใช่ไหม?"

สายตาของผมทำให้ฉังเล่อรู้สึกตกใจ เขาจึงมองผมด้วยความตกตะลึง และเพราะการกระทำของผม คนที่อยู่ในโรงอาหารจึงพากันจ้องมองมายังพวกเรา

"เยี่ยสืออี! นายคิดว่าตัวเองพึ่งพาผู้หญิงขึ้นสู่ที่สูง เกาะผู้หญิงกินเป็นเรื่องที่มีเกียรติเหรอ? ในฐานะที่ฉันเป็นอาจารย์ของนาย แม้แต่การสั่งสอนนายฉันก็ไม่มีสิทธิแล้วเหรอ?"

ขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่าจริง ๆ แม้ว่าฉังเล่อจะถูกผมทำให้ตกใจ แต่หลังจากตั้งสติได้เขาก็ไม่ได้รู้สึกสับสนอีกเลย ในทางกลับกันเพียงชั่วพริบตาเขาก็กลับดำเป็นขาว และย้อนเล่นงานผมในทันที เดิมทีเขาเป็นคนเข้ามาหาเรื่องผมก่อน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผมไม่เชื่อฟังคำสอนของอาจารย์ไปเสียแล้ว

"อาจารย์ฉังเล่อ ตอนนี้สืออีเขามีความสามารถและปีกกล้าขาแข็งแล้ว ไหนเลยจะยังฟังคำพูดของนายอยู่อีก ฉันขอแนะนำนายว่าให้รีบขับคนแบบนี้ออกจากการเป็นลูกศิษย์โดยด่วน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาพาลูกศิษย์คนอื่นของคุณหลงผิด"

เมื่ออาจารย์คนหนึ่งที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์สูง และคนอื่นต่างเคารพนับถือเห็นผมกับฉังเล่อทะเลาะกันขึ้นมา เขาก็รีบเดินเข้ามาในทันทีด้วยท่าทางที่เห็นความโชคร้ายของคนอื่นเป็นเรื่องสนุก และใช้คำพูดแดกดันทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ

"อาจารย์คังชิ่ง นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเราสองคน ไม่ต้องรบกวนให้นายมาสิ้นเปลืองสมองหรอก แต่ถ้านายมีเวลาว่างจริง ๆ เช่นนั้นก็ไปสั่งสอนลูกศิษย์ที่โง่เขลาเหล่านั้นของนายน่าจะดีกว่า ทั้งหมดล้วนเข้ามาพร้อมกันกับสืออี แต่ทำไมถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้ล่ะ?"

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

365