บทที่ 201 แขกผู้มาเยือน

ในเวลานี้กลุ่มญาติก็เดินเข้ามาหนิงกั๋วเย่าและเหยียนเฉาจิ้งหยุดคุยเรื่องต่างๆในร้านและลุกขึ้นเพื่อทักทาย:"พี่สามพี่สะใภ้นี่คงเป็นพี่เซียงยิ่นเนอะ..."

ผู้ที่มาล้วนเป็นญาติของตระกูลหนิงและตระกูลเติ้งและพวกเขาต่างรู้จักกัน

ผู้คนหลายสิบคนเหล่านี้เดินเข้ามาทำให้ชั้นหนึ่งของร้านมีผู้คนพลุกพล่านอย่างกะทันหัน

เติ้งเซียงยิ่นเป็นเจ้าของร้านอาหารแม้ว่ามันจะไม่ใหญ่เท่ากับร้านที่ฮั่วปู้ฝานเช่ามาก็ตามแต่เธอสามารถสร้างรายได้600,000ถึง700,000หยวนต่อปีในบรรดาญาติของครอบครัวเติ้งนับได้ว่าพวกเขาเป็นคนที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

ทันทีที่เธอเข้าไปในร้านเธอสแกนสภาพแวดล้อมด้วยสายตาที่นี่มีคนมากมายเธอถามว่า"ใครเป็นคนออกแบบร้านนี้"

เติ้งจุ้นเหมยยิ้มและกล่าวว่า"ซูเฮิงออกแบบเองทั้งหมดอย่ามองแค่ว่าเด็กคนนี้อ่อนโยนแต่เวลาทำอะไรเขาจะ..."

"การออกแบบนี้มันใช้ไม่ได้!"เติ้งเซียงยิ่นขัดจังหวะเติ้งจุ้นเหมยเธอชี้ไปที่ห้องครัวและพูดว่า"ดูสิว่าห้องครัวใหญ่เกินไปกินพื้นที่ชั้นหนึ่งไปถึง60%เหลือพื้นที่ว่างแค่นิดเดียวแล้วยังวางอุปกรณ์มากมายโต๊ะเก้าอี้มีแค่หกชุดแล้วมันก็เล็กไปหมดคนจะนั่งกินได้ยังไงไม่ต้องพูดถึงกินข้าวหรอกแค่เราไม่กี่คนก็ไม่มีที่จะนั่งแล้วไม่ได้ๆๆมันแออัดเกินไปไม่ได้"

หลังจากได้ยินคำว่าไม่ได้ติดต่อกันหลายครั้งสีหน้าของเติ้งจุ้นเหมยก็เปลี่ยนสี

เธอคิดว่าพี่สาวของตัวเองจะชมแต่ใครจะรู้ว่าพอพูดขึ้นมาก็มีแต่นี่ไม่ดีนั่นไม่ได้

หนิงกั๋วเสียงที่อยู่ด้านข้างก็พูดว่า:"ที่จริงบนชั้นสองยังมีที่ว่างมากซึ่งสามารถวางโต๊ะและเก้าอี้ได้"

"จะทำแบบนั้นได้ยังไง"เติ้งเซียงยิ่นกล่าวพร้อมกับชี้"การจัดร้านอาหารคือการทำให้แขกสบายใจในการรับประทานอาหารวัยรุ่นสมัยนี้เขาขี้เกียจให้พวกเขาเดินสองสามก้าวก็ไม่พอใจแล้วแน่นอนว่าพวกเขาต้องชอบนั่งทานอาหารที่ชั้นหนึ่งเรื่องอะไรจะเดินขึ้นไปถึงชั้นสองมาครั้งแรกก็แล้วไปแต่ถ้าครั้งต่อไปเขาอาจจะไม่มาอีกแล้วแบบนี้ไม่ได้ต้องเปลี่ยนๆพี่ทำไมไม่รีบบอกวาพวกเขาเปิดร้านอาหารคนหนุ่มสาวเขาไม่ค่อยมีประสบการณ์ถ้าพี่บอกเร็วกว่านี้ฉันจะมาให้คำแนะนำพวกเขามันจะได้ไม่ผิดพลาดแบบนี้"

เติ้งจุ้นเหมยพูดอย่างไม่มีความสุขว่า:"คนหนุ่มสาวเขามีความคิดเป็นของตัวเองประสบการณ์ของเธอในการเปิดร้านอาหารอาจไม่เหมาะกับพวกเขานอกจากนี้พวกเขายังทำเป็นแบบซื้อขายทางออนไลน์และส่งแบบเดลิเวอรี่เขาไม่ต้องการให้แขกมารับประทานอาหารถึงร้านเหมือนอย่างเธอ"

"พี่คิดว่าฉันไม่รู้เกี่ยวกับเดลิเวอรี่เหรอร้านอาหารของฉันก็มีบริการเดลิเวอรี่เหมือนกันแต่เดลิเวอรี่และการรับประทานอาหารในร้านมันก็ไม่ต่างกันพี่ไม่รู้มันยากที่จะให้บริการลูกค้าในทุกวันนี้มีอะไรที่รู้สึกไม่สะดวกพวกเขาก็ไม่มากันแล้ว"เติ้งเซียงยิ่นมองไปที่พ่อครัวที่กำลังยุ่งอยู่ตรงนั้นอีกครั้งและถามว่า:"แล้วอีกอย่างทำไมถึงได้หาพ่อครัวมามากขนาดนี้ใช้งานได้หมดทุกคนเหรอ?ร้านอาหารแบบนี้มีพ่อครัว8คนก็พอแล้วแล้วพ่อครัวเยอะขนาดนี้ต้องเสียเงินไปเท่าไหร่ล่ะเนี่ย"

เติ้งจุ้นเหมยรู้สึกโกรธมากเชิญเธอมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีไม่ใช่มาที่นี่เพื่อยั่วยุตัวเอง

ด้วยผู้คนมากมายที่นี่อีกทั้งเป็นญาติพี่น้องกันทั้งหมดเธอจึงไม่ต้องการให้สถานการณ์มันอึดอัดเกินไป

หนิงเสี่ยวฉินเดินมาและพูดว่า:"คุณน้าตอนนี้พวกเรามีกำลังที่จำกัดดังนั้นเราจึงทำได้แค่เดลิเวอรี่เท่านั้นโต๊ะและเก้าอี้เหล่านี้มีไว้สำหรับลูกค้าที่ต้องการทานอาหารที่นี่ชั่วคราวเท่านั้นไม่ใช่..."

"มันจะทำได้อย่างไรฉันถึงได้บอกว่าคนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอไม่มีประสบการณ์การรับประทานอาหารในร้านนี้สำคัญกว่าการซื้อกลับบ้านเมื่อผู้คนมาที่ร้านพวกเขาจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศซึ่งเดลิเวอรี่เทียบไม่ได้ไม่ทำร้านให้ดีแล้วใครจะยอมมาสั่งเดลิเวอรี่ล่ะ"เติ้งเซียงยิ่นกล่าว"สำหรับร้านใหม่ๆอย่างร้านของพวกเธอถ้าต้องการดึงดูดลูกค้าก็ต้องใช้เงินจำนวนมากไปกับการส่งเสริมการขายเป็นเวลาหนึ่งเดือนเป็นอย่างต่ำถ้าหาเงินไม่ได้ก็ต้องเสียเงินค่าโปรโมตคนหนุ่มสาวก็ขี้เกียจแบบนี้แหละไม่ทำร้านให้ดีแล้วจะทำเดลิเวอรี่ได้อย่างไร"

มีญาติอีกคนที่อยู่ข้างๆถามว่า:"เสี่ยวฉินฉันคิดว่าน้าของเธอพูดถูกแม้ว่าจะต้องการทำเดลิเวอรี่ก็ต้องโปรโมตก่อนเช่นเดียวกับร้านใหม่ในเมืองของเราร้านไหนที่เปิดใหม่จะยอมเสียเงินเพื่อเชิญดาราและคนดังๆบนอินเทอร์เน็ตมาร้องเพลงโชว์"

"ใช่ไม่หาคนมาโชว์ก็จะดึงดูดคนไม่ได้แล้วยังทำอาหารลดน้ำหนักอีกนี่มันขายไม่ได้ง่ายๆนะ?"

"ฉันเคยกินมาแล้วไม่อร่อยไม่มีรสชาติอะไรเลยก็แค่หน้าตาดูดีคนหนุ่มสาวชอบทำอะไรเว่อร์ๆร้านใหญ่ๆแบบนี้ในหนึ่งปีน่าจะได้เงินไม่น้อยนะแต่ถ้าขาดทุนแล้วจะทำยังไงจะดีกว่าไหมถ้าให้น้าเธอสอนเปิดร้านทั้งทีก็ทำให้จริงจังไปเลย"

กลุ่มคนกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้หนิงกั๋วเสียงและเติ้งจุ้นเหมยทั้งคู่เสียใจมากแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนเกินไปมิฉะนั้นเขาจะต้องบอกว่าพวกเขาดูถูกตัวเองความคิดเห็นใดๆก็ไม่ยอมรับฟัง

ตรงกันข้ามหนิงอี้หลินกลับรู้สึกไม่พอใจเมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นต่อสู้กับความอยุติธรรม"พี่เขยเขาทำธุรกิจเก่งมากถ้าเขาเลือกที่จะเปิดร้านนี้เขาก็จะต้องทำมันได้ดีแน่นอน!"

"เฮ้อี้หลินเป็นอะไรไปไม่เคยเห็นแกดูสนใจพี่เขยแบบนี้มาก่อน"

"ไม่ใช่เพราะอยากกินข้าวฟรีเหรอ"

กลุ่มญาติพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกทำให้หนิงอี้หลินโกรธจนอยากด่าคนออกไป

ก็แค่ญาติพวกนี้ไม่รู้ว่าจะมาทำไมไม่ใช่ว่ามันยิ่งทำให้ไม่มีความสุขเหรอ?

หนิงเสี่ยวฉินรู้สึกอายเมื่อได้ยินเช่นนั้นแม้ว่าเธออยากจะอธิบายให้ทุกคนฟังว่าทำไมเธอถึงเปิดร้านนี้แต่เธอก็ไม่อยากอวดตัวมากเกินไปเธอจึงดึงฮั่วปูฝานมาและกระซิบว่า:"คุณอย่าไปใส่ใจพวกเขาก็เป็นแบบนี้แหละชอบพูดเรื่อยเปื่อย"

"ไม่เป็นไรแม้ว่าพวกเขาจะบอกว่ามันน่ากลัวแต่พวกเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจเดิมของพวกเราได้"ฮั่วปู้ฝานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

การแสดงออกบนใบหน้าของเขาผ่อนคลายมากหนิงเสี่ยวฉินรู้สึกโล่งใจที่ได้เห็นเธอรู้ดีว่าสามีของเธอเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงและไม่น่าจะใส่ใจญาติพวกนี้มากเกินไป

เมื่อเวลาผ่านไปญาติและมิตรสหายก็เข้ามาร่วมงานมากขึ้นเรื่อยๆ

บางคนก็อยู่บางคนมาให้ได้ยินเสียงแล้วก็กลับไป

หวางเจียห่าวและคนอื่นๆก็มาที่นี่ด้วยเดิมทีเขาต้องการทานอาหารลดน้ำหนักแต่ตอนนี้พ่อครัวกำลังยุ่งอยู่กับรายการสั่งซื้อมากกว่า1,000ชุดดังนั้นจึงไม่มีเวลาให้พวกเขาทำอย่างอื่น

สิ่งนี้ทำให้เติ้งเซียงยิ่นและคนอื่นๆตั้งคำถามมีคนที่อยากกินแต่ว่าไม่มีเวลาทำแล้วถ้ามีลูกค้ามาจริงๆล่ะ?

เพื่อทำเดลิเวอรี่ก็เลยเพิกเฉยกับหน้าร้านช่างเป็นการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ!

ในบรรดาคนเหล่านี้เติ้งเซียงยิ่นเป็น"ผู้เชี่ยวชาญ"ในอุตสาหกรรมอาหารเวลาพูดถึงสิ่งนี้จึงฟังดูมีน้ำหนักมากที่สุด

ทันทีที่เธอวิพากษ์วิจารณ์ก็มีคนเห็นด้วยจึงทำให้หนิงกั๋วเสียงและเติ้งจุ้นเหมยโกรธ

ในที่สุดเติ้งจุ้นเหมยก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า:"พูดให้น้อยลงสักสองคำมันคงไม่ลำบากมากใช่ไหม!"

เติ้งเซียงยิ่นได้ยินถึงความไม่พอใจของเธอก็เลยพูดด้วยความเสียใจ:"พี่สิ่งที่พี่พูดมันไม่ถูกต้องฉันทำเพื่อพวกเขานะดังนั้นฉันจึงช่วยออกความคิดถ้าเป็นคนอื่นธุรกิจของเขาจะขาดทุนหรือไม่ฉันก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งหรอกทำไมพี่ไม่รู้ถึงความหวังดีเอาซะเลย"

เมื่อพูดแบบนี้แล้วเติ้งจุ้นเหมยไม่ได้ตั้งใจที่จะซ่อนอารมณ์อีกแล้วเธอจึงกล่าวว่า"ทำไมจะไม่รู้ถึงความหวังดีล่ะพอเข้าประตูมาก็มายั่วโมโหเลยวันนี้เป็นวันแรกของการเปิดร้านให้เธอเข้ามาเพิ่มความนิยมแต่เดี๋ยวสักพักก็บอกอันนี้ไม่ดีอันนั้นไม่ได้อยู่นั่นแหละ..."

เห็นพี่น้องกำลังจะทะเลาะกันญาติข้างๆก็เลยออกมาเกลี้ยกล่อม

เติ้งเซียงยิ่นพูดอย่างโกรธๆว่า:"ช่างเถอะพอขาดทุนมาพี่ก็จะรู้เองว่าใครกันแน่หวังดีกับพวกเขา!"

"ยังจะพูดอีก!"เติ้งจุ้นเหมยจ้องไปที่เธอ

ในเวลานี้ข้างนอกก็มีรถอีกคันมาจอดที่หน้าประตูญาติคนหนึ่งที่เห็นก็รีบพูดขึ้นมาว่า:"เอาล่ะฉันไม่พูดแล้วดูเหมือนว่าจะมีคนมาอีกแล้วไปต้อนรับเขาหน่อย"

หนิงกั๋วเสียงดึงเติ้งจุนเหมยและก่อนที่เขาจะออกไปเขาได้ยินเสียงของจีเซียงหนิง:"เสี่ยวฉินเจ้านายของคุณจะไม่ออกมาช่วยฉันหน่อยเหรอ!"

เมื่อได้ยินเธอพูดหนิงเสี่ยวฉินก็รีบออกไปเห็นจีเซียงหนิงถือดอกไม้ช่อใหญ่ออกมามีดอกไม้แทบทุกชนิดและมีวัวสีทองตัวเล็กๆอยู่ในกล่องใสขนาดประมาณฝ่ามือ

"ทำไมต้องซื้อดอกไม้มาเยอะขนาดนี้?"หนิงเสี่ยวฉินกล่าว

"เธอไม่ชอบดอกไม้เหรอฉันไม่รู้จะให้ของขวัญอะไรฉันก็เลยซื้อมาให้"จีเซียงหนิงกล่าว

ฮั่วปู้ฝานก็ออกมาทักทายเธอเช่นกันและเมื่อเห็นเขาจีเซียงหนิงก็พูดว่า"ผู้ช่วยหลี่ทุกวันนี้คุณไม่สนใจงานหลักแล้วนะคุณไม่เห็นผู้จัดการคนนี้อยู่ในสายตาแล้วจริงๆวันนี้ฉันเห็นแก่เสี่ยวฉินก็เลยจะหักเงินเดือนคุณแค่ครึ่งวันก็พอ"

"ขอบคุณผู้จัดการจีเชิญเข้ามาข้างในก่อน"ฮั่วปู้ฝานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เขามีท่าทีดีมากและจีเซียงหนิงก็ตามเขาเข้าไป

กลุ่มญาติในร้านเฝ้าดูทิศทางของผู้มาเยือนพวกเขาเห็นช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ฮั่วปู้ฝานถือไว้ก่อนจากนั้นพวกเขาก็เห็นวัวทองคำตัวน้อยที่หนิงเสี่ยวฉินถืออยู่

"สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า"จีเซียงหนิงทักทายหนิงกั๋วเสียงและเติ้งจุ้นเหมยอย่างสุภาพ

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

827