บทที่ 1 จักรพรรดิเซียนจิ่วเฉิน พันปีกลับมาจุติ
by ซีเย่ซีเยว่
08:01,Dec 24,2023
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงปะทุอยู่ภายในหัวของฉินเฟิง
ขณะเดียวกันเสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้นในโสตประสาท:
"เรียนท่านผู้โดยสารโปรดทราบ รถไฟขบวนนี้กำลังจะถึงสถานีจงไห่ ผู้โดยสารที่จะลงสถานีจงไห่ โปรดเตรียมตัวด้วยความระมัดระวัง"
เมื่อเสียงสิ้นสุดลง ฉินเฟิงรวบรวมสติ เบิกตากว้างโดยสัญชาตญาณและวางมือไว้ที่หน้าตักของตน
แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น มองดูภาพเหตุการณ์รอบๆตัว ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้เขาสับสนในทันที
เขาขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ และครุ่นคิดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ภาพตรงหน้าทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก
ในตอนนี้
ไม่มีใครรับรู้ถึงความสับสนภายในใจของเขาได้
เขามองไปรอบๆ ก็มีเพียงผู้คนที่แออัดอยู่ภายในตู้โดยสาร
“รถไฟขบวนนี้คือขบวนที่ฉันนั่งไปมหาวิทยาลัยจงไห่ในปี 2010 งั้นหรอ?”
“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย?”
“ไม่ใช่ว่าฉันตายไปพร้อมกับสามจักรพรรดิเซียนนักฆ่า และนังสารเลวนั้นแล้วหรอกหรอ?”
"ฉัน ฉันจะกลับมาอยู่บนรถไฟในปี 2010ได้ยังไงกัน!"
“หรือว่า... หรือว่าฉันตายแล้วเกิดใหม่ได้?”
ความคิดประหลาดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของฉินเฟิงอย่างรวดเร็ว
หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ในตาคู่นั้นก็ฉายแววประหลาดใจออกมาอย่างไม่สามารถปิดกั้นได้
“ฉันไม่ได้ตายจริงๆ ฉันกลับมาเกิดใหม่ในโลก ในปี 2010”
……
ฉินเฟิง หรืออีกชื่อที่รู้จักในนาม จิ่วเฉิน
ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาเป็นปรมาจาร์ยเซียนอันดับหนึ่งของสำนักเซียวเหยา จนได้รับการขนานนามว่า: จักรพรรดิเซียนจิ่วเฉิน!
ชาติก่อน เมื่ออายุได้ 28 ปี เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทั้งรถและคนพุ่งลงไปในทะเล
แต่โดยความบังเอิญ เขาหลุดออกจากโลก และมายังสถานที่ที่เรียกว่า ดินแดนดาราเหิงเทียน ซึ่งที่แห่งนี้เป็นเส้นทางที่เขาได้เริ่มต้นการเป็นเซียน
เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษของเขา เขาจึงได้รับการยอมรับให้เป็นลูกศิษย์ส่วนตัวของท่านเซียนเซียวเหยา ผู้เป็นประมุขของสำนักเซียวเหยา และได้รับฉายาว่า: จิ่วเฉิน
พรสวรรค์ที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้ของเขา ผนวกกับความสมบูรณ์ของสำนักเซียวเหยา และความขยันหมั่นเพียรของเขา ทำให้เขาสามารถผ่านช่วงเวลาบำเพ็ญเพียรได้ภายในหนึ่งพันปี จนบรรลุเป็น "จักรพรรดิเซียน"
แน่นอนว่าชื่อ "จักรพรรดิเซียน" ได้มาเพราะไม่มีใครในพิภพเซียน ได้ขึ้นไปสู่ความเป็นเซียนที่แท้จริงมานับแสนปี และจะมอบมันให้แก่ผู้ที่บำเพ็ญเพียรฝึกฝนเป็นเซียนเท่านั้น
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มันก็ดูไม่ต่างจากการ "เยินยอ" สักเท่าไหร่
ช่วงเวลาที่บำเพ็ญเพียรของฉินเฟิงนั่น ไม่ได้ยาวนานนัก และสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในพิภพเซียนนี้มาหลายร้อยปีแล้ว
นอกจากนี้ พลังการต่อสู้ของฉินเฟิงนั้นไร้เทียมทาน เขาเป็นอมตะ ตัวเขาได้ต่อสู้กับปรมาจารย์จากทุกเผ่าในดินแดนดาราเหิงเทียน และไม่เคยพ่ายแพ้ใครมาก่อน
เรื่องราวที่เกิดขึ้นเหล่านี้ทำให้ชื่อ "จิ่วเฉิน หรือจักรพรรดิเซียนจิ่วเฉิน" ดังกึกก้องไปทั่วพิภพเซียน
แต่ถึงกระนั้น คนที่มีความสามารถเช่นนี้ ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับการทรยศหักหลัง
โดยเฉพาะจากคนที่รักและไว้วางใจมากที่สุด
สาเหตุทั้งหมด มันมาจากการที่ฉินเฟิงได้รับสมบัติหายากอย่างไข่มุกแห่งการจุติ ในระหว่างการเดินทางสำรวจของเขา
ว่ากันว่าใครก็ตามที่สามารถเข้าใจความลับของไข่มุกแห่งการจุติ ก็จะสามารถบรรลุการเป็นเซียน และมีชีวิตที่เป็นอมตะ
ฉินเฟิงได้แบ่งปันความลับนี้ให้แก่นางฟ้าเพียวเมี่ยว ผู้เป็นที่รักยิ่งของเขา
ในความคิดของเขา มันคงจะดีหากทั้งคู่ได้เป็นอมตะ และครองคู่กันตลอดไป ผ่านการทำความเข้าใจไข่มุกแห่งการจุตินี้
แต่น่าเสียดายที่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ
เพราะสิ่งล่อลวงจากคำที่บอกว่า "ชีวิตอมตะ" ทำให้ความรักกลับกลายมาเป็นยาพิษ
ด้วยเหตุนี้นางฟ้าเพียวเมี่ยวไม่ได้เลือกที่จะแบ่งปันความลับของชีวิตอมะกับฉินเฟิง นางตัดสินใจเก็บมันไว้เองแต่เพียงผู้เดียว
นางรู้ดีว่าฉินเฟิงนั้นแข็งแกร่ง และอยู่ยงคงกระพัน นางฟ้าเพียวเมี่ยวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแอบวางยาพิษ
เพื่อความรัดกุม นางยังได้เชิญ เทพเจ้าแห่งความตาย นรกภูมิ และธารสีเหลืองใต้พิภพ สามจักรพรรดิเซียนนักฆ่ามาเพื่อลงมือ
ผลก็คือ ฉินเฟิงถูกวางยาพิษ และยังต้องต่อสู้กับสามจักรพรรดิเซียนนักฆ่าเพียงลำพัง
ในท้ายที่สุด พลังอันไร้เทียมทานของฉินเฟิงก็ทำให้สามจักรพรรดิเซียนนักฆ่าล้มลงไปทีละคน
แต่พลังในตัวฉินเฟิงเองก็ถึงขีดจำกัดแล้ว วิญญาณในร่างกำลังกระจัดกระจาย ชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย
เมื่อนางฟ้าเพียวเมี่ยวเห็นเช่นนี้ ก็โจมตีฉินเฟิงที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้
เขาเห็นรอยยิ้มโหดเหี้ยมภายใต้ใบหน้างดงามของนางฟ้าเพียวเมี่ยว ฉินเฟิงโกรธมากจนเขาเลือกที่จะทำลายวิญญาณของตนเพื่อที่จะทำให้นางฟ้าเพียวเมี่ยวพินาศไปด้วยกัน
……
ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ แรงอาฆาตแค้นที่เผยในดวงตาของฉินเฟิงก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
ฉินเฟิงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ จากนั้นก็พบว่าพลังเวทย์อันแข็งแกร่งของเขาได้หายไปหมดสิ้นแล้ว
แม้แต่จิตสำนึกอันศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังอย่างยิ่ง ที่สามารถตรวจจับได้ทุกสิ่งอย่างก็ไม่หลงเหลือแล้ว
“ฝันไปงั้นหรอ?”
ฉินเฟิงครุ่นคิดและขมวดคิ้วอีกครั้ง
หากนี้เป็นเพียงความฝัน ทำไมความทรงจำนับพันปีมันช่างชัดเจน ชัดเจนราวกับว่ามันพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ในขณะที่ฉินเฟิงกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นก็มีบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นภายในใจของเขา สิ่งนั้นคือไข่มุกแห่งการจุติ
“ไม่...นี่ไม่ใช่ความฝัน มันเป็นเรื่องจริง!”
ในขณะนี้จิตสำนึกของเขาสามารถ "มองเห็น" ไข่มุกแห่งการจุติได้ชัดเจนมาก
ซึ่งหมายความว่าความทรงจำนับพันปีของเขาไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นชาติที่แล้วของเขาจริงๆ
ไม่ทันให้ฉินเฟิงคิดไตร่ตรองต่อ รถไฟก็ได้มาถึงสถานีเสียแล้ว
เขาหลุดจากภวัง และลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากรถไฟ
ฉินเฟิงยืนอยู่บนทางเดินมองดูผู้คนเดินสวนไปมาอย่างหนาแน่น ไม่เห็นแม้แต่รอยยิ้ม มีเพียงแค่ความเร่งรีบ ดวงตาของฉินเฟิงค่อยๆเบิกกว้าง เป็นประกายราวกับว่ามีแสงแฟลชจากกล้องสาดเข้ามา!
“ในเมื่อพระเจ้าอนุญาตให้ฉัน ฉินจิ่วเฉิน ได้กลับมาเกิดใหม่ ฉันจะทดแทนอย่างงาม”
“ผู้มีพระคุณ จะได้รับการตอบแทนเป็นร้อยเท่า
ส่วนใครที่เป็นศัตรูจะต้องทนทุกข์ทรมานสามชั่วโครต "
สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา แม้จะผ่านมาหลายพันปีแล้ว แต่ในความทรงจำของเขายังคงชัดเจน หาได้ลืมเลือน
“แม่ พ่อ น้องสาว น้องชาย และเสี่ยวจิง ฉันกลับมาแล้ว...”
“ใช่แล้ว ยังมีศัตรูของฉันอีก ฉัน ฉินจิ่วเฉิน กลับมาแล้ว…”
เขาเงยหน้าขึ้นและมองตรงไปข้างหน้า ดวงตาของเขาแน่วแน่ฉายแววเป็นประกาย
......
ฉินเฟิงเกิดในครอบครัวธรรมดาในเเถบชนบท บรรพบุรุษของเขาเป็นชาวนามาชั่วสามอายุคน
โชคดีที่ฉินเฟิงนั้นขยันเรียนและหัวดี ในช่วงที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยจงไห่ได้สำเร็จ
ถือว่าทำให้พ่อแม่โล่งใจไปได้หนึ่งเปราะ
ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ฉินเฟิงได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง และผู้หญิงคนนี้เป็นรักแรกของเขา ชื่อของเธอก็คือ โอวหยางจิง
น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองยังไม่ทันได้พัฒนาไปไหน ก็ถูกครอบครัวของโอวหยางจิงบังคับให้แยกทาง
และหนึ่งในผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องคือคนที่ตามจีบโอวหยางจิง หวังเสวี่ยปินนั้นเอง
“หวังเสวี่ยปิน ถ้าฉันจำไม่ผิด ผู้ชายคนนี้น่าจะกำลังเรียนอยู่ในชั้นปีที่สาม และดูเหมือนว่าตระกูลหวังจะร่ำรวยที่สุดในจงไห่”
เมื่อนึกถึงเรื่องราวของโอวหยางจิง ฉินเฟิงก็นึกถึง “มารหัวใจ” ของเขาโดยธรรมชาติ
หวังเสวี่ยปินเป็นลูกชายของชายที่ร่ำรวยที่สุดในจงไห่ ตระกูลของเขาทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ การจัดเลี้ยง และความบันเทิง
แม้แต่ผู้ว่ามณฑลก็ยังต้องเกรงกลัวอำนาจของตระกูลหวัง
ในช่วงชีวิตนั้น หวังเสวี่ยปินเห็นว่าฉินเฟิงและโอวหยางจิงสนิทสนมเกินเพื่อน เขาจึงได้นำเรื่องราวทั้งหมดไปเปิดเผยต่อครอบครัวของโอวหยางจิง
เพียงประโยคๆเดียว ก็ทำให้ฉินเฟิงทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายทั้งสองก็ต้องตัดความสัมพันธ์และแยกทางกันไป
ในช่วงเวลานั้น ฉินเฟิงไม่มีอะไรที่สามารถเทียบกับหวังเสวี่ยปินได้เลย
และตัวหวังเสวี่ยปินก็ไม่เคยหวังดีกับฉินเฟิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ในด้านของฉินเฟิง เขาไม่มีความสามารถและคุณสมบัติใดๆที่พอจะไปเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
ส่วนโอวหยางจิงนั้นมีความรักที่มั่นคงและซื่อตรงต่อฉินเฟิงอย่างสุดหัวใจ แม้ว่าเธอจะต้องแยกทางกับฉินเฟิงเพราะแรงกดดันจากครอบครัว เเต่เธอก็ไม่เคยชายตาแลมองหวังเสวี่ยปินเลยสักครั้ง
ทุกครั้งที่โอวหยางจิงพูดออกไปต่อหน้าหวังเสวี่ยปินว่าเธอรักฉินเฟิงเพียงคนเดียว หวังเสวี่ยปินก็ไม่สามารถระงับความโกรธภายในใจของเขาได้
และความโกรธเหล่านั้นจะถูกนำไปลงกับฉินเฟิง
ซึ่งมันทำให้ชีวิตของฉินเฟิงในรั่วมหาวิทยาลัยนั้นน่าอัปยศอดสูเป็นที่สุด
ใครก็ตามที่เข้าใกล้ฉินเฟิง ทุกคนจะได้รับคำเตือนจากหวังเสวี่ยปิน
หากบอกว่าฉินเฟิงเป็นตัวแพร่เชื้อโรค ก็ดูไม่เกินจริง เพราะไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้าใกล้เขาแม้แต่ก้าวเดียว
หลังจากจบการศึกษา ชีวิตในวัยทำงานที่เต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรคนั้น หวังเสวี่ยปินก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
ครั้งหนึ่ง พ่อแม่ของฉินเฟิงได้ใช้เงินเก็บจากการทำงานมาอย่างหนักเพื่อเปิดร้านค้าเล็กๆ แต่หลังจากนั้นไม่นาน มันก็ค่อยๆพังทลายลงโดยไม่รู้สาเหตุ
เมื่อเห็นว่าการทำงานหนักของพวกเขาสูญเปล่า พ่อแม่ของฉินเฟิงก็ล้มป่วยลง
ในภายหลัง หวังเสวี่ยปินได้บอกทุกอย่างกับฉินเฟิง จนเขาเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา คือเขาต้องการให้ฉินเฟิงเสียใจที่ต่อต้านเขา
ภายใต้น้ำมือของหวังเสวี่ยปิน ความรักและการงานของฉินเฟิงต้องพังทลาย เขาจบชีวิตในวัยเพียง 28 ปี
ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ไม่ทราบสาเหตุ หากเขาไม่ได้ไปยังพิภพเซียน เขาก็คงตายอยู่ในทะเลไปแล้ว
ณ บัดนี้ เขามีชีวิตอยู่มานับพันปี สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
หากมองย้อนกลับไป อุบัติเหตุทางรถยนต์ในครั้งนั้น คงไม่ได้เป็นเพียงอุบัติเหตุ
……
ยิ่งนึกถึงเรื่องพวกนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ดวงตาของฉินเฟิงก็ยิ่งเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
“ หวังเสวี่ยปิน ตระกูลหวัง ฉัน ฉินจิ่วเฉิน ได้มาเกิดใหม่แล้ว!
ในชีวิตนี้ ฉันจะตอบแทนบุญคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไว้กับฉันเป็นสองเท่า ฉันจะทำให้แกต้องทนทุกข์ทรมาน ฉันจะทำให้แกต้องตกนรกทั้งเป็น! "
ในชีวิตนั้น เขาต้องใช้ชีวิตอย่างยากจนมานานกว่ายี่สิบปี และต้องทนทุกข์กับความอัปยศอดสูและการเย้ยหยันมานับไม่ถ้วน
ช่วงพันปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะเป็นอมตะ และสามารถเอาชนะใครต่อใครได้ แต่สุดท้าย เขากลับถูกคนที่เขารักทรยศ จนสุดท้ายเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า
ในชีวิตนี้ เขาได้เกิดใหม่พร้อมกับความทรงจำนับพันปีในการเป็นเซียน เขาจะทำตามหัวใจของเขา จะไม่ให้ใครหน้าไหนมาควบคุมอีกต่อ และจะชดเชยให้ความอัปยศในชีวิตที่แล้วของเขาทั้งหมด!
--
ขณะเดียวกันเสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้นในโสตประสาท:
"เรียนท่านผู้โดยสารโปรดทราบ รถไฟขบวนนี้กำลังจะถึงสถานีจงไห่ ผู้โดยสารที่จะลงสถานีจงไห่ โปรดเตรียมตัวด้วยความระมัดระวัง"
เมื่อเสียงสิ้นสุดลง ฉินเฟิงรวบรวมสติ เบิกตากว้างโดยสัญชาตญาณและวางมือไว้ที่หน้าตักของตน
แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น มองดูภาพเหตุการณ์รอบๆตัว ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้เขาสับสนในทันที
เขาขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ และครุ่นคิดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ภาพตรงหน้าทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก
ในตอนนี้
ไม่มีใครรับรู้ถึงความสับสนภายในใจของเขาได้
เขามองไปรอบๆ ก็มีเพียงผู้คนที่แออัดอยู่ภายในตู้โดยสาร
“รถไฟขบวนนี้คือขบวนที่ฉันนั่งไปมหาวิทยาลัยจงไห่ในปี 2010 งั้นหรอ?”
“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย?”
“ไม่ใช่ว่าฉันตายไปพร้อมกับสามจักรพรรดิเซียนนักฆ่า และนังสารเลวนั้นแล้วหรอกหรอ?”
"ฉัน ฉันจะกลับมาอยู่บนรถไฟในปี 2010ได้ยังไงกัน!"
“หรือว่า... หรือว่าฉันตายแล้วเกิดใหม่ได้?”
ความคิดประหลาดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของฉินเฟิงอย่างรวดเร็ว
หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ในตาคู่นั้นก็ฉายแววประหลาดใจออกมาอย่างไม่สามารถปิดกั้นได้
“ฉันไม่ได้ตายจริงๆ ฉันกลับมาเกิดใหม่ในโลก ในปี 2010”
……
ฉินเฟิง หรืออีกชื่อที่รู้จักในนาม จิ่วเฉิน
ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาเป็นปรมาจาร์ยเซียนอันดับหนึ่งของสำนักเซียวเหยา จนได้รับการขนานนามว่า: จักรพรรดิเซียนจิ่วเฉิน!
ชาติก่อน เมื่ออายุได้ 28 ปี เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทั้งรถและคนพุ่งลงไปในทะเล
แต่โดยความบังเอิญ เขาหลุดออกจากโลก และมายังสถานที่ที่เรียกว่า ดินแดนดาราเหิงเทียน ซึ่งที่แห่งนี้เป็นเส้นทางที่เขาได้เริ่มต้นการเป็นเซียน
เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษของเขา เขาจึงได้รับการยอมรับให้เป็นลูกศิษย์ส่วนตัวของท่านเซียนเซียวเหยา ผู้เป็นประมุขของสำนักเซียวเหยา และได้รับฉายาว่า: จิ่วเฉิน
พรสวรรค์ที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้ของเขา ผนวกกับความสมบูรณ์ของสำนักเซียวเหยา และความขยันหมั่นเพียรของเขา ทำให้เขาสามารถผ่านช่วงเวลาบำเพ็ญเพียรได้ภายในหนึ่งพันปี จนบรรลุเป็น "จักรพรรดิเซียน"
แน่นอนว่าชื่อ "จักรพรรดิเซียน" ได้มาเพราะไม่มีใครในพิภพเซียน ได้ขึ้นไปสู่ความเป็นเซียนที่แท้จริงมานับแสนปี และจะมอบมันให้แก่ผู้ที่บำเพ็ญเพียรฝึกฝนเป็นเซียนเท่านั้น
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มันก็ดูไม่ต่างจากการ "เยินยอ" สักเท่าไหร่
ช่วงเวลาที่บำเพ็ญเพียรของฉินเฟิงนั่น ไม่ได้ยาวนานนัก และสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในพิภพเซียนนี้มาหลายร้อยปีแล้ว
นอกจากนี้ พลังการต่อสู้ของฉินเฟิงนั้นไร้เทียมทาน เขาเป็นอมตะ ตัวเขาได้ต่อสู้กับปรมาจารย์จากทุกเผ่าในดินแดนดาราเหิงเทียน และไม่เคยพ่ายแพ้ใครมาก่อน
เรื่องราวที่เกิดขึ้นเหล่านี้ทำให้ชื่อ "จิ่วเฉิน หรือจักรพรรดิเซียนจิ่วเฉิน" ดังกึกก้องไปทั่วพิภพเซียน
แต่ถึงกระนั้น คนที่มีความสามารถเช่นนี้ ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับการทรยศหักหลัง
โดยเฉพาะจากคนที่รักและไว้วางใจมากที่สุด
สาเหตุทั้งหมด มันมาจากการที่ฉินเฟิงได้รับสมบัติหายากอย่างไข่มุกแห่งการจุติ ในระหว่างการเดินทางสำรวจของเขา
ว่ากันว่าใครก็ตามที่สามารถเข้าใจความลับของไข่มุกแห่งการจุติ ก็จะสามารถบรรลุการเป็นเซียน และมีชีวิตที่เป็นอมตะ
ฉินเฟิงได้แบ่งปันความลับนี้ให้แก่นางฟ้าเพียวเมี่ยว ผู้เป็นที่รักยิ่งของเขา
ในความคิดของเขา มันคงจะดีหากทั้งคู่ได้เป็นอมตะ และครองคู่กันตลอดไป ผ่านการทำความเข้าใจไข่มุกแห่งการจุตินี้
แต่น่าเสียดายที่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ
เพราะสิ่งล่อลวงจากคำที่บอกว่า "ชีวิตอมตะ" ทำให้ความรักกลับกลายมาเป็นยาพิษ
ด้วยเหตุนี้นางฟ้าเพียวเมี่ยวไม่ได้เลือกที่จะแบ่งปันความลับของชีวิตอมะกับฉินเฟิง นางตัดสินใจเก็บมันไว้เองแต่เพียงผู้เดียว
นางรู้ดีว่าฉินเฟิงนั้นแข็งแกร่ง และอยู่ยงคงกระพัน นางฟ้าเพียวเมี่ยวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแอบวางยาพิษ
เพื่อความรัดกุม นางยังได้เชิญ เทพเจ้าแห่งความตาย นรกภูมิ และธารสีเหลืองใต้พิภพ สามจักรพรรดิเซียนนักฆ่ามาเพื่อลงมือ
ผลก็คือ ฉินเฟิงถูกวางยาพิษ และยังต้องต่อสู้กับสามจักรพรรดิเซียนนักฆ่าเพียงลำพัง
ในท้ายที่สุด พลังอันไร้เทียมทานของฉินเฟิงก็ทำให้สามจักรพรรดิเซียนนักฆ่าล้มลงไปทีละคน
แต่พลังในตัวฉินเฟิงเองก็ถึงขีดจำกัดแล้ว วิญญาณในร่างกำลังกระจัดกระจาย ชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย
เมื่อนางฟ้าเพียวเมี่ยวเห็นเช่นนี้ ก็โจมตีฉินเฟิงที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้
เขาเห็นรอยยิ้มโหดเหี้ยมภายใต้ใบหน้างดงามของนางฟ้าเพียวเมี่ยว ฉินเฟิงโกรธมากจนเขาเลือกที่จะทำลายวิญญาณของตนเพื่อที่จะทำให้นางฟ้าเพียวเมี่ยวพินาศไปด้วยกัน
……
ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ แรงอาฆาตแค้นที่เผยในดวงตาของฉินเฟิงก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
ฉินเฟิงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ จากนั้นก็พบว่าพลังเวทย์อันแข็งแกร่งของเขาได้หายไปหมดสิ้นแล้ว
แม้แต่จิตสำนึกอันศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังอย่างยิ่ง ที่สามารถตรวจจับได้ทุกสิ่งอย่างก็ไม่หลงเหลือแล้ว
“ฝันไปงั้นหรอ?”
ฉินเฟิงครุ่นคิดและขมวดคิ้วอีกครั้ง
หากนี้เป็นเพียงความฝัน ทำไมความทรงจำนับพันปีมันช่างชัดเจน ชัดเจนราวกับว่ามันพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ในขณะที่ฉินเฟิงกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นก็มีบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นภายในใจของเขา สิ่งนั้นคือไข่มุกแห่งการจุติ
“ไม่...นี่ไม่ใช่ความฝัน มันเป็นเรื่องจริง!”
ในขณะนี้จิตสำนึกของเขาสามารถ "มองเห็น" ไข่มุกแห่งการจุติได้ชัดเจนมาก
ซึ่งหมายความว่าความทรงจำนับพันปีของเขาไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นชาติที่แล้วของเขาจริงๆ
ไม่ทันให้ฉินเฟิงคิดไตร่ตรองต่อ รถไฟก็ได้มาถึงสถานีเสียแล้ว
เขาหลุดจากภวัง และลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากรถไฟ
ฉินเฟิงยืนอยู่บนทางเดินมองดูผู้คนเดินสวนไปมาอย่างหนาแน่น ไม่เห็นแม้แต่รอยยิ้ม มีเพียงแค่ความเร่งรีบ ดวงตาของฉินเฟิงค่อยๆเบิกกว้าง เป็นประกายราวกับว่ามีแสงแฟลชจากกล้องสาดเข้ามา!
“ในเมื่อพระเจ้าอนุญาตให้ฉัน ฉินจิ่วเฉิน ได้กลับมาเกิดใหม่ ฉันจะทดแทนอย่างงาม”
“ผู้มีพระคุณ จะได้รับการตอบแทนเป็นร้อยเท่า
ส่วนใครที่เป็นศัตรูจะต้องทนทุกข์ทรมานสามชั่วโครต "
สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา แม้จะผ่านมาหลายพันปีแล้ว แต่ในความทรงจำของเขายังคงชัดเจน หาได้ลืมเลือน
“แม่ พ่อ น้องสาว น้องชาย และเสี่ยวจิง ฉันกลับมาแล้ว...”
“ใช่แล้ว ยังมีศัตรูของฉันอีก ฉัน ฉินจิ่วเฉิน กลับมาแล้ว…”
เขาเงยหน้าขึ้นและมองตรงไปข้างหน้า ดวงตาของเขาแน่วแน่ฉายแววเป็นประกาย
......
ฉินเฟิงเกิดในครอบครัวธรรมดาในเเถบชนบท บรรพบุรุษของเขาเป็นชาวนามาชั่วสามอายุคน
โชคดีที่ฉินเฟิงนั้นขยันเรียนและหัวดี ในช่วงที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยจงไห่ได้สำเร็จ
ถือว่าทำให้พ่อแม่โล่งใจไปได้หนึ่งเปราะ
ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ฉินเฟิงได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง และผู้หญิงคนนี้เป็นรักแรกของเขา ชื่อของเธอก็คือ โอวหยางจิง
น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองยังไม่ทันได้พัฒนาไปไหน ก็ถูกครอบครัวของโอวหยางจิงบังคับให้แยกทาง
และหนึ่งในผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องคือคนที่ตามจีบโอวหยางจิง หวังเสวี่ยปินนั้นเอง
“หวังเสวี่ยปิน ถ้าฉันจำไม่ผิด ผู้ชายคนนี้น่าจะกำลังเรียนอยู่ในชั้นปีที่สาม และดูเหมือนว่าตระกูลหวังจะร่ำรวยที่สุดในจงไห่”
เมื่อนึกถึงเรื่องราวของโอวหยางจิง ฉินเฟิงก็นึกถึง “มารหัวใจ” ของเขาโดยธรรมชาติ
หวังเสวี่ยปินเป็นลูกชายของชายที่ร่ำรวยที่สุดในจงไห่ ตระกูลของเขาทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ การจัดเลี้ยง และความบันเทิง
แม้แต่ผู้ว่ามณฑลก็ยังต้องเกรงกลัวอำนาจของตระกูลหวัง
ในช่วงชีวิตนั้น หวังเสวี่ยปินเห็นว่าฉินเฟิงและโอวหยางจิงสนิทสนมเกินเพื่อน เขาจึงได้นำเรื่องราวทั้งหมดไปเปิดเผยต่อครอบครัวของโอวหยางจิง
เพียงประโยคๆเดียว ก็ทำให้ฉินเฟิงทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายทั้งสองก็ต้องตัดความสัมพันธ์และแยกทางกันไป
ในช่วงเวลานั้น ฉินเฟิงไม่มีอะไรที่สามารถเทียบกับหวังเสวี่ยปินได้เลย
และตัวหวังเสวี่ยปินก็ไม่เคยหวังดีกับฉินเฟิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ในด้านของฉินเฟิง เขาไม่มีความสามารถและคุณสมบัติใดๆที่พอจะไปเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
ส่วนโอวหยางจิงนั้นมีความรักที่มั่นคงและซื่อตรงต่อฉินเฟิงอย่างสุดหัวใจ แม้ว่าเธอจะต้องแยกทางกับฉินเฟิงเพราะแรงกดดันจากครอบครัว เเต่เธอก็ไม่เคยชายตาแลมองหวังเสวี่ยปินเลยสักครั้ง
ทุกครั้งที่โอวหยางจิงพูดออกไปต่อหน้าหวังเสวี่ยปินว่าเธอรักฉินเฟิงเพียงคนเดียว หวังเสวี่ยปินก็ไม่สามารถระงับความโกรธภายในใจของเขาได้
และความโกรธเหล่านั้นจะถูกนำไปลงกับฉินเฟิง
ซึ่งมันทำให้ชีวิตของฉินเฟิงในรั่วมหาวิทยาลัยนั้นน่าอัปยศอดสูเป็นที่สุด
ใครก็ตามที่เข้าใกล้ฉินเฟิง ทุกคนจะได้รับคำเตือนจากหวังเสวี่ยปิน
หากบอกว่าฉินเฟิงเป็นตัวแพร่เชื้อโรค ก็ดูไม่เกินจริง เพราะไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้าใกล้เขาแม้แต่ก้าวเดียว
หลังจากจบการศึกษา ชีวิตในวัยทำงานที่เต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรคนั้น หวังเสวี่ยปินก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
ครั้งหนึ่ง พ่อแม่ของฉินเฟิงได้ใช้เงินเก็บจากการทำงานมาอย่างหนักเพื่อเปิดร้านค้าเล็กๆ แต่หลังจากนั้นไม่นาน มันก็ค่อยๆพังทลายลงโดยไม่รู้สาเหตุ
เมื่อเห็นว่าการทำงานหนักของพวกเขาสูญเปล่า พ่อแม่ของฉินเฟิงก็ล้มป่วยลง
ในภายหลัง หวังเสวี่ยปินได้บอกทุกอย่างกับฉินเฟิง จนเขาเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา คือเขาต้องการให้ฉินเฟิงเสียใจที่ต่อต้านเขา
ภายใต้น้ำมือของหวังเสวี่ยปิน ความรักและการงานของฉินเฟิงต้องพังทลาย เขาจบชีวิตในวัยเพียง 28 ปี
ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ไม่ทราบสาเหตุ หากเขาไม่ได้ไปยังพิภพเซียน เขาก็คงตายอยู่ในทะเลไปแล้ว
ณ บัดนี้ เขามีชีวิตอยู่มานับพันปี สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
หากมองย้อนกลับไป อุบัติเหตุทางรถยนต์ในครั้งนั้น คงไม่ได้เป็นเพียงอุบัติเหตุ
……
ยิ่งนึกถึงเรื่องพวกนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ดวงตาของฉินเฟิงก็ยิ่งเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
“ หวังเสวี่ยปิน ตระกูลหวัง ฉัน ฉินจิ่วเฉิน ได้มาเกิดใหม่แล้ว!
ในชีวิตนี้ ฉันจะตอบแทนบุญคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไว้กับฉันเป็นสองเท่า ฉันจะทำให้แกต้องทนทุกข์ทรมาน ฉันจะทำให้แกต้องตกนรกทั้งเป็น! "
ในชีวิตนั้น เขาต้องใช้ชีวิตอย่างยากจนมานานกว่ายี่สิบปี และต้องทนทุกข์กับความอัปยศอดสูและการเย้ยหยันมานับไม่ถ้วน
ช่วงพันปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะเป็นอมตะ และสามารถเอาชนะใครต่อใครได้ แต่สุดท้าย เขากลับถูกคนที่เขารักทรยศ จนสุดท้ายเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า
ในชีวิตนี้ เขาได้เกิดใหม่พร้อมกับความทรงจำนับพันปีในการเป็นเซียน เขาจะทำตามหัวใจของเขา จะไม่ให้ใครหน้าไหนมาควบคุมอีกต่อ และจะชดเชยให้ความอัปยศในชีวิตที่แล้วของเขาทั้งหมด!
--
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved