บทที่ 10 เดินทางกลับ ออกมาเพื่อเช่าบ้าน

หลังจากเสร็จสิ้นการเจรจาซื้อขาย ทั้งสองฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ

ดังนั้นทั้งสี่จึงออกไปพร้อมกัน

“คุณฉิน ฉันสงสัยว่าคุณทำงานที่ไหน” โม่เฉิงเฉิงถามออกไปอย่างไม่มั่นใจ

“ผมเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยจงไห่”

คำถามพวกนี้ ฉินเฟิงไม่จำเป็นที่จะต้องปกปิด เขาจึงตอบตามความจริงออกไป

แม้ว่าโม่เฉิงเฉิงจะแปลกใจที่ได้ยินว่าฉินเฟิงยังเป็นนักศึกษา แต่ก็ไม่ได้แปลกใจมากนัก

ถ้าเทียบกับที่เขาเป็นจอมยุทธกำลังภายในขั้นสุดท้ายยังน่าตกใจยิ่งกว่า


หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายออกจากภูเขาตงจิ่ง พวกเขาก็แยกทางกัน

ตัวเหอจงได้รับบาดเจ็บจากหมัดของฉินเฟิง และจำเป็นจะต้องได้รับการรักษาทันที

ในส่วนของค่ารักษาพยาบาล โม่เฉิงเฉิงจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านั้น

และแน่นอนว่าหลังจากที่พวกเขาแยกกัน เมื่อโม่เฉิงเฉิงถึงบ้าน เธอก็โอนเงินให้ฉินเฟิงอีกสองล้าน ตามที่เธอสัญญาไว้

ฉินเฟิงนึกไม่ถึงว่าโม่เฉิงเฉิงจะให้ความสำคัญกับคำพูดถึงเพียงนี้

ในใจของเขา จะสามล้านหรือห้าล้าน มันก็เป็นเพียงตัวเลขไม่ได้มีความแตกต่างสักเท่าไหร่

แต่ถ้าโม่เฉิงเฉิงไม่ให้ ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปทันที

ใครก็ตามที่กล้าหลอกลวง ฉินเฟิงจะไม่มีวันให้อภัย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากประสบกับการทรยศจากคนที่รักและไว้ใจ เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามภายในใจเขาไปแล้ว



หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายแยกทางกัน โม่ชิงเฉินก็มองไปที่พี่สาวของเขาแล้วถามว่า:

“ พี่สาว พี่จะให้เงินอีกสองล้านจริงๆหรอ?”

“ใช่ ก็ต้องให้สิ” โม่เฉิงเฉิงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

เมื่อโม่ชิงเฉินได้ยินดังนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่พูดขึ้นอย่างกังวลใจ:

“แต่…ผู้ชายคนนั้นดูก็รู้ว่ากำลังหลอกเราอยู่

กะอีเเค่ของไร้ประโยชน์ ต้องจ่ายตั้งห้าล้าน

แบบนี้ก็ไม่ต่างจากเนื้อเข้าปากเสือ!

พี่สาวให้เขาไปตั้งสามล้านแล้ว มันก็น่าจะเพียงพอ

อีกสองล้าน เป็นแค่คำพูดปากเปล่า หลักฐานอะไรก็ไม่มี พี่ก็ไม่น่าให้ไป

ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลโม่ของเราก็มีทั้งอำนาจและพลัง เขาไม่กล้ามาต่อกรกับเราหรอก"

เมื่อได้ยินคำพูดของโม่ชิงเฉิน โม่เฉิงเฉิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว:

“ชิงเฉิน พูดอะไรออกมาระวังปากด้วยนะ แกนี้มันเป็นคนแบบไหนกัน

แกเองก้ต้องหัดเรียนรู้ไว้บ้างนะ ว่าบนใบโลกนี้ยังมีคนที่แกไม่ควรไปทำให้ขุ่นเครือง

และคุณฉินก็เป็นคนประเภทนั้น ตั้งแต่เกิดมาฉันเองยังไม่เคยเจอใครที่เป็นแบบเขาเลย”

ขณะเดียวกัน เหอจงก็พูดขึ้นมาอย่างช้าๆ:

“สิ่งที่คุณหนูพูดเป็นความจริงทุกประการ ทางที่ดี อย่าไปยั่วยุคนอย่างเขาเลย

ฉินเฟิงเป็นคนที่แข็งแกร่ง และยังเป็นถึงจอมยุทธกำลังภายในขั้นสุดท้ายอีกด้วย

อีกอย่างเขายังหนุ่มยังแน่น ยังมีโอกาสอีกมากมายที่เขาจะสามารถผ่านขั้นสมบูรณ์และเปลี่ยนไปเป็นปรมาจารณ์ได้ในอนาคต

หากทำให้เขาขุ่นเคือง เราเองก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้

ดังนั้นเมื่อเทียบกับเงินสองล้าน ถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ "

“ใช่ อาจงยังมองออกเลย” โม่เฉิงเฉิงพยักหน้า

เมื่อได้ยินสิ่งที่ทั้งสองพูด โม่ชิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถอนหายใจ:

“พี่ ถ้าพี่ให้เงินเขาไปอีกสองล้าน ตอนนี้พี่ก็ไม่เหลือเงินเลยนะ

พี่ก็รู้ว่าตั้งแต่ปู่อาการโคม่า อารองกับครอบครัวเขาก็ถือโอกาสควบคุมการเงิน

เงินสามล้านที่พี่ให้เขาไป นั้นก็เป็นเงินเก็บของเราทั้งหมดที่มี

อดีตที่มีเงินล้นฟ้า แต่ดูตอนนี้สิ กระเป๋าตังค์ยังสะอาดกว่าหน้าผมอีก

สถานะการณ์แบบนี้ เงินสองล้านเอาไปใช้ประโยชน์อะไรอื่นได้อีกตั้งเยอะแยะ ไม่ใช่หรอ? "

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของโม่เฉิงเฉิงก็กระพริบถี่ๆ เพื่อห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างช้าๆ

"ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ เราจะต้องวางแผนอย่างรอบคอบ..."



ในอีกด้านหนึ่ง ฉินเฟิงรีบวิ่งกลับไปที่มหาวิทยาลัยจงไห่

แต่เขาไม่ได้วิ่งเข้ามหาวิทยาลัยแต่อย่างไร

ฉินเฟิงรู้ดีว่ามันไม่สะดวกหากเขาอาศัยอยู่หอในของมหาวิทยาลัย

เพราะเขามักจะออกไปฝึกตนในตอนกลางคืน และไม่ได้กลับเข้าหอนอน

พฤติกรรมดังกล่าวมันค่อนข้างแปลก

อีกอย่าง ถ้าเขายังอยู่ที่หอใน เขาจะไม่มีพื้นที่ส่วนตัวในการทำยาอายุวัฒนะเพื่อเพิ่มพลังของตนเองได้

เพราะตอนนี้ในมือของเขามีเมล็ดหญ้าเมฆาม่วงอยู่ในมือ

เขาจำเป็นต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมแก่การปลูก และปลูกมันอย่างระมัดระวัง

ยิ่งเป็นสถานที่ที่คนพลุกพล่านน้อยมากเท่าไหร่ยิ่งดีมากเท่านั้น

และสิ่งนี้เองทำให้ไม่สามารถปลูกมันได้ในเขตหอพักของมหาวิทยาลัย

คำถามมากมายผุดขึ้นอยู่ภายในใจของฉินเฟิงนับไม่ถ้วน

ส่วนวิธีแก้ปัญหาเขาเองก็มีอยู่ในใจแล้วเช่นกัน

ที่จริงวิธีแก้ปัญหานั้นก็ง่ายมาก

ก็แค่หาที่อยู่ใหม่นอกมหาวิทยาลัย

ตอนนี้เขามีเงินในกระเป๋าอยู่สามล้าน ซึ่งนั้นหมายถึงการซื้อที่อยู่อาศัยที่ไม่แพงเกินไปนัก

และแน่นอนว่าฉินเฟิงได้เลือกสถานที่ที่จะอยู่แล้วด้วย เขาจะไม่พิจารณาที่อยู่ว่าหรูหราพอหรือไม่ แต่เขาจะพิจารณาจากความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณว่ามีสูงมากเท่าไหร่

หลังจากการสังเกตของเขา พบว่าความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณทางด้านตะวันออกของมหาวิทยาลัยใกล้กับภูเขาตงจิ่งนั้นสูงกว่าอีกสามทิศที่เหลือ

อันที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ด้านหลังภูเขาตงจิ่งที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตานั้น

คงมีผู้คนอาศัยอยู่ทั่วทั้งสามทิศ แต่ทิศตะวันตกนั้นเป็นเมืองหลัก

ด้วยเหตุนี้ ฉินเฟิงจึงเลือกสถานที่ที่ใกล้กับภูเขา สถานที่ที่เป็นธรรมชาติร่มรื่น

เนื่องจากสถานที่ใกล้ภูเขาตงจิ่งนั้นห่างไกลจากเมืองหลัก สภาพก็จะค่อนข้างทรุดโทรม

แม้แต่ร้านค้าขายของต่างๆ และถนนหลักรอบๆ มหาวิทยาลัยยังอยู่ทางทิศตะวันตกของมหาวิทยาลัย

ทางฝั่งตะวันออกของมหาวิทยาลัยนั้นจึงดูรกร้าง

และด้วยสภาพแวดล้อมแบบนั้น ที่พักในสถานที่แบบนั้นก็จะราคาถูกกว่าที่อื่นๆ

ในเวลานี้ ฉินเฟิงกำลังเดินอยู่ที่ตีนเขา ค่อยๆพิจารณาบ้านที่ตีนเขาของภูเขาตงจิ่งอย่างช้าๆ

เขาต้องการรู้ว่าบ้านใดในระแวงนี้ให้เช่าหรือว่าขายบ้าง

และในที่สุดเขาก็ไปพบเข้ากับบ้านสไตล์ตะวันตกหลังหนึ่ง

มีทั้งคารสองชั้นและบ้านชั้นเดียวอยู่ที่ด้านข้าง

บ้านทั้งสองหลังล้อมรอบด้วยกำแพง และมีลานแยกต่างหากซึ่งดูสะอาดสะอ้าน

บ้านโดยรวมดูแปลกตามาก มองไปก็รู้ว่าบ้านหลังนี้มีอายุมากแล้วทีเดียว

ที่นี่เป็นที่ที่ฉินเฟิงเห็นการประกาศให้เช่า

สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือบ้านหลังนี้มีพลังจางๆ อยู่รอบบ้าน

ความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณที่นี่สูงกว่าบ้านหลังอื่นที่อยู่รอบๆ

เมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาจึงตัดสินใจจะเช่าบ้านหลังนี้ โดยที่ไม่เข้าไปสำรวจก่อน ไม่ใช่เพราะสิ่งอื่นใด เพียงเพราะพลังทางจิตวิญญาณที่นี้นั้นสูงที่สุด

แต่คงดีกว่านี้ถ้าเจ้าของบ้านขายบ้านหลังนี้

เพราะการปลูกหญ้าเมฆาม่วงไม่ได้ใช้เวลาเพียงแค่คืนเดียว

ไม่รอช้า ฉินเฟิงเดินเข้าไปเคาะประตูลานหน้าบ้าน

"คุณมาหาใครหรือคะ?"

หลังจากนั้นไม่นาน ประตูลานบ้านก็เปิดออก และคนที่พูดขึ้นนั้นเป็นหญิสูงวัยที่มองดูแล้วน่าจะอายุห้าสิบปลายๆหรือประมาณหกสิบต้นๆ

ฉินเฟิงเพียงส่งรอยยิ้มอ่อนโยนตอบกลับไป มองไปที่คุณป้าคนนั้นและพูดออกมาว่า:

“คุณป้าครับ ผมเห็นประกาศเช่าบ้านติดอยู่ที่ด้านนอก เลยอยากมาสอบถามว่าบ้านหลังนี้ยังว่างอยู่หรือเปล่า?”

หลังจากได้ยินคำพูดของฉินเฟิง หญิงสูงวัยก็เข้าใจทันทีว่าเขามาที่นี่เพื่อเช่าบ้าน

ดังนั้น เธอจึงเชิญฉินเฟิงเข้ามาในบ้านด้วยรอยยิ้ม

หลังจากเข้ามาถึงลานเล็กๆด้านในแล้ว ฉินเฟิงก็มองไปรอบๆ

พบเข้ากับสวนหย่อมเล็กๆ กว้างประมาณหนึ่งเมตรข้างกำเเพง

มีทั้งดอกไม้และพืชบางชนิดปลูกไว้ มองไปแล้วดูสวยงามสบายตา

หลังจากพูดคุย ฉินเฟิงก็ได้รู้ว่าลูกๆของคุณป้าเจ้าของบ้านคนนี้ไปอยู่ต่างประเทศกันหมด

คุณป้าจึงอยู่ที่นี้คนเดียว เพราะไม่สามารถทิ้งบ้านเกิดตนเองไปได้ เธอจึงไปอยู่ในบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ

แต่เพราะมันดูเงียบเหงาเกินไป คุณป้าจึงเปิดในเช่า

สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลตัวเมือง แม้ราคาค่าเช่าจะถูก แต่ก็ไม่ค่อยมีใครมาเช่า

ตามที่คุณป้าของเจ้าของบ้านบอก ตอนนี้มีเพียงผู้หญิงคนเดียวที่เช่าอยู่

แต่ผู้หญิงคนนั้นไปทำงานเช้าและกลับดึกทุกวัน บ้านของเธอจึงยังดูเป็นบ้านร้างเหมือนดังเดิม

ด้วยเหตุนี้ คุณป้าเจ้าของบ้านจึงคิดว่าหากมีคนมาอยู่ในบ้านอีกสักคนน่าจะดี จึงยังคงติดป้ายประกาศนั้นไว้

คุณป้าของเจ้าของบ้านพาฉินเฟิงขึ้นไปที่ชั้นสอง แล้วพาไปยังห้องทางด้านซ้าย

ห้องมีขนาดประมาณ 20 ตารางเมตร ดูกว้างขวางมาก

มีระเบียงทางทิศตะวันออก ซึ่งหันหน้าไปทางภูเขาตงจิ่ง

ทำเลสุดยอดไปเลย!

นี่คือเป็นสถานที่ที่ฉินเฟิงปรารถนา

อีกอย่างคุณป้าเจ้าของบ้านไม่ได้ปล่อยเช่าบ้านเพื่อหาเงิน ดังนั้น ค่าเช่าจึงต่ำมาก


เพียงเดือนละ 300 หยวน

รู้ไหมว่า ห้องขนาดเดียวกันนี้ ถ้าเป็นในเขตเมืองแล้วล่ะก็ ค่าเช่าเดือนหนึ่งไม่ต่ำว่า 1000 หยวน

เมื่อได้ยินราคาค่าเช่า ฉินเฟิงก็ควักเงินจ่ายค่าเช่าไปหนึ่งปีโดยไม่คิดมาก

เพราะในตอนนี้ มือเขาไม่ขาดเงินอีกแล้ว!

ส่วนความคิดที่จะซื้อบ้าน คงต้องหยุดไว้ก่อน

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

817