บทที่ 8 ความขัดแย้งที่ต้องเผชิญ และจอมยุทธกำลังภายในขั้นสุดท้าย

เมื่อมองไปยังสาวสวยตรงหน้า ฉินเฟิงก็พูดออกไปอย่างใจเย็น

แต่เขาไม่ได้ตอบคำถามของหญิงสาว เขากลับถามไปว่า:

"คุณชื่ออะไร?"

เมื่อได้ยินคำถามที่ไม่คาดคิดจากฉินเฟิง หญิงสาวตรงหน้าก็มีท่าทางตกตะลึงเล็กน้อย

เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าฉินเฟิงจะเจ้าเล่ห์ กล้าถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เธอถามไป

คำถามนี้ ทำให้เธอพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง

แต่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังเธอคิดว่าฉินเฟิงกำลังจะหาเรื่องพี่สาวของเขา จึงพูดออกไปด้วยความโกรธว่า:

“อวดดีเกินไปแล้ว จะอยากรู้ชื่อพี่สาวของฉันไปทำไม”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของฉินเฟิงก็เย็นชาเพิ่มขึ้นไปอีก

“ถ้าอย่างนั้นผมก็จะไม่คุยด้วย ผมไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า”

หลังจากพูดจบ เขาก็เดินจากไปโดยที่ไม่สนใจคนทั้งสาม

เมื่อเขากำลังจะเดินผ่านทั้งสามคน ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉินเฟิง และพูดอย่างเย็นชาว่า:

“คุณหนูยังไม่ได้สั่ง ไปไหนไม่ได้!”

แม้ว่าชายวัยกลางคนนี้จะสัมผัสได้ถึงบางอย่างในตัวฉินเฟิงมาก่อนรู้สึกถึงภัยคุกคามอย่างรุนแรงที่แผ่มากระทบร่างกาย

แต่ในเวลานี้ ในฐานะบอดี้การ์ดของคุณหนู เขาต้องยืนหยัดเพื่อชัดขวางฉินเฟิงโดยทันที

เพราะนี่ถือเป็นหน้าที่ของเขาในการคุ้มกันผู้หญิงคนนี้

“หลีกทางไป ไม่อยากนั้นผมจะไม่รับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้น” ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองชายวัยกลางคนแล้วพูดช้าๆ

หลังจากได้ยินคำพูดดังกล่าว ชายวัยกลางคนก็ไม่สามารถระงับความโกรธภายในใจได้อีกต่อไป

แม้จะรับรู้ได้ถึงพลังที่คุกคามมา แต่ในฐานะผู้ชาย เขาจะต้องรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองไว้ด้วย

“อวดดีเหลือเกินนะเด็กน้อย ฉันล่ะอยากรู้เหลือเกินว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าฉันไม่หลบ”

เพื่อไม่ให้น้อยหน้า ชายวัยกลางคนก็ตอบกลับอย่างกวนประสาท

ฉินเฟิงพูดเบา ๆ : "ไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวคุณก็ได้เห็นแล้ว"

ทันทีที่เขาพูดจบ หมัดขวาของชายทั้งสองก็ชกออกมาพร้อมกัน

บูม!

เสียงดังเกิดขึ้น

ทั้งสองหมัดชนกัน

หากมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก หมัดของฉินเฟิงนั้นเล็กกว่าหมัดของชายวัยกลางคนอย่างเห็นได้ชัด

หากมองดูรูปร่าง ตัวของฉินเฟิงนั้นผอมบางและดูไม่แข็งแรงเท่าชายวัยกลางคน

หากตัดสินกันที่ขนาด มองดูก้รู้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ

แต่หลังจากกานชนกันของหมัด จู่ๆ ก็มีเสียง “แค๊ก” ดังขึ้น

เสียงชัดมาก

ชัดเจนเป็นพิเศษ!

สิ่งที่ตามมาคือเสียงของชายวัยกลางคนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

จากนั้นก็กระโดดโลดเต้นไปมากลางอากาศ ในที่สุดก็ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง

ไม่เพียงเท่านั้น ชายวัยกลางคนใช้มือซ้ายจับมือขวาไว้และดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด

แม้ว่าความเจ็บปวดนี้จะทิ่มแทงกระดูก แต่ชายวัยกลางคนก็กัดฟันและไม่ส่งเสียงครวญครางใดๆออกมาหลังจากที่กรีดร้องไปในรอบแรก

เห็นได้ว่าชายคนนี้เข้มแข็งมากแค่ไหน

ถ้าฉินเฟิงไม่ออกหมัดทะลุทะลวงไปก่อน บางทีเขาอาจะไม่บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้

แต่เนื่องจากฉินเฟิงฝึกลมปราณถึงระดับสามแล้ว พลังหมัดที่เขาออกไปจึงเเข็งแกร่งอย่างมาก

นอกจากนี้ หมัดเมื่อครู่ แม้ว่าจะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวธรรมดา แต่พลังนั้นมาจากภายใน ผลลัพธ์จึงออกมาเป็นอย่างที่เห็น

เมื่อทั้งสองเป็นคนของตนเองล้มลงด้วยหมัดของฉินเฟิงเพียงหมัดเดียว ความโกรธของชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ก็ปะทุขึ้นอีกครั้งและตะโกนเสียงดังสนั่นออกมา:

“แกอยากตายงั้นหรอ!”

จากนั้นเขาก็ยกกำปั้นขึ้นและเตรียมพุ่งเข้าหาฉินเฟิง

ในเวลาเดียวกัน หญิงสาวที่มึนงงเมื่อครู่ ผายมือของเธอออกเพื่อสกัดกั้นชายหนุ่มกับฉินเฟิงไว้และพูดออกมาอย่างรวดเร็ว:

“เดี๋ยวก่อน ฉันต้องขอโทษแทนเขาด้วยจริงๆ ฉันชื่อโม่เฉิงเฉิง นี้น้องชายของฉันชื่อโม่ชิงเฉิน ส่วนเขาเป็นสมาชิกในครอบครัวฉันเองชื่อเหอจง


ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทและเป็นความผิดของเราเอง โปรดยกโทษให้เราด้วย "

เมื่อเห็นพลังหมัดของฉินเฟิง โม่เฉิงเฉิงก็ไม่กล้าปล่อยให้น้องชายของเธอต่อสู้กับ ฉินเฟิงโดยลำพัง

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลหยกศักดิ์สิทธิ์ที่เธอต้องการยังอยู่ในมือของอีกฝ่าย

ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องการมีปัญหากับฉินเฟิง

มิฉะนั้น จุดประสงค์ในการเดินทางของเธอครั้งนี้อาจสูญเปล่า

เมื่อโม่ชิงเฉินเห็นพี่สาวของเขายกมือขวาง เขาก็หยุดชะงัก

ทันใดนั้นเหอจงก็ฟื้นขึ้นมา แน่นอนว่าเขาไม่ใช่ศัตรูของฉินเฟิง หากปล่อยให้ลงมืออีกครั้งจะไม่เป็นผลดีเเน่

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ โม่ชิงเฉินก็จ้องมองไปที่ฉินเฟิง จากนั้นก็หันไปช่วยเหอจงที่นอนอยู่บนพื้น

ด้วยความช่วยเหลือของโม่ชิงเฉิน เหอจงจึงลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ

ในเวลานี้ ทุกคนสามารถเห็นความเจ็บปวดที่ปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของเขาได้ แต่เขากลับไม่ร้องโอดครวญ กลับพูดขึ้นช้าๆว่า:

“กำลังภายในขั้นสุดท้าย!”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เหอจงพูด โม่ชิงเฉินที่พยุงเขาอยู่ ก็อดไม่ได้ที่หันไปมองที่ฉินเฟิง และตะโกนด้วยความตกใจ:

“อะไรนะ เขาเป็นจอมยุทธกำลังภายในขั้นสุดท้ายงั้นหรอ?เป็นไปได้ยังไงกัน?”

สาวสวยที่ชื่อโม่เฉิงเฉิง เธอมองไปยังฉินเฟิงด้วยความประหลาดใจ

หลังจากได้ยินการสนทนาระหว่างนั้นแล้ว ฉินเฟิงผู้มีชื่ออยู่ในบทสนทนานั้นก็รุ้สึกงุนงงเล็กน้อย

"กำลังภายในขั้นสุดท้าย?จอมยุทธ?พูดถึงอะไรกัน?”

ฉินเฟิงขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงเนื้อหาของบทสนทนานั้น

เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนในชีวิตเลย

ก่อนที่ฉินเฟิงจะถามคำถามอะไรออกไป เหอจงผู้ที่ทนกับความเจ็บปวดสาหัส ได้จ้องมองไปที่ฉินเฟิงและพูดขึ้นอีกครั้ง:

“หมัดที่คุณออกมาเมื่อครู่ บอกได้ว่าคุณอยู่ในขั้นสุดท้ายของกำลังภายในแล้ว และมันยังเป็นกำลังภายในขั้นสุดท้ายที่สมบูรณ์แบบอีกด้วย

หากไม่เป็นเช่นนั้น ฉันที่เป็นจอมยุทธกำลังภายในขั้นแรกคงไม่พ่ายแพ้คุณอย่างง่ายดายเช่นนี้

ที่ฉันอวดดีไปก่อนหน้านี้ โปรดยกโทษให้ฉันด้วย! "

หลังจากพูดจบ เหอจงก็โค้งคำนับให้ฉินเฟิงทันที

เขารู้ดีว่าถ้าเขาไม่ขอโทษ ต่อให้ทั้งสามคนรวมตัวกันเพื่อต่อกรกับเขา ก็ไม่สามารถเอาชนะฉินเฟิงได้

ไม่สำคัญว่าเขาจะตายหรือไม่ หากคุณหนูและนายน้อยเป็นอะไรขึ้นมา เขาคงไม่มีวันให้อภัยตนเอง

เมื่อเห็นฉากนี้ โม่ชิงเฉินก็ตกใจ

เขามาจากครอบครัวที่ร่ำรวย ข้างกายก็มีบอดี้การ์ฝีมือดีเช่นเหอจง

แต่ด้วยเหตุใด บอดี้การ์ดของเขากลับเกรงกลัวจอมยุทธกำลังภายในนี่

จอมยุทธกำลังภายในขั้นแรกอย่างเหอจงนั้นถือว่าดีกว่าพวกบอดี้การ์ดธรรมดาทั่วไปเป็นไหนๆ

ถ้าพูดถึงเรื่องทักษะฝีมือ แม้จะส่งกองกำลังพิเศษมาสี่ห้าคน พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหอจงอยู่ดี

กำลังภายในขั้นสุดท้ายหรือจอมยุทธที่มีกำลังภายในขั้นสมบูรณ์ มันเป็นเพียงแค่ข่าวลือที่เขาเคยได้ยิน

แต่ในวันนี้ที่ได้พบเด็กหนุ่มบนภูเขาโดยบังเอิญ ดูไปแล้วเขาก็ยังเด็กอยู่ เหมือนจะอายุไม่เท่าไหร่ เขากลับกลายเป็นจอมยุทธกำลังภายในขั้นสุดท้ายที่มากฝีมือได้อย่างไรกัน?

สิ่งนี้จะไม่ทำให้โม่ชิงเฉินประหลาดใจได้อย่างไร

เช่นเดียวกับโม่เฉิงเฉิงที่อยู่ด้านข้าง

หลังจากฟังคำพูดของเหอจง ฉินเฟิงก็เดาในใจว่านี่อาจเป็นชื่อสำหรับนักพรตที่บำเพียรเป็นเซียนบนโลกใบนี้

ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยเป็นอะไรพวกนั้นเลย

ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจอมยุทธกำลังภายในขั้นสุดท้ายนั้นคืออะไร

“จอมยุทธกำลังภายในขั้นสุดท้ายคืออะไรกัน?” ฉินเฟิงถามออกไปโต้งๆ

เมื่อได้ยินคำถามของฉินเฟิง ทั้งสามคนก็ตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง

พวกเขาไม่คาดคิดเลย ว่าระดับความสามารถของฉินเฟิง เขาจะไม่รู้ว่าจอมยุทธนั้นคืออะไร

หากพวกเขาไม่เห็นการแสดงออกที่ "จริงจัง" บนใบหน้าของฉินเฟิง พวกเขาคงคิดว่าฉินเฟิงจงใจล้อเลียนเขา

หลังจากตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เหอจงก็เป็นคนแรกที่ตอบออกไปว่า:

“เอ่อออ...หากคุณไม่รู้จักจอมยุทธกำลังภายในแล้วคุณปลูกฝังพลังชี่ในร่างกายของคุณได้อย่างไร?”

“อ๋อ...คุณหมายถึงฝึกลมปราณสินะ ผมฝึกด้วยตัวเอง” ฉินเฟิงพยักหน้าทำเป็นเข้าใจและไม่ได้ตอบอะไรออกไปเพิ่มเติม

เหอจงรู้ได้ทันทีว่าฉินเฟิงนั้นไม่เต็มใจจะอธิบาย

เขาจึงไม่ได้ถามคำถามโง่เขลาอะไรออกไป เพียงแต่อธิบายว่า:

"ตราบใดที่พลังชี่ได้รับการปลูกฝังในร่างกาย พลังภายในก็จะแข็งแกร่งตามปริมาณของพลังชี่ที่อยู่ภายในร่างกาย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นสี่ขั้น เริ่มจาก ขั้นแรก ขั้นกลาง ขั้นสุดท้าย และสี่ ชั้นสมบูรณ์”

หลังจากได้ยินคำอธิบายนี้ ฉินเฟิงก็คิดตามไปด้วยในใจ

อันที่จริง คำพวกนี้ไม่ได้แตกต่างจากเก้าขั้นฝึกตนเป็นเซียนสักเท่าไหร่

เพียงแต่ว่า คำว่าจอมยุทธนั้นเป็นวิธีเรียกชื่อของคนบนโลกใบนี้


ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงถามกลับไปอีกว่า

“แล้วหลังจากกำลังภายในขั้นสมบูรณ์ล่ะ เรียกว่าอะไร?”

เมื่อได้ยินคำถามของฉินเฟิง เหอจงก็ดูจริงจังขึ้นและพูดออกมาอย่างช้าๆ:

“หลังจากสำเร็จผ่านขั้นสมบูรณ์ไปแล้ว จอมยุทธก็จะไปยังอีกขั้น เรียกว่า เซียน หรืออีกชื่อคือ ปรมาจารย์

แต่เพราะจอมยุทธจะได้รับความเคารพนับถือจากคนอื่นด้วย จึงมักเรียกว่าปรมาจารย์"

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

817