บทที่ 7 ฝึกลมปราณขั้นสาม สามคนที่พบเจออีกครั้ง
by ซีเย่ซีเยว่
08:01,Dec 24,2023
ฉินเฟิงใช้เวลาสองชั่วโมงในการสำรวจที่ก้นเหว
ในเวลานี้เขาได้สำรวจทั่วแล้ว และไม่มีอะไรหลุดลอดสายตาไปได้
การมาที่ก้นเหวครั้งนี้ เขาได้สมุนไพรและยาอายุวัฒนะทั้งหมด 15 ชนิด
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าแปลกคืออายุของสมุนไพรเหล่านี้มีอายุประมาณสิบปี
หรือว่าจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
เหล่าสมุนไพรทั้งหมดนี้ สิ่งที่เขาชอบมากที่สุดคือหญ้าเมฆาม่วง
และสิ่งที่ทำให้ฉินเฟิงต้องประหลาดใจมากที่สุดคือหญ้าเมฆาม่วงมีเมล็ดอยู่เก้าเมล็ด
ซึ่งหมายความว่าหากเขาปลูกและดูแลมันอย่างดี เขาจะมีหญ้าเมฆาม่วงอีกเก้าต้นอย่างแน่นอน
ฉินเฟิงหยิบเมล็ดหญ้าเมฆาม่วงออกมาหนึ่งเมล็ดแล้วนำกลับไปปลูกในตำแหน่งเดิม
สิ่งนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติในพิภพเซียน หลังจากรวบรวมสมุนไพรและยาอายุวัฒนะแล้ว
หากผู้ที่มาเก็บสมุนไพรไม่เห็นแก่ตัวจนเกินไป พวกเขาจะไม่ใช้วิธี “ถอนรากถอนโคน” เก็บสมุนไพรพวกนี้
เพื่อให้สมุนไพรยังเหลือเผื่อคนที่มาทีหลัง
ในมือของฉินเฟิงยังเหลือเมล็ดสมุนไพรอยู่อีกแปดเมล็ด เขาตัดสินใจที่จะนำมันกลับไปปลูกด้วยตนเอง
เขามั่นใจว่าหากเขาดูเเลอย่างดี มันจะสามารถเติบโตได้ดีกว่าในป่าอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เขาไปถึงขั้นสร้างรากฐาน เขาจะสามารถจัดเตรียมวิธีบางอย่างเพื่อเร่งการเติบโตของหญ้าวิญญาณได้
แต่เมล็ดที่ปลูกไว้ที่นี้ เขาก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเติบโตได้ดีหรือไม่
ฉินเฟิงมองดูเวลา และพบว่าตอนนี้เพิ่งจะเก้าโมงกว่า เขาจึงยังไม่มีความตั้งใจที่จะขึ้นไป
เพราะความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณในที่แห่งนี้ มีความเข้มข้นสูงมาก
ทันใดนั้น เขาจึงนั่งขัดสมาธิและเริ่ม "รังสรรค์หวนจุติ" ขึ้นภายในร่างกายของเขาอย่างช้าๆ
พลังทางจิตวิญญาณจากต้นไม้ หญ้า และแม้แต่พลังงานในดินรอบตัวเขา ไหลเข้าสู่ตัวเขาอย่างช้าๆ
…
ขณะนี้การฝึกลมปราณบรรลุถึงระดับที่สามแล้ว
ฉินเฟิงยืนขึ้น และพบว่าเขาได้บรรลุมาอีกระดับหนึ่งแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมง
เขาใช้เวลาทั้งหมดไปหกชั่วโมงในการบรรลุมาอีกระดับหนึ่ง
การบรรลุในครั้งนี้ใช้เวลาน้อยกว่าครั้งที่แล้ว
แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพลังทางจิตวิญญาณต่อการฝึกลมปราณ
ฉินเฟิงใช้พลังอย่างช้าๆ และพบว่าพลังนั้นไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา
“ไม่เลว! ไม่เลวเลย! นี้แค่ระดับสามของขั้นฝึกลมปราณ พลังของฉันก็ไม่อ่อนแอเลยนี่หน่า”
ฉินเฟิงกำหมัดแน่นด้วยสีหน้าที่ปรีติยินดี
เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะสามารถไปถึงระดับสามของขั้นฝึกลมปราณได้ในระยะเวลาสั้นๆ
หากเขาทำตามวิธีนี้ เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถไปถึงขั้นสร้างรากฐานได้ภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน
และประกอบกับความช่วยเหลือจากเหล่าสมุนไพรและยาอายุวัฒนะที่เขาเก็บมาได้ เขายิ่งมั่นใจว่าเวลาที่ใช้จะสั้นลงกว่าเดิมแน่นอน
ฉินเฟิงมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง เขาไม่เต็มใจที่จะจากสถานที่ที่มีพลังทางจิตวิญญาณเข้มข้นสูงแบบนี้ไป
ถ้าไม่ใช่เพราะการรับน้องใหม่เริ่มต้นพรุ่งนี้ เขาไม่มีทางจะออกไปจากที่นี้เป็นแน่
"เอาเถอะ สมุนไพรและยาอายุวัฒนะก็เก็บมาแล้ว ยังไงการฝึกตนของฉันก็ไปเร็วอยู่ดี"
“ยิ่งกว่านั้น เมื่อฉันไปถึงขั้นสร้างรากฐาน ฉันสามารถรวบรวมวิญญาณก่อตัวได้ ฉันมั่นใจว่าการรวบรวมวิญญาณก่อตัวภายใน ในการฝึกตนจะต้องดีอย่างแน่นอน”
เมื่อถึงขั้นสร้างรากฐานแล้ว วิธีของเหล่านักพรตจะสมบูรณ์ขึ้น
นี้เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงกล่าวว่าขั้นสร้างรากฐานคือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของเหล่านักพรตที่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียน
ตอนนี้ฉินเฟิงมาถึงระดับสามของการฝึกลมปราณแล้ว ทำให้เขามีพลังบางอย่างเพื่อใช้ป้องกันตัวเอง
ด้วยพลังในปัจจุบันของเขา เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าต่อให้ศัตรูจะพกปืน เขาก็จะเอาชนะได้อยู่ดี
เเละเพราะเหตุนี้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบฟื้นฟูความแข็งแกร่งของเขาภายในคราเดียว
สิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจตอนนี้คือ ในชีวิตนี้ เขาจะล้างแค้นให้กับความเสียใจทั้งหมดในชาตินั้นให้จงได้
มหาวิทยาลัย เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความเสียใจในชีวิตนั้นของเขา
เขาสามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยจงไห่แห่งนี้ได้ด้วยความสามารถของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่มีผลการเรียนดีมากแค่ไหน
การเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยจงไห่และเรียนจบด้วยเกรดที่ดี นั้นคือความคาดหวังของเขาก่อนที่จะเข้าเรียนที่มหาวิทยาวัยจงไห่
เเต่เพราะหวังเสวี่ยปิน ชีวิตในรั่วมหาวิทยาลัยของเขาจึงมีแต่ความอัปยศ
ยกเว้น โอวหยางจิง จางหยุนและผู้อุปถัมภ์อีกคน นอกนั้นเขาเเทบไม่มีความทรงจำที่ดีตลอดสี่ปีในรั่วมหาวิทยาลัยเลย
ด้วยเหตุนี้ ฉินเฟิงจะไม่เสียโอกาสในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง
ตอนนี้ ในเมื่อเป็นนักศึกษาแล้ว ก็ต้องเข้าร่วมการรับน้อง
แม้ว่าการรับน้องพวกนี้จะดูงี่เง่าเกินไปในสายตาของฉินเฟิงตอนนี้ก็ตาม
แต่เขาได้ตัดสินใจแล้ว ฉินเฟิงไม่รอช้าอีกต่อไป เขาดึงเถาวัลย์มามัดสมุนไพรต่างๆไว้ด้วยกัน
จากนั้นก็ปีนเถาวัลย์ขึ้นไปบนหน้าผา
อาจเป็นเพราะพลังของเขาฟื้นตัวได้ระดับหนึ่ง เขาจึงปีนขึ้นไปได้เร็วกว่าตอนที่ปีนลงมา
ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที ฉินเฟิงก็ปีนขึ้นมาถึงบนหน้าผา
แต่เมื่อเขาขึ้นมา กลับมีคนสามคนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา
ผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคน
สามคนนี้ เป็นสามคนที่เขาพบที่ทางเเยกเมื่อวานนี้
คนที่อยู่ด้านหน้า ก็ยังคงเป็นสาวสวยคนเดิม
ตอนนี้พวกเขายืนห่างกันเพียงแค่แปดก้าวเท่านั้น
เมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของกันและกัน ทั้งคู่ก็ประหลาดใจเล็กน้อย
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ฉินเฟิงไม่รู้ว่าจะได้พบทั้งสามคนในที่แห่งนี้
ครั้งแรกที่เจอเขาพึ่งอยู่ระดับหนึ่งยังมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้ ตอนนี้เขาฝึกถึงระดับสามของขั้นฝึกลมปราณแล้ว เขาเอาชนะได้อย่างแน่นอน
ฉินเฟิงยืนนิ่งไม่ขยับ หนึ่งในชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามยกนิ้วและชี้ไปที่ด้านข้างฉินเฟิง จากนั้นก็ตะโกนขึ้นว่า:
“พี่ครับ ผลหยกศักดิ์สิทธิ์! ในที่สุดเราก็พบแล้ว”
ตามทิศทางของนิ้วที่ชายหนุ่มชี้ ฉินเฟิงพึ่งรู้ตัวว่านิ้วของชายคนนั้นชี้มายังสมุนไพรที่มัดรวมอยู่ในมือของเขาเป็นแน่
เมื่อได้ยินเสียงนี้ อีกสองคนที่ยืนอยู่ก็หันไปมองที่ฉินเฟิงเช่นกัน
ทันใดนั้น ผู้หญิงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและดูเหมือนว่าเธอกำลังเปรียบเทียบอะไรบางอย่าง
เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา หญิงสาวก็แสดงความตื่นเต้นบนใบหน้าของเธอ
"ผลหยกศักสิทธิ์จริงด้วย เหมือนกับในภาพนี้เลย"
ฉินเฟิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดจากอีกฝ่าย
“ผลหยกศักดิ์สิทธิ์? มันคืออะไรกัน?”
จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงและมองดูผลไม้สีขาวใสดุจคริสตัลท่ามกลางสมุนไพรในมือซ้าย เขาก็เข้าใจในทันที
“อ๋อ...ฉันเข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าผลหยกขาวในมือของเขาว่าเป็นผลหยกศักดิ์สิทธิ์”
ฉินเฟิงแอบคิดในใจ คาดเดาสถานะการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่เขาก็อดที่จะนึกขันขึ้นในใจไม่ได้ ว่าสมุนไพรระดับต่ำเช่นผลหยกขาวที่ขึ้นในพิภพเซียน
กลับมีชื่อที่สูงส่งเมื่อขึ้นอยู่บนโลกใบนี้
ก่อนที่ฉินเฟิงจะพูดอะไร ชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามก็พูดขึ้นอย่างหยิ่งผยอง:
“นี้ ไอหนู เอาผลสีขาวในมือแกมาให้ฉัน เเล้วจะเรียกเท่าไหร่ก็ว่ามา”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉินเฟิงก็ขมวดคิ้วทันที
ในชาติที่แล้ว เขาสามารถพิชิตพิภพเซียน ได้รับการชื่นชมจากผู้คนนับไม่ถ้วน และยังได้รับการยกย่องทั้งความแข็งแกร่งและมีชื่อเสียง
แต่ตอนนี้ เขากลับถูกเรียกว่า "ไอหนู" โดยชายหนุ่มที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงระหว่างโลกกับสวรรค์
ไม่ว่าฉินเฟิงจะมารยาทดีหรือมีการศึกษาดีแค่ไหน แต่คำพูดนี้ก็ทำให้เขาอารมณ์เสียขึ้นมาทันที
ยิ่งไปกว่านั้น เหล่านักพรตที่บำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นอมตะ เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย มีเพียงไม่กี่คนที่ยังมีจิตใจดีราวกับนักบุญ
แต่คนที่จิตใจดี มักจะลงนรกไปเป็นคนแรกๆ
ลองนึกถึงชื่อเสียงของ "จักรพรรดิเซียนฉินจิ่วเฉิน" ที่สง่างามในชาติที่แล้ว
แม้ว่าสุดท้ายจะถูกทรยศจนทำให้เสียชีวิตก็ตาม
เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น บางอย่างในใจของฉินเฟิงเปลี่ยนไป
เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ เขาไม่ควรใจดีดั่งชาติที่แล้ว เพราะนั้นเป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียทุกอย่าง
ดังนั้นในชีวิตนี้ ฉินเฟิงจะไม่ยอมให้ข้อผิดพลาดพวกนั้นเกิดขึ้นอีก
เขาเห็นว่าคนสองคนที่อยู่ตรงหน้า ให้ความสำคัญกับผลหยกขาวในมือของเขาเป็นอย่างมาก
ไหนจะน้ำเสียงกระตือรือร้นและท่าทีที่แสดงออกเกินหน้าเกินตาของพวกเขา ฉินเฟิงจึงรู้ได้ทันทีว่าผลหยกขาวนี้มีคุณค่าสำหรับพวกเขาเป็นอย่างมาก
ถึงกระนั้น น้ำเสียงของชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามก็หยาบคายเกินไป ซึ่งมันทำให้ฉินเฟิงไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย
ในพิภพเซียน หากมีใครกล้ามาพูดกับเขาเช่นนี้ มันผู้นั้นคงต้องตกนรกหมกไหม้ในทันที
ฉินเฟิงหรี่ตาลง แสงเย็นเฉียบส่องประกายออกมาจากดวงตาของเขา
ทันใดนั้น หญิงสาวฝั่งตรงข้ามก็หันศีรษะและตะโกนว่า:
"ชิงเฉิน หุบปาก!"
หลังจากพูดจบ เธอก็หันไปมองที่ฉินเฟิงและพูดอย่างใจเย็น:
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ น้องชายฉันนิสัยเสียมาตั้งแต่ยังเด็ก ยกโทษให้กับคำพูดหยาบคายของเขาด้วยนะคะ”
แต่…ผลไม้สีขาวในมือของคุณคือสิ่งที่ฉันต้องการเป็นอย่างมาก
หวังว่าคุณจะสามารถขายมันให้ฉัน ในราคาที่พูดคุยกันได้ "
ในเวลานี้เขาได้สำรวจทั่วแล้ว และไม่มีอะไรหลุดลอดสายตาไปได้
การมาที่ก้นเหวครั้งนี้ เขาได้สมุนไพรและยาอายุวัฒนะทั้งหมด 15 ชนิด
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าแปลกคืออายุของสมุนไพรเหล่านี้มีอายุประมาณสิบปี
หรือว่าจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
เหล่าสมุนไพรทั้งหมดนี้ สิ่งที่เขาชอบมากที่สุดคือหญ้าเมฆาม่วง
และสิ่งที่ทำให้ฉินเฟิงต้องประหลาดใจมากที่สุดคือหญ้าเมฆาม่วงมีเมล็ดอยู่เก้าเมล็ด
ซึ่งหมายความว่าหากเขาปลูกและดูแลมันอย่างดี เขาจะมีหญ้าเมฆาม่วงอีกเก้าต้นอย่างแน่นอน
ฉินเฟิงหยิบเมล็ดหญ้าเมฆาม่วงออกมาหนึ่งเมล็ดแล้วนำกลับไปปลูกในตำแหน่งเดิม
สิ่งนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติในพิภพเซียน หลังจากรวบรวมสมุนไพรและยาอายุวัฒนะแล้ว
หากผู้ที่มาเก็บสมุนไพรไม่เห็นแก่ตัวจนเกินไป พวกเขาจะไม่ใช้วิธี “ถอนรากถอนโคน” เก็บสมุนไพรพวกนี้
เพื่อให้สมุนไพรยังเหลือเผื่อคนที่มาทีหลัง
ในมือของฉินเฟิงยังเหลือเมล็ดสมุนไพรอยู่อีกแปดเมล็ด เขาตัดสินใจที่จะนำมันกลับไปปลูกด้วยตนเอง
เขามั่นใจว่าหากเขาดูเเลอย่างดี มันจะสามารถเติบโตได้ดีกว่าในป่าอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เขาไปถึงขั้นสร้างรากฐาน เขาจะสามารถจัดเตรียมวิธีบางอย่างเพื่อเร่งการเติบโตของหญ้าวิญญาณได้
แต่เมล็ดที่ปลูกไว้ที่นี้ เขาก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเติบโตได้ดีหรือไม่
ฉินเฟิงมองดูเวลา และพบว่าตอนนี้เพิ่งจะเก้าโมงกว่า เขาจึงยังไม่มีความตั้งใจที่จะขึ้นไป
เพราะความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณในที่แห่งนี้ มีความเข้มข้นสูงมาก
ทันใดนั้น เขาจึงนั่งขัดสมาธิและเริ่ม "รังสรรค์หวนจุติ" ขึ้นภายในร่างกายของเขาอย่างช้าๆ
พลังทางจิตวิญญาณจากต้นไม้ หญ้า และแม้แต่พลังงานในดินรอบตัวเขา ไหลเข้าสู่ตัวเขาอย่างช้าๆ
…
ขณะนี้การฝึกลมปราณบรรลุถึงระดับที่สามแล้ว
ฉินเฟิงยืนขึ้น และพบว่าเขาได้บรรลุมาอีกระดับหนึ่งแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมง
เขาใช้เวลาทั้งหมดไปหกชั่วโมงในการบรรลุมาอีกระดับหนึ่ง
การบรรลุในครั้งนี้ใช้เวลาน้อยกว่าครั้งที่แล้ว
แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพลังทางจิตวิญญาณต่อการฝึกลมปราณ
ฉินเฟิงใช้พลังอย่างช้าๆ และพบว่าพลังนั้นไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา
“ไม่เลว! ไม่เลวเลย! นี้แค่ระดับสามของขั้นฝึกลมปราณ พลังของฉันก็ไม่อ่อนแอเลยนี่หน่า”
ฉินเฟิงกำหมัดแน่นด้วยสีหน้าที่ปรีติยินดี
เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะสามารถไปถึงระดับสามของขั้นฝึกลมปราณได้ในระยะเวลาสั้นๆ
หากเขาทำตามวิธีนี้ เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถไปถึงขั้นสร้างรากฐานได้ภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน
และประกอบกับความช่วยเหลือจากเหล่าสมุนไพรและยาอายุวัฒนะที่เขาเก็บมาได้ เขายิ่งมั่นใจว่าเวลาที่ใช้จะสั้นลงกว่าเดิมแน่นอน
ฉินเฟิงมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง เขาไม่เต็มใจที่จะจากสถานที่ที่มีพลังทางจิตวิญญาณเข้มข้นสูงแบบนี้ไป
ถ้าไม่ใช่เพราะการรับน้องใหม่เริ่มต้นพรุ่งนี้ เขาไม่มีทางจะออกไปจากที่นี้เป็นแน่
"เอาเถอะ สมุนไพรและยาอายุวัฒนะก็เก็บมาแล้ว ยังไงการฝึกตนของฉันก็ไปเร็วอยู่ดี"
“ยิ่งกว่านั้น เมื่อฉันไปถึงขั้นสร้างรากฐาน ฉันสามารถรวบรวมวิญญาณก่อตัวได้ ฉันมั่นใจว่าการรวบรวมวิญญาณก่อตัวภายใน ในการฝึกตนจะต้องดีอย่างแน่นอน”
เมื่อถึงขั้นสร้างรากฐานแล้ว วิธีของเหล่านักพรตจะสมบูรณ์ขึ้น
นี้เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงกล่าวว่าขั้นสร้างรากฐานคือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของเหล่านักพรตที่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียน
ตอนนี้ฉินเฟิงมาถึงระดับสามของการฝึกลมปราณแล้ว ทำให้เขามีพลังบางอย่างเพื่อใช้ป้องกันตัวเอง
ด้วยพลังในปัจจุบันของเขา เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าต่อให้ศัตรูจะพกปืน เขาก็จะเอาชนะได้อยู่ดี
เเละเพราะเหตุนี้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบฟื้นฟูความแข็งแกร่งของเขาภายในคราเดียว
สิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจตอนนี้คือ ในชีวิตนี้ เขาจะล้างแค้นให้กับความเสียใจทั้งหมดในชาตินั้นให้จงได้
มหาวิทยาลัย เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความเสียใจในชีวิตนั้นของเขา
เขาสามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยจงไห่แห่งนี้ได้ด้วยความสามารถของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่มีผลการเรียนดีมากแค่ไหน
การเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยจงไห่และเรียนจบด้วยเกรดที่ดี นั้นคือความคาดหวังของเขาก่อนที่จะเข้าเรียนที่มหาวิทยาวัยจงไห่
เเต่เพราะหวังเสวี่ยปิน ชีวิตในรั่วมหาวิทยาลัยของเขาจึงมีแต่ความอัปยศ
ยกเว้น โอวหยางจิง จางหยุนและผู้อุปถัมภ์อีกคน นอกนั้นเขาเเทบไม่มีความทรงจำที่ดีตลอดสี่ปีในรั่วมหาวิทยาลัยเลย
ด้วยเหตุนี้ ฉินเฟิงจะไม่เสียโอกาสในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง
ตอนนี้ ในเมื่อเป็นนักศึกษาแล้ว ก็ต้องเข้าร่วมการรับน้อง
แม้ว่าการรับน้องพวกนี้จะดูงี่เง่าเกินไปในสายตาของฉินเฟิงตอนนี้ก็ตาม
แต่เขาได้ตัดสินใจแล้ว ฉินเฟิงไม่รอช้าอีกต่อไป เขาดึงเถาวัลย์มามัดสมุนไพรต่างๆไว้ด้วยกัน
จากนั้นก็ปีนเถาวัลย์ขึ้นไปบนหน้าผา
อาจเป็นเพราะพลังของเขาฟื้นตัวได้ระดับหนึ่ง เขาจึงปีนขึ้นไปได้เร็วกว่าตอนที่ปีนลงมา
ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที ฉินเฟิงก็ปีนขึ้นมาถึงบนหน้าผา
แต่เมื่อเขาขึ้นมา กลับมีคนสามคนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา
ผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคน
สามคนนี้ เป็นสามคนที่เขาพบที่ทางเเยกเมื่อวานนี้
คนที่อยู่ด้านหน้า ก็ยังคงเป็นสาวสวยคนเดิม
ตอนนี้พวกเขายืนห่างกันเพียงแค่แปดก้าวเท่านั้น
เมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของกันและกัน ทั้งคู่ก็ประหลาดใจเล็กน้อย
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ฉินเฟิงไม่รู้ว่าจะได้พบทั้งสามคนในที่แห่งนี้
ครั้งแรกที่เจอเขาพึ่งอยู่ระดับหนึ่งยังมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้ ตอนนี้เขาฝึกถึงระดับสามของขั้นฝึกลมปราณแล้ว เขาเอาชนะได้อย่างแน่นอน
ฉินเฟิงยืนนิ่งไม่ขยับ หนึ่งในชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามยกนิ้วและชี้ไปที่ด้านข้างฉินเฟิง จากนั้นก็ตะโกนขึ้นว่า:
“พี่ครับ ผลหยกศักดิ์สิทธิ์! ในที่สุดเราก็พบแล้ว”
ตามทิศทางของนิ้วที่ชายหนุ่มชี้ ฉินเฟิงพึ่งรู้ตัวว่านิ้วของชายคนนั้นชี้มายังสมุนไพรที่มัดรวมอยู่ในมือของเขาเป็นแน่
เมื่อได้ยินเสียงนี้ อีกสองคนที่ยืนอยู่ก็หันไปมองที่ฉินเฟิงเช่นกัน
ทันใดนั้น ผู้หญิงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและดูเหมือนว่าเธอกำลังเปรียบเทียบอะไรบางอย่าง
เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา หญิงสาวก็แสดงความตื่นเต้นบนใบหน้าของเธอ
"ผลหยกศักสิทธิ์จริงด้วย เหมือนกับในภาพนี้เลย"
ฉินเฟิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดจากอีกฝ่าย
“ผลหยกศักดิ์สิทธิ์? มันคืออะไรกัน?”
จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงและมองดูผลไม้สีขาวใสดุจคริสตัลท่ามกลางสมุนไพรในมือซ้าย เขาก็เข้าใจในทันที
“อ๋อ...ฉันเข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าผลหยกขาวในมือของเขาว่าเป็นผลหยกศักดิ์สิทธิ์”
ฉินเฟิงแอบคิดในใจ คาดเดาสถานะการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่เขาก็อดที่จะนึกขันขึ้นในใจไม่ได้ ว่าสมุนไพรระดับต่ำเช่นผลหยกขาวที่ขึ้นในพิภพเซียน
กลับมีชื่อที่สูงส่งเมื่อขึ้นอยู่บนโลกใบนี้
ก่อนที่ฉินเฟิงจะพูดอะไร ชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามก็พูดขึ้นอย่างหยิ่งผยอง:
“นี้ ไอหนู เอาผลสีขาวในมือแกมาให้ฉัน เเล้วจะเรียกเท่าไหร่ก็ว่ามา”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉินเฟิงก็ขมวดคิ้วทันที
ในชาติที่แล้ว เขาสามารถพิชิตพิภพเซียน ได้รับการชื่นชมจากผู้คนนับไม่ถ้วน และยังได้รับการยกย่องทั้งความแข็งแกร่งและมีชื่อเสียง
แต่ตอนนี้ เขากลับถูกเรียกว่า "ไอหนู" โดยชายหนุ่มที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงระหว่างโลกกับสวรรค์
ไม่ว่าฉินเฟิงจะมารยาทดีหรือมีการศึกษาดีแค่ไหน แต่คำพูดนี้ก็ทำให้เขาอารมณ์เสียขึ้นมาทันที
ยิ่งไปกว่านั้น เหล่านักพรตที่บำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นอมตะ เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย มีเพียงไม่กี่คนที่ยังมีจิตใจดีราวกับนักบุญ
แต่คนที่จิตใจดี มักจะลงนรกไปเป็นคนแรกๆ
ลองนึกถึงชื่อเสียงของ "จักรพรรดิเซียนฉินจิ่วเฉิน" ที่สง่างามในชาติที่แล้ว
แม้ว่าสุดท้ายจะถูกทรยศจนทำให้เสียชีวิตก็ตาม
เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น บางอย่างในใจของฉินเฟิงเปลี่ยนไป
เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ เขาไม่ควรใจดีดั่งชาติที่แล้ว เพราะนั้นเป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียทุกอย่าง
ดังนั้นในชีวิตนี้ ฉินเฟิงจะไม่ยอมให้ข้อผิดพลาดพวกนั้นเกิดขึ้นอีก
เขาเห็นว่าคนสองคนที่อยู่ตรงหน้า ให้ความสำคัญกับผลหยกขาวในมือของเขาเป็นอย่างมาก
ไหนจะน้ำเสียงกระตือรือร้นและท่าทีที่แสดงออกเกินหน้าเกินตาของพวกเขา ฉินเฟิงจึงรู้ได้ทันทีว่าผลหยกขาวนี้มีคุณค่าสำหรับพวกเขาเป็นอย่างมาก
ถึงกระนั้น น้ำเสียงของชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามก็หยาบคายเกินไป ซึ่งมันทำให้ฉินเฟิงไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย
ในพิภพเซียน หากมีใครกล้ามาพูดกับเขาเช่นนี้ มันผู้นั้นคงต้องตกนรกหมกไหม้ในทันที
ฉินเฟิงหรี่ตาลง แสงเย็นเฉียบส่องประกายออกมาจากดวงตาของเขา
ทันใดนั้น หญิงสาวฝั่งตรงข้ามก็หันศีรษะและตะโกนว่า:
"ชิงเฉิน หุบปาก!"
หลังจากพูดจบ เธอก็หันไปมองที่ฉินเฟิงและพูดอย่างใจเย็น:
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ น้องชายฉันนิสัยเสียมาตั้งแต่ยังเด็ก ยกโทษให้กับคำพูดหยาบคายของเขาด้วยนะคะ”
แต่…ผลไม้สีขาวในมือของคุณคือสิ่งที่ฉันต้องการเป็นอย่างมาก
หวังว่าคุณจะสามารถขายมันให้ฉัน ในราคาที่พูดคุยกันได้ "
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved