บทที่ 7 ฝึกลมปราณขั้นสาม สามคนที่พบเจออีกครั้ง

ฉินเฟิงใช้เวลาสองชั่วโมงในการสำรวจที่ก้นเหว

ในเวลานี้เขาได้สำรวจทั่วแล้ว และไม่มีอะไรหลุดลอดสายตาไปได้

การมาที่ก้นเหวครั้งนี้ เขาได้สมุนไพรและยาอายุวัฒนะทั้งหมด 15 ชนิด

แต่สิ่งหนึ่งที่น่าแปลกคืออายุของสมุนไพรเหล่านี้มีอายุประมาณสิบปี

หรือว่าจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ

เหล่าสมุนไพรทั้งหมดนี้ สิ่งที่เขาชอบมากที่สุดคือหญ้าเมฆาม่วง

และสิ่งที่ทำให้ฉินเฟิงต้องประหลาดใจมากที่สุดคือหญ้าเมฆาม่วงมีเมล็ดอยู่เก้าเมล็ด

ซึ่งหมายความว่าหากเขาปลูกและดูแลมันอย่างดี เขาจะมีหญ้าเมฆาม่วงอีกเก้าต้นอย่างแน่นอน

ฉินเฟิงหยิบเมล็ดหญ้าเมฆาม่วงออกมาหนึ่งเมล็ดแล้วนำกลับไปปลูกในตำแหน่งเดิม

สิ่งนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติในพิภพเซียน หลังจากรวบรวมสมุนไพรและยาอายุวัฒนะแล้ว

หากผู้ที่มาเก็บสมุนไพรไม่เห็นแก่ตัวจนเกินไป พวกเขาจะไม่ใช้วิธี “ถอนรากถอนโคน” เก็บสมุนไพรพวกนี้

เพื่อให้สมุนไพรยังเหลือเผื่อคนที่มาทีหลัง

ในมือของฉินเฟิงยังเหลือเมล็ดสมุนไพรอยู่อีกแปดเมล็ด เขาตัดสินใจที่จะนำมันกลับไปปลูกด้วยตนเอง

เขามั่นใจว่าหากเขาดูเเลอย่างดี มันจะสามารถเติบโตได้ดีกว่าในป่าอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เขาไปถึงขั้นสร้างรากฐาน เขาจะสามารถจัดเตรียมวิธีบางอย่างเพื่อเร่งการเติบโตของหญ้าวิญญาณได้

แต่เมล็ดที่ปลูกไว้ที่นี้ เขาก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเติบโตได้ดีหรือไม่

ฉินเฟิงมองดูเวลา และพบว่าตอนนี้เพิ่งจะเก้าโมงกว่า เขาจึงยังไม่มีความตั้งใจที่จะขึ้นไป

เพราะความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณในที่แห่งนี้ มีความเข้มข้นสูงมาก

ทันใดนั้น เขาจึงนั่งขัดสมาธิและเริ่ม "รังสรรค์หวนจุติ" ขึ้นภายในร่างกายของเขาอย่างช้าๆ

พลังทางจิตวิญญาณจากต้นไม้ หญ้า และแม้แต่พลังงานในดินรอบตัวเขา ไหลเข้าสู่ตัวเขาอย่างช้าๆ



ขณะนี้การฝึกลมปราณบรรลุถึงระดับที่สามแล้ว

ฉินเฟิงยืนขึ้น และพบว่าเขาได้บรรลุมาอีกระดับหนึ่งแล้ว

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมง

เขาใช้เวลาทั้งหมดไปหกชั่วโมงในการบรรลุมาอีกระดับหนึ่ง

การบรรลุในครั้งนี้ใช้เวลาน้อยกว่าครั้งที่แล้ว

แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพลังทางจิตวิญญาณต่อการฝึกลมปราณ

ฉินเฟิงใช้พลังอย่างช้าๆ และพบว่าพลังนั้นไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา

“ไม่เลว! ไม่เลวเลย! นี้แค่ระดับสามของขั้นฝึกลมปราณ พลังของฉันก็ไม่อ่อนแอเลยนี่หน่า”

ฉินเฟิงกำหมัดแน่นด้วยสีหน้าที่ปรีติยินดี

เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะสามารถไปถึงระดับสามของขั้นฝึกลมปราณได้ในระยะเวลาสั้นๆ

หากเขาทำตามวิธีนี้ เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถไปถึงขั้นสร้างรากฐานได้ภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน

และประกอบกับความช่วยเหลือจากเหล่าสมุนไพรและยาอายุวัฒนะที่เขาเก็บมาได้ เขายิ่งมั่นใจว่าเวลาที่ใช้จะสั้นลงกว่าเดิมแน่นอน

ฉินเฟิงมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง เขาไม่เต็มใจที่จะจากสถานที่ที่มีพลังทางจิตวิญญาณเข้มข้นสูงแบบนี้ไป

ถ้าไม่ใช่เพราะการรับน้องใหม่เริ่มต้นพรุ่งนี้ เขาไม่มีทางจะออกไปจากที่นี้เป็นแน่

"เอาเถอะ สมุนไพรและยาอายุวัฒนะก็เก็บมาแล้ว ยังไงการฝึกตนของฉันก็ไปเร็วอยู่ดี"

“ยิ่งกว่านั้น เมื่อฉันไปถึงขั้นสร้างรากฐาน ฉันสามารถรวบรวมวิญญาณก่อตัวได้ ฉันมั่นใจว่าการรวบรวมวิญญาณก่อตัวภายใน ในการฝึกตนจะต้องดีอย่างแน่นอน”

เมื่อถึงขั้นสร้างรากฐานแล้ว วิธีของเหล่านักพรตจะสมบูรณ์ขึ้น

นี้เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงกล่าวว่าขั้นสร้างรากฐานคือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของเหล่านักพรตที่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียน
ตอนนี้ฉินเฟิงมาถึงระดับสามของการฝึกลมปราณแล้ว ทำให้เขามีพลังบางอย่างเพื่อใช้ป้องกันตัวเอง

ด้วยพลังในปัจจุบันของเขา เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าต่อให้ศัตรูจะพกปืน เขาก็จะเอาชนะได้อยู่ดี

เเละเพราะเหตุนี้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบฟื้นฟูความแข็งแกร่งของเขาภายในคราเดียว

สิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจตอนนี้คือ ในชีวิตนี้ เขาจะล้างแค้นให้กับความเสียใจทั้งหมดในชาตินั้นให้จงได้

มหาวิทยาลัย เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความเสียใจในชีวิตนั้นของเขา

เขาสามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยจงไห่แห่งนี้ได้ด้วยความสามารถของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่มีผลการเรียนดีมากแค่ไหน

การเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยจงไห่และเรียนจบด้วยเกรดที่ดี นั้นคือความคาดหวังของเขาก่อนที่จะเข้าเรียนที่มหาวิทยาวัยจงไห่

เเต่เพราะหวังเสวี่ยปิน ชีวิตในรั่วมหาวิทยาลัยของเขาจึงมีแต่ความอัปยศ

ยกเว้น โอวหยางจิง จางหยุนและผู้อุปถัมภ์อีกคน นอกนั้นเขาเเทบไม่มีความทรงจำที่ดีตลอดสี่ปีในรั่วมหาวิทยาลัยเลย

ด้วยเหตุนี้ ฉินเฟิงจะไม่เสียโอกาสในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง

ตอนนี้ ในเมื่อเป็นนักศึกษาแล้ว ก็ต้องเข้าร่วมการรับน้อง

แม้ว่าการรับน้องพวกนี้จะดูงี่เง่าเกินไปในสายตาของฉินเฟิงตอนนี้ก็ตาม

แต่เขาได้ตัดสินใจแล้ว ฉินเฟิงไม่รอช้าอีกต่อไป เขาดึงเถาวัลย์มามัดสมุนไพรต่างๆไว้ด้วยกัน

จากนั้นก็ปีนเถาวัลย์ขึ้นไปบนหน้าผา

อาจเป็นเพราะพลังของเขาฟื้นตัวได้ระดับหนึ่ง เขาจึงปีนขึ้นไปได้เร็วกว่าตอนที่ปีนลงมา

ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที ฉินเฟิงก็ปีนขึ้นมาถึงบนหน้าผา

แต่เมื่อเขาขึ้นมา กลับมีคนสามคนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา

ผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคน

สามคนนี้ เป็นสามคนที่เขาพบที่ทางเเยกเมื่อวานนี้

คนที่อยู่ด้านหน้า ก็ยังคงเป็นสาวสวยคนเดิม

ตอนนี้พวกเขายืนห่างกันเพียงแค่แปดก้าวเท่านั้น

เมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของกันและกัน ทั้งคู่ก็ประหลาดใจเล็กน้อย

แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ฉินเฟิงไม่รู้ว่าจะได้พบทั้งสามคนในที่แห่งนี้

ครั้งแรกที่เจอเขาพึ่งอยู่ระดับหนึ่งยังมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้ ตอนนี้เขาฝึกถึงระดับสามของขั้นฝึกลมปราณแล้ว เขาเอาชนะได้อย่างแน่นอน

ฉินเฟิงยืนนิ่งไม่ขยับ หนึ่งในชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามยกนิ้วและชี้ไปที่ด้านข้างฉินเฟิง จากนั้นก็ตะโกนขึ้นว่า:

“พี่ครับ ผลหยกศักดิ์สิทธิ์! ในที่สุดเราก็พบแล้ว”

ตามทิศทางของนิ้วที่ชายหนุ่มชี้ ฉินเฟิงพึ่งรู้ตัวว่านิ้วของชายคนนั้นชี้มายังสมุนไพรที่มัดรวมอยู่ในมือของเขาเป็นแน่

เมื่อได้ยินเสียงนี้ อีกสองคนที่ยืนอยู่ก็หันไปมองที่ฉินเฟิงเช่นกัน

ทันใดนั้น ผู้หญิงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและดูเหมือนว่าเธอกำลังเปรียบเทียบอะไรบางอย่าง

เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา หญิงสาวก็แสดงความตื่นเต้นบนใบหน้าของเธอ

"ผลหยกศักสิทธิ์จริงด้วย เหมือนกับในภาพนี้เลย"

ฉินเฟิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดจากอีกฝ่าย

“ผลหยกศักดิ์สิทธิ์? มันคืออะไรกัน?”

จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงและมองดูผลไม้สีขาวใสดุจคริสตัลท่ามกลางสมุนไพรในมือซ้าย เขาก็เข้าใจในทันที

“อ๋อ...ฉันเข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าผลหยกขาวในมือของเขาว่าเป็นผลหยกศักดิ์สิทธิ์”

ฉินเฟิงแอบคิดในใจ คาดเดาสถานะการณ์ที่เกิดขึ้น

แต่เขาก็อดที่จะนึกขันขึ้นในใจไม่ได้ ว่าสมุนไพรระดับต่ำเช่นผลหยกขาวที่ขึ้นในพิภพเซียน

กลับมีชื่อที่สูงส่งเมื่อขึ้นอยู่บนโลกใบนี้

ก่อนที่ฉินเฟิงจะพูดอะไร ชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามก็พูดขึ้นอย่างหยิ่งผยอง:

“นี้ ไอหนู เอาผลสีขาวในมือแกมาให้ฉัน เเล้วจะเรียกเท่าไหร่ก็ว่ามา”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉินเฟิงก็ขมวดคิ้วทันที

ในชาติที่แล้ว เขาสามารถพิชิตพิภพเซียน ได้รับการชื่นชมจากผู้คนนับไม่ถ้วน และยังได้รับการยกย่องทั้งความแข็งแกร่งและมีชื่อเสียง

แต่ตอนนี้ เขากลับถูกเรียกว่า "ไอหนู" โดยชายหนุ่มที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงระหว่างโลกกับสวรรค์

ไม่ว่าฉินเฟิงจะมารยาทดีหรือมีการศึกษาดีแค่ไหน แต่คำพูดนี้ก็ทำให้เขาอารมณ์เสียขึ้นมาทันที

ยิ่งไปกว่านั้น เหล่านักพรตที่บำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นอมตะ เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย มีเพียงไม่กี่คนที่ยังมีจิตใจดีราวกับนักบุญ

แต่คนที่จิตใจดี มักจะลงนรกไปเป็นคนแรกๆ

ลองนึกถึงชื่อเสียงของ "จักรพรรดิเซียนฉินจิ่วเฉิน" ที่สง่างามในชาติที่แล้ว

แม้ว่าสุดท้ายจะถูกทรยศจนทำให้เสียชีวิตก็ตาม

เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น บางอย่างในใจของฉินเฟิงเปลี่ยนไป

เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ เขาไม่ควรใจดีดั่งชาติที่แล้ว เพราะนั้นเป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียทุกอย่าง

ดังนั้นในชีวิตนี้ ฉินเฟิงจะไม่ยอมให้ข้อผิดพลาดพวกนั้นเกิดขึ้นอีก

เขาเห็นว่าคนสองคนที่อยู่ตรงหน้า ให้ความสำคัญกับผลหยกขาวในมือของเขาเป็นอย่างมาก

ไหนจะน้ำเสียงกระตือรือร้นและท่าทีที่แสดงออกเกินหน้าเกินตาของพวกเขา ฉินเฟิงจึงรู้ได้ทันทีว่าผลหยกขาวนี้มีคุณค่าสำหรับพวกเขาเป็นอย่างมาก

ถึงกระนั้น น้ำเสียงของชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามก็หยาบคายเกินไป ซึ่งมันทำให้ฉินเฟิงไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย

ในพิภพเซียน หากมีใครกล้ามาพูดกับเขาเช่นนี้ มันผู้นั้นคงต้องตกนรกหมกไหม้ในทันที

ฉินเฟิงหรี่ตาลง แสงเย็นเฉียบส่องประกายออกมาจากดวงตาของเขา

ทันใดนั้น หญิงสาวฝั่งตรงข้ามก็หันศีรษะและตะโกนว่า:

"ชิงเฉิน หุบปาก!"

หลังจากพูดจบ เธอก็หันไปมองที่ฉินเฟิงและพูดอย่างใจเย็น:

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ น้องชายฉันนิสัยเสียมาตั้งแต่ยังเด็ก ยกโทษให้กับคำพูดหยาบคายของเขาด้วยนะคะ”

แต่…ผลไม้สีขาวในมือของคุณคือสิ่งที่ฉันต้องการเป็นอย่างมาก

หวังว่าคุณจะสามารถขายมันให้ฉัน ในราคาที่พูดคุยกันได้ "


Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

817