บทที่ 5 สาวสวยที่พบโดยบังเอิญ และเรื่องที่ไม่คาดคิด
by ซีเย่ซีเยว่
08:01,Dec 24,2023
คาบเรียนก็ยังเหมือนในชาติที่แล้ว
แนะนำตัวเอง เลือกหัวหน้า และฟังคำกล่าวของที่ปรึกษา…
ทุกอย่างน่าเบื่อมาก
หากไม่ใช่เพราะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัย ฉินเฟิงจะไม่มาเข้าเรียนที่ไร้ความหมายนี้อย่างแน่นอน
…
การรับน้องของนักศึกษาใหม่ที่มหาลัยจัดจะมีขึ้นในวันมะรืนนี้
หลังจากการพบปะพูดคุย ฉินเฟิงเห็นว่าตนเองมีเวลาว่างสองวัน เขาจึงเลือกที่จะออกจากมหาวิทยาลัย
เหตุผลแรก เขาต้องการหาสถานที่ที่อยู่ลึกเข้าไปในภูเขา ที่ซึ่งมีพลังทางจิตวิญญาณแข็งแกร่ง
เหตุผลที่สอง เขายังต้องการค้นหาวัตถุดิบยาที่สามารถช่วยในการฝึกตนของเขา
แม้ว่าจะไม่สามารถเตรียมน้ำรวมวิญญาณเผยหยวนได้ แต่ก็คงจะดีหากสามารถเตรียมน้ำสมุนไพรเพื่อนำมาอาบได้
แสงแดดจากดวงอาทิตย์ในเดือนกันยายน ส่องแสงจ้าแผดเผามายังผิวโลก
ฉินเฟิงสวมชุดลำลองเดินเข้าไปในภูเขาต่งจิ่ง ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของมหาวิทยาลัย
ด้านหลังของภูเขาตงจิ่งยังมีภูเขาที่ไร้ชื่อมากมาย และยังมีสถานที่อีกหลายแห่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดกล้าก้าวเท้าเข้าไป
หลังจากเดินขึ้นมาบนภูเขาได้ระยะหนึ่ง หน้าผากของฉินเฟิงก็มีเหงื่ออกเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าจะยังต้องฝึกให้หนักกว่านี้”
เขาถอนหายใจและเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่แผดแสงลงมาอย่างไร้ความปรานีเหนือหัวของเขา
นักพรตที่พึ่งเขาสู่ขั้นฝึกลมปราณนั้น แท้จริงแล้วก้ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป ยังคงมีความรู้สึกร้อนจากแสงอาทิตย์ที่แผดเผาอยู่
ไม่นาน ฉินเฟิงก็พบเข้ากับสถานที่ร่มรื่น เขานั่งขัดสมาธิบริเวณนั้นและปรับการหายใจของเขาอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อเขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ความร้อนและความเหนื่อยล้าตามร่างกายของเขาก็หายไป และดูมีพลังมากขึ้น
ขณะนี้ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกอย่างช้าๆ
ฉินเฟิงรู้ว่า ตัวเขาต้องเร่งความเร็วมากกว่านี้
ไม่เช่นนั้นดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า และท้องฟ้าจะมืดสนิท
ตอนนี้เขายังไม่มีความสามารถในการมองเห็นสิ่งต่างๆ ในความมืด
พอมืดก็จะมีงู แมลง หนู และสัตว์มีพิษมากมายที่อยู่ในป่าเเห่งนี้
มันจึงไม่เหมาะที่จะเดินบนภูเขาในเวลากลางคืน
ฉินเฟิงยืนขึ้น ปัดเศษดินเศษใบไม้บนตัวเอง และก้าวไปข้างหน้าต่อไป
เมื่อเขามาถึงยังทางแยก มีคนสามคนเดินมาจากถนนอีกสายหนึ่งเพื่อเข้าไปในภูเขา
คนที่เดินอยู่ด้านหน้าเป็นสาวสวยวัยยี่สิบต้นๆ เธอสวมชุดลำลองสีขาว
ถัดจากเธอก็เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูอายุใกล้เคียงกันกับเธอ เขาสวมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีเทา
ตามด้วยชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ชายคนนี้มีคิ้วหนา ดวงตากลมโตที่ดูเฉียบแหลม มองดูแล้วช่างประณีตและแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน
เป็นการผสมผสานที่น่าสนใจ
ฉินเฟิงรับรู้ได้ทันทีว่าสามคนตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดา
ทั้งสามคน น่าจะมีทักษะกังฟูอยู่เป็นแน่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายวัยกลางคนที่เดินปิดท้ายเขาดูทรงพลังเป็นอย่างมาก ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่ใช่น้อย
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชายวัยกลางคนผู้นี้สามารถเอาชีวิตฉินเฟิงได้โดยง่าย
แม้ว่าฉินเฟิงจะอยู่ในขั้นฝึกลมปราณระดับแรก แต่ในตอนนี้พลังในร่างกายต่ำและมีร่างกายที่อ่อนแอ เขาทำได้แค่แตะ ต่อยเท่าที่เขาเคยฝึกมาในชาติที่แล้ว
ดังนั้น หากมีหลายคนโจมตีเขาล่ะก็ ตัวเขาคงไม่สามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน
ยิ่งได้เห็นชายวัยกลางคนคนนี้ที่ดูเหมือนว่าจะมีความสามารถแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วไป
ฉินเฟิงก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ภายใน
แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายต้องต่อสู้จริงๆแล้วล่ะก็ ฉินเฟิงก็ยังมั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้
เพราะนี้ถือว่าเป็นความมั่นใจสำหรรับคนที่เป็นจักพรรดิเซียน
จากนั้น ฉินเฟิงมองไปยังสาวสวยที่อยู่ด้านหน้า
เขารู้ได้ทันทีว่าสาวสวยคนนี้จะต้องมีสถานะสูงที่สุด
ผมของเธอรวบไว้สูง ใบหน้าของเธอแสดงความเย็นชาออกมา รูปร่างของเธอสูงโปร่ง ใบหน้าแสดงความมุ่งมั่นซึ่งเป็นเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์
ไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อเขาเห็นผู้หญิงคนนี้ ฉินเฟิงกลับนึกถึงสาวผมหางม้าที่เขาพบที่ริมทะเลสาบของมหาวิทยาลัยคนนั้น
ไม่ใช่แค่หน้าตาเหมือนกันแต่ท่าทางยังเหมือนกันอีกด้วย
ถ้าพูดถึงรูปร่างหน้าตา ผู้หญิงตรงหน้าดูสวยกว่าเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงนั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่มีประสบการณ์มาเป็นพันปี ดังนั้น เขาจึงไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา เขาเพียงแค่เหลือบมอง และมุ่งหน้าเดินลึกเขาไปในภูเขาต่อไป
เมื่อฉินเฟิงมองไป พวกเขาทั้งสามก็สังเกตเห็นได้ทันที
ทั้งสองฝ่ายเดินผ่านกันที่ทางแยกบนถนนและไม่มีใครพูดหรือสนทนาอะไรซึ่งกันและกัน
ในขณะเดียวกัน ชายวัยกลางคนก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและหยุดอยู่ข้างผู้หญิง จ้องมองไปยังฉินเฟิงด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
เมื่อเขาเห็นฉินเฟิง เขาก็สัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นที่มีในใจต่อฉินเฟิง
ในฐานะผู้คุ้มกัน เป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องระมัดระวังคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างฉินเฟิง
หลังจากที่ฉินเฟิงเดินจากไป ชายวัยกลางคนที่มีความสามารถก็หันหน้าไปมองผู้หญิงแล้วพูดขึ้นเบา ๆ :
“คุณหนู คนนี้เป็นปรมาจารย์ คุณหนูต้องระวังเขาไว้!”
ผู้หญิงคนนี้มองไปยังฉินเฟิงที่กำลังเดินจากไปอย่างช้าๆ และส่ายหัว:
“ก็แค่คนเดินผ่าน กังวลเกินไปแล้ว”
“ปรมาจารย์แบบไหนกัน ฉันว่านะ เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่มาเดินภูเขา อย่างเขา แค่ไม่กี่กระบวนท่าฉันก็เอาชนะได้แล้ว” เมื่อได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังก็พูดขึ้นมาอย่างอวดดี
ทำให้ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าหันกลับมาและจ้องมองไปที่ชายหนุ่ม
เพียงแวบเดียวก็ทำให้ชายหนุ่มหดคอด้วยความหวาดกลัว
แต่ยังคงมีรอยยิ้มที่ฝืนแสดงออกมาบนใบหน้าของเขาและพูดว่า:
“พี่ครับ ผมผิดไปแล้ว!”
…
ในภูเขาที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ฉินเฟิงค่อยๆ สำรวจหาความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณ
โดยปกติแล้ว สถานที่ที่มีความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณสูงมีแนวโน้มที่จะสร้างสิ่งล้ำค่าได้มากกว่า
สถานที่ดังกล่าวนั้นเหมาะสำหรับนักพรตที่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียน
ยิ่งเวลาผ่านไป ฉินเฟิงก็ยิ่งเดินลึกเข้าไปในภูเขามากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อดวงอาทิตย์ลับฟ้า เขาก็มาถึงยังหน้าผาแห่งหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้ เขาพบพลังทางจิตวิญญาณที่เข้มข้นและแข็งแกร่งมากที่สุดในตอนนี้
ความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณในสถานที่แห่งนี้สูงกว่าพลังทางจิตวิญญาณที่ริมทะเลสาบในมหาวิทยาลัยจงไห่ถึงสามเท่า
สถานที่มีชื่อเสียงต่างๆ ไม่ว่าจะภูเขา แม่น้ำ หรือป่าไม้ จากก็มีความแตกต่างของพลังทางจิตวิญญาณเช่นกัน
ความเร็วในการฝึกตกที่นี่จะเร็วกว่าการฝึกตนในมหาวิทยาลัยจงไห่มาก
จากการคาดเดาของฉินเฟิง หากเขาฝึกตนในที่แห่งนี้ แม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอะไรเลย เขาก็สามารถไปถึงขั้นสร้างรากฐานได้ภายในเวลาสองเดือน
แต่ช่องว่างของทั้งสองยังห่างไกล
ฉินเฟิงยืนอยู่บนขอบหน้าผาและก้มมองลงไปยังเหวลึกที่มืดมิดนั้น
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณในที่แห่งนั้นจะสูงขึ้นอย่างแน่นอน
สาเหตุที่ความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณที่ขอบหน้าผาสูงกว่าที่อื่นอาจเกี่ยวข้องกับเหวนั้นด้วย
แต่ในเวลานี้ก็มืดแล้ว เขาไม่อาจเสี่ยงลงไปยังเหวลึกนั้นในเวลานี้ได้
ดังนั้น ฉินเฟิงจึงตัดสินใจฝึกตนอยู่บนขอบผาเป็นเวลาหนึ่งคืน
พรุ่งนี้เช้า เราจะไปยังก้นเหวเพื่อหาคำตอบกัน
แนะนำตัวเอง เลือกหัวหน้า และฟังคำกล่าวของที่ปรึกษา…
ทุกอย่างน่าเบื่อมาก
หากไม่ใช่เพราะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัย ฉินเฟิงจะไม่มาเข้าเรียนที่ไร้ความหมายนี้อย่างแน่นอน
…
การรับน้องของนักศึกษาใหม่ที่มหาลัยจัดจะมีขึ้นในวันมะรืนนี้
หลังจากการพบปะพูดคุย ฉินเฟิงเห็นว่าตนเองมีเวลาว่างสองวัน เขาจึงเลือกที่จะออกจากมหาวิทยาลัย
เหตุผลแรก เขาต้องการหาสถานที่ที่อยู่ลึกเข้าไปในภูเขา ที่ซึ่งมีพลังทางจิตวิญญาณแข็งแกร่ง
เหตุผลที่สอง เขายังต้องการค้นหาวัตถุดิบยาที่สามารถช่วยในการฝึกตนของเขา
แม้ว่าจะไม่สามารถเตรียมน้ำรวมวิญญาณเผยหยวนได้ แต่ก็คงจะดีหากสามารถเตรียมน้ำสมุนไพรเพื่อนำมาอาบได้
แสงแดดจากดวงอาทิตย์ในเดือนกันยายน ส่องแสงจ้าแผดเผามายังผิวโลก
ฉินเฟิงสวมชุดลำลองเดินเข้าไปในภูเขาต่งจิ่ง ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของมหาวิทยาลัย
ด้านหลังของภูเขาตงจิ่งยังมีภูเขาที่ไร้ชื่อมากมาย และยังมีสถานที่อีกหลายแห่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดกล้าก้าวเท้าเข้าไป
หลังจากเดินขึ้นมาบนภูเขาได้ระยะหนึ่ง หน้าผากของฉินเฟิงก็มีเหงื่ออกเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าจะยังต้องฝึกให้หนักกว่านี้”
เขาถอนหายใจและเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่แผดแสงลงมาอย่างไร้ความปรานีเหนือหัวของเขา
นักพรตที่พึ่งเขาสู่ขั้นฝึกลมปราณนั้น แท้จริงแล้วก้ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป ยังคงมีความรู้สึกร้อนจากแสงอาทิตย์ที่แผดเผาอยู่
ไม่นาน ฉินเฟิงก็พบเข้ากับสถานที่ร่มรื่น เขานั่งขัดสมาธิบริเวณนั้นและปรับการหายใจของเขาอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อเขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ความร้อนและความเหนื่อยล้าตามร่างกายของเขาก็หายไป และดูมีพลังมากขึ้น
ขณะนี้ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกอย่างช้าๆ
ฉินเฟิงรู้ว่า ตัวเขาต้องเร่งความเร็วมากกว่านี้
ไม่เช่นนั้นดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า และท้องฟ้าจะมืดสนิท
ตอนนี้เขายังไม่มีความสามารถในการมองเห็นสิ่งต่างๆ ในความมืด
พอมืดก็จะมีงู แมลง หนู และสัตว์มีพิษมากมายที่อยู่ในป่าเเห่งนี้
มันจึงไม่เหมาะที่จะเดินบนภูเขาในเวลากลางคืน
ฉินเฟิงยืนขึ้น ปัดเศษดินเศษใบไม้บนตัวเอง และก้าวไปข้างหน้าต่อไป
เมื่อเขามาถึงยังทางแยก มีคนสามคนเดินมาจากถนนอีกสายหนึ่งเพื่อเข้าไปในภูเขา
คนที่เดินอยู่ด้านหน้าเป็นสาวสวยวัยยี่สิบต้นๆ เธอสวมชุดลำลองสีขาว
ถัดจากเธอก็เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูอายุใกล้เคียงกันกับเธอ เขาสวมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีเทา
ตามด้วยชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ชายคนนี้มีคิ้วหนา ดวงตากลมโตที่ดูเฉียบแหลม มองดูแล้วช่างประณีตและแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน
เป็นการผสมผสานที่น่าสนใจ
ฉินเฟิงรับรู้ได้ทันทีว่าสามคนตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดา
ทั้งสามคน น่าจะมีทักษะกังฟูอยู่เป็นแน่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายวัยกลางคนที่เดินปิดท้ายเขาดูทรงพลังเป็นอย่างมาก ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่ใช่น้อย
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชายวัยกลางคนผู้นี้สามารถเอาชีวิตฉินเฟิงได้โดยง่าย
แม้ว่าฉินเฟิงจะอยู่ในขั้นฝึกลมปราณระดับแรก แต่ในตอนนี้พลังในร่างกายต่ำและมีร่างกายที่อ่อนแอ เขาทำได้แค่แตะ ต่อยเท่าที่เขาเคยฝึกมาในชาติที่แล้ว
ดังนั้น หากมีหลายคนโจมตีเขาล่ะก็ ตัวเขาคงไม่สามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน
ยิ่งได้เห็นชายวัยกลางคนคนนี้ที่ดูเหมือนว่าจะมีความสามารถแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วไป
ฉินเฟิงก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ภายใน
แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายต้องต่อสู้จริงๆแล้วล่ะก็ ฉินเฟิงก็ยังมั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้
เพราะนี้ถือว่าเป็นความมั่นใจสำหรรับคนที่เป็นจักพรรดิเซียน
จากนั้น ฉินเฟิงมองไปยังสาวสวยที่อยู่ด้านหน้า
เขารู้ได้ทันทีว่าสาวสวยคนนี้จะต้องมีสถานะสูงที่สุด
ผมของเธอรวบไว้สูง ใบหน้าของเธอแสดงความเย็นชาออกมา รูปร่างของเธอสูงโปร่ง ใบหน้าแสดงความมุ่งมั่นซึ่งเป็นเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์
ไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อเขาเห็นผู้หญิงคนนี้ ฉินเฟิงกลับนึกถึงสาวผมหางม้าที่เขาพบที่ริมทะเลสาบของมหาวิทยาลัยคนนั้น
ไม่ใช่แค่หน้าตาเหมือนกันแต่ท่าทางยังเหมือนกันอีกด้วย
ถ้าพูดถึงรูปร่างหน้าตา ผู้หญิงตรงหน้าดูสวยกว่าเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงนั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่มีประสบการณ์มาเป็นพันปี ดังนั้น เขาจึงไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา เขาเพียงแค่เหลือบมอง และมุ่งหน้าเดินลึกเขาไปในภูเขาต่อไป
เมื่อฉินเฟิงมองไป พวกเขาทั้งสามก็สังเกตเห็นได้ทันที
ทั้งสองฝ่ายเดินผ่านกันที่ทางแยกบนถนนและไม่มีใครพูดหรือสนทนาอะไรซึ่งกันและกัน
ในขณะเดียวกัน ชายวัยกลางคนก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและหยุดอยู่ข้างผู้หญิง จ้องมองไปยังฉินเฟิงด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
เมื่อเขาเห็นฉินเฟิง เขาก็สัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นที่มีในใจต่อฉินเฟิง
ในฐานะผู้คุ้มกัน เป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องระมัดระวังคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างฉินเฟิง
หลังจากที่ฉินเฟิงเดินจากไป ชายวัยกลางคนที่มีความสามารถก็หันหน้าไปมองผู้หญิงแล้วพูดขึ้นเบา ๆ :
“คุณหนู คนนี้เป็นปรมาจารย์ คุณหนูต้องระวังเขาไว้!”
ผู้หญิงคนนี้มองไปยังฉินเฟิงที่กำลังเดินจากไปอย่างช้าๆ และส่ายหัว:
“ก็แค่คนเดินผ่าน กังวลเกินไปแล้ว”
“ปรมาจารย์แบบไหนกัน ฉันว่านะ เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่มาเดินภูเขา อย่างเขา แค่ไม่กี่กระบวนท่าฉันก็เอาชนะได้แล้ว” เมื่อได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังก็พูดขึ้นมาอย่างอวดดี
ทำให้ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าหันกลับมาและจ้องมองไปที่ชายหนุ่ม
เพียงแวบเดียวก็ทำให้ชายหนุ่มหดคอด้วยความหวาดกลัว
แต่ยังคงมีรอยยิ้มที่ฝืนแสดงออกมาบนใบหน้าของเขาและพูดว่า:
“พี่ครับ ผมผิดไปแล้ว!”
…
ในภูเขาที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ฉินเฟิงค่อยๆ สำรวจหาความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณ
โดยปกติแล้ว สถานที่ที่มีความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณสูงมีแนวโน้มที่จะสร้างสิ่งล้ำค่าได้มากกว่า
สถานที่ดังกล่าวนั้นเหมาะสำหรับนักพรตที่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียน
ยิ่งเวลาผ่านไป ฉินเฟิงก็ยิ่งเดินลึกเข้าไปในภูเขามากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อดวงอาทิตย์ลับฟ้า เขาก็มาถึงยังหน้าผาแห่งหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้ เขาพบพลังทางจิตวิญญาณที่เข้มข้นและแข็งแกร่งมากที่สุดในตอนนี้
ความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณในสถานที่แห่งนี้สูงกว่าพลังทางจิตวิญญาณที่ริมทะเลสาบในมหาวิทยาลัยจงไห่ถึงสามเท่า
สถานที่มีชื่อเสียงต่างๆ ไม่ว่าจะภูเขา แม่น้ำ หรือป่าไม้ จากก็มีความแตกต่างของพลังทางจิตวิญญาณเช่นกัน
ความเร็วในการฝึกตกที่นี่จะเร็วกว่าการฝึกตนในมหาวิทยาลัยจงไห่มาก
จากการคาดเดาของฉินเฟิง หากเขาฝึกตนในที่แห่งนี้ แม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอะไรเลย เขาก็สามารถไปถึงขั้นสร้างรากฐานได้ภายในเวลาสองเดือน
แต่ช่องว่างของทั้งสองยังห่างไกล
ฉินเฟิงยืนอยู่บนขอบหน้าผาและก้มมองลงไปยังเหวลึกที่มืดมิดนั้น
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณในที่แห่งนั้นจะสูงขึ้นอย่างแน่นอน
สาเหตุที่ความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณที่ขอบหน้าผาสูงกว่าที่อื่นอาจเกี่ยวข้องกับเหวนั้นด้วย
แต่ในเวลานี้ก็มืดแล้ว เขาไม่อาจเสี่ยงลงไปยังเหวลึกนั้นในเวลานี้ได้
ดังนั้น ฉินเฟิงจึงตัดสินใจฝึกตนอยู่บนขอบผาเป็นเวลาหนึ่งคืน
พรุ่งนี้เช้า เราจะไปยังก้นเหวเพื่อหาคำตอบกัน
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved