บทที่ 5 สาวสวยที่พบโดยบังเอิญ และเรื่องที่ไม่คาดคิด

คาบเรียนก็ยังเหมือนในชาติที่แล้ว

แนะนำตัวเอง เลือกหัวหน้า และฟังคำกล่าวของที่ปรึกษา…

ทุกอย่างน่าเบื่อมาก

หากไม่ใช่เพราะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัย ฉินเฟิงจะไม่มาเข้าเรียนที่ไร้ความหมายนี้อย่างแน่นอน


การรับน้องของนักศึกษาใหม่ที่มหาลัยจัดจะมีขึ้นในวันมะรืนนี้

หลังจากการพบปะพูดคุย ฉินเฟิงเห็นว่าตนเองมีเวลาว่างสองวัน เขาจึงเลือกที่จะออกจากมหาวิทยาลัย

เหตุผลแรก เขาต้องการหาสถานที่ที่อยู่ลึกเข้าไปในภูเขา ที่ซึ่งมีพลังทางจิตวิญญาณแข็งแกร่ง

เหตุผลที่สอง เขายังต้องการค้นหาวัตถุดิบยาที่สามารถช่วยในการฝึกตนของเขา

แม้ว่าจะไม่สามารถเตรียมน้ำรวมวิญญาณเผยหยวนได้ แต่ก็คงจะดีหากสามารถเตรียมน้ำสมุนไพรเพื่อนำมาอาบได้

แสงแดดจากดวงอาทิตย์ในเดือนกันยายน ส่องแสงจ้าแผดเผามายังผิวโลก

ฉินเฟิงสวมชุดลำลองเดินเข้าไปในภูเขาต่งจิ่ง ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของมหาวิทยาลัย

ด้านหลังของภูเขาตงจิ่งยังมีภูเขาที่ไร้ชื่อมากมาย และยังมีสถานที่อีกหลายแห่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดกล้าก้าวเท้าเข้าไป
หลังจากเดินขึ้นมาบนภูเขาได้ระยะหนึ่ง หน้าผากของฉินเฟิงก็มีเหงื่ออกเล็กน้อย

“ดูเหมือนว่าจะยังต้องฝึกให้หนักกว่านี้”

เขาถอนหายใจและเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่แผดแสงลงมาอย่างไร้ความปรานีเหนือหัวของเขา

นักพรตที่พึ่งเขาสู่ขั้นฝึกลมปราณนั้น แท้จริงแล้วก้ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป ยังคงมีความรู้สึกร้อนจากแสงอาทิตย์ที่แผดเผาอยู่

ไม่นาน ฉินเฟิงก็พบเข้ากับสถานที่ร่มรื่น เขานั่งขัดสมาธิบริเวณนั้นและปรับการหายใจของเขาอยู่ครู่หนึ่ง

เมื่อเขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ความร้อนและความเหนื่อยล้าตามร่างกายของเขาก็หายไป และดูมีพลังมากขึ้น

ขณะนี้ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกอย่างช้าๆ

ฉินเฟิงรู้ว่า ตัวเขาต้องเร่งความเร็วมากกว่านี้

ไม่เช่นนั้นดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า และท้องฟ้าจะมืดสนิท

ตอนนี้เขายังไม่มีความสามารถในการมองเห็นสิ่งต่างๆ ในความมืด

พอมืดก็จะมีงู แมลง หนู และสัตว์มีพิษมากมายที่อยู่ในป่าเเห่งนี้

มันจึงไม่เหมาะที่จะเดินบนภูเขาในเวลากลางคืน

ฉินเฟิงยืนขึ้น ปัดเศษดินเศษใบไม้บนตัวเอง และก้าวไปข้างหน้าต่อไป

เมื่อเขามาถึงยังทางแยก มีคนสามคนเดินมาจากถนนอีกสายหนึ่งเพื่อเข้าไปในภูเขา


คนที่เดินอยู่ด้านหน้าเป็นสาวสวยวัยยี่สิบต้นๆ เธอสวมชุดลำลองสีขาว

ถัดจากเธอก็เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูอายุใกล้เคียงกันกับเธอ เขาสวมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีเทา

ตามด้วยชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ชายคนนี้มีคิ้วหนา ดวงตากลมโตที่ดูเฉียบแหลม มองดูแล้วช่างประณีตและแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน

เป็นการผสมผสานที่น่าสนใจ

ฉินเฟิงรับรู้ได้ทันทีว่าสามคนตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดา

ทั้งสามคน น่าจะมีทักษะกังฟูอยู่เป็นแน่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายวัยกลางคนที่เดินปิดท้ายเขาดูทรงพลังเป็นอย่างมาก ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่ใช่น้อย

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชายวัยกลางคนผู้นี้สามารถเอาชีวิตฉินเฟิงได้โดยง่าย

แม้ว่าฉินเฟิงจะอยู่ในขั้นฝึกลมปราณระดับแรก แต่ในตอนนี้พลังในร่างกายต่ำและมีร่างกายที่อ่อนแอ เขาทำได้แค่แตะ ต่อยเท่าที่เขาเคยฝึกมาในชาติที่แล้ว

ดังนั้น หากมีหลายคนโจมตีเขาล่ะก็ ตัวเขาคงไม่สามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน

ยิ่งได้เห็นชายวัยกลางคนคนนี้ที่ดูเหมือนว่าจะมีความสามารถแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วไป

ฉินเฟิงก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ภายใน

แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายต้องต่อสู้จริงๆแล้วล่ะก็ ฉินเฟิงก็ยังมั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้
เพราะนี้ถือว่าเป็นความมั่นใจสำหรรับคนที่เป็นจักพรรดิเซียน

จากนั้น ฉินเฟิงมองไปยังสาวสวยที่อยู่ด้านหน้า

เขารู้ได้ทันทีว่าสาวสวยคนนี้จะต้องมีสถานะสูงที่สุด

ผมของเธอรวบไว้สูง ใบหน้าของเธอแสดงความเย็นชาออกมา รูปร่างของเธอสูงโปร่ง ใบหน้าแสดงความมุ่งมั่นซึ่งเป็นเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์

ไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อเขาเห็นผู้หญิงคนนี้ ฉินเฟิงกลับนึกถึงสาวผมหางม้าที่เขาพบที่ริมทะเลสาบของมหาวิทยาลัยคนนั้น

ไม่ใช่แค่หน้าตาเหมือนกันแต่ท่าทางยังเหมือนกันอีกด้วย

ถ้าพูดถึงรูปร่างหน้าตา ผู้หญิงตรงหน้าดูสวยกว่าเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงนั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่มีประสบการณ์มาเป็นพันปี ดังนั้น เขาจึงไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา เขาเพียงแค่เหลือบมอง และมุ่งหน้าเดินลึกเขาไปในภูเขาต่อไป

เมื่อฉินเฟิงมองไป พวกเขาทั้งสามก็สังเกตเห็นได้ทันที

ทั้งสองฝ่ายเดินผ่านกันที่ทางแยกบนถนนและไม่มีใครพูดหรือสนทนาอะไรซึ่งกันและกัน

ในขณะเดียวกัน ชายวัยกลางคนก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและหยุดอยู่ข้างผู้หญิง จ้องมองไปยังฉินเฟิงด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

เมื่อเขาเห็นฉินเฟิง เขาก็สัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นที่มีในใจต่อฉินเฟิง

ในฐานะผู้คุ้มกัน เป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องระมัดระวังคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างฉินเฟิง

หลังจากที่ฉินเฟิงเดินจากไป ชายวัยกลางคนที่มีความสามารถก็หันหน้าไปมองผู้หญิงแล้วพูดขึ้นเบา ๆ :

“คุณหนู คนนี้เป็นปรมาจารย์ คุณหนูต้องระวังเขาไว้!”

ผู้หญิงคนนี้มองไปยังฉินเฟิงที่กำลังเดินจากไปอย่างช้าๆ และส่ายหัว:

“ก็แค่คนเดินผ่าน กังวลเกินไปแล้ว”

“ปรมาจารย์แบบไหนกัน ฉันว่านะ เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่มาเดินภูเขา อย่างเขา แค่ไม่กี่กระบวนท่าฉันก็เอาชนะได้แล้ว” เมื่อได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังก็พูดขึ้นมาอย่างอวดดี

ทำให้ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าหันกลับมาและจ้องมองไปที่ชายหนุ่ม

เพียงแวบเดียวก็ทำให้ชายหนุ่มหดคอด้วยความหวาดกลัว

แต่ยังคงมีรอยยิ้มที่ฝืนแสดงออกมาบนใบหน้าของเขาและพูดว่า:

“พี่ครับ ผมผิดไปแล้ว!”



ในภูเขาที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ฉินเฟิงค่อยๆ สำรวจหาความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณ

โดยปกติแล้ว สถานที่ที่มีความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณสูงมีแนวโน้มที่จะสร้างสิ่งล้ำค่าได้มากกว่า

สถานที่ดังกล่าวนั้นเหมาะสำหรับนักพรตที่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียน

ยิ่งเวลาผ่านไป ฉินเฟิงก็ยิ่งเดินลึกเข้าไปในภูเขามากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อดวงอาทิตย์ลับฟ้า เขาก็มาถึงยังหน้าผาแห่งหนึ่ง

สถานที่แห่งนี้ เขาพบพลังทางจิตวิญญาณที่เข้มข้นและแข็งแกร่งมากที่สุดในตอนนี้

ความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณในสถานที่แห่งนี้สูงกว่าพลังทางจิตวิญญาณที่ริมทะเลสาบในมหาวิทยาลัยจงไห่ถึงสามเท่า

สถานที่มีชื่อเสียงต่างๆ ไม่ว่าจะภูเขา แม่น้ำ หรือป่าไม้ จากก็มีความแตกต่างของพลังทางจิตวิญญาณเช่นกัน

ความเร็วในการฝึกตกที่นี่จะเร็วกว่าการฝึกตนในมหาวิทยาลัยจงไห่มาก

จากการคาดเดาของฉินเฟิง หากเขาฝึกตนในที่แห่งนี้ แม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอะไรเลย เขาก็สามารถไปถึงขั้นสร้างรากฐานได้ภายในเวลาสองเดือน

แต่ช่องว่างของทั้งสองยังห่างไกล

ฉินเฟิงยืนอยู่บนขอบหน้าผาและก้มมองลงไปยังเหวลึกที่มืดมิดนั้น

เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณในที่แห่งนั้นจะสูงขึ้นอย่างแน่นอน

สาเหตุที่ความเข้มข้นของพลังทางจิตวิญญาณที่ขอบหน้าผาสูงกว่าที่อื่นอาจเกี่ยวข้องกับเหวนั้นด้วย

แต่ในเวลานี้ก็มืดแล้ว เขาไม่อาจเสี่ยงลงไปยังเหวลึกนั้นในเวลานี้ได้

ดังนั้น ฉินเฟิงจึงตัดสินใจฝึกตนอยู่บนขอบผาเป็นเวลาหนึ่งคืน

พรุ่งนี้เช้า เราจะไปยังก้นเหวเพื่อหาคำตอบกัน

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

817