บทที่ 4 น้ำรวมวิญญาณเผยหยวน สาวน้อยและมวยหย่งชุน
by ซีเย่ซีเยว่
08:01,Dec 24,2023
เวลาพลบค่ำ
ฉินเฟิงกลับไปยังก้อนหินก้อนใหญที่ตั้งตระหง่านริมทะเลสาบ เขาขึ้นไปนั่งขัดสมาธิดังเช่นเคยและฝึกตนอย่างเงียบๆ
เขาได้เลือกวิธีที่เหมาะสมแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือการฝึกฝน
ณ เมืองที่มีเสียงดังเช่นนี้ ในเวลากลางคืนพลังทางจิตวิญญาณจะมีความเข้มข้นสูงกว่าตอนกลางวัน
เนื่องจากว่าในตอนกลางวันผู้คนตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต ซึ่งจะทำให้พลังทางจิตวิญญาณนั้นมีอยู่ต่ำ
เป็นเพราะเหตุนี้ ฉินเฟิงจึงตัดสินใจใช้เวลากลางคืนอันมีค่าไปกับการฝึกตน
เมื่อแสงพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าในวันรุ่งขึ้น ฉินเฟิงจึงค่อยๆลืมตาขึ้นมา
จากนั้นก็สูดหายใจเข้าออกยาวๆ
เพื่อให้ร่างกายของตนเองสัมผัสกับความสดชื่นของอากาศยามเช้า
“คงจะดีมากถ้ามียาเม็ดเผยหยวน! ถ้ามีล่ะก็คงสามารถผ่านขึ้นฝึกลมปราณขั้นสองได้ทันที” ฉินเฟิงบ่นพึมพำกับตัวเอง
แต่ไม่ทันไรก็ต้องส่ายหัวให้กับความคิดนั้น ในสถานที่แห่งนี้ ไม่ต้องพูดถึงยาเม็ดเผยหยวน เกรงว่าแค่น้ำรวมวิญญาณเผยหยวนก็ยังไม่สามารถหาได้
ยาเม็ดเผยหยวน เป็นยาเม็ดที่เหล่านักพรตจะใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกในขั้นฝึกลมปราณและขั้นสร้างรากฐาน
เหล่านักพรตที่ใช้ในขั้นฝึกลมปราณจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีขึ้น และในขั้นสร้างรากฐานก็จะดีขึ้นไปอีก
หากมนุษย์ก็รับประทานยาเม็ดเผยหยวนเข้าไปล่ะก็ สรรพคุณของมันจะช่วยสร้างเสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย ขจัดโรคภัยที่มีอยู่ และเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้แก่ร่างกาย
นอกจากนี้มนุษย์ก็ที่รับประทานยาเม็ด อายุของเขาจะยืนยาวกว่าคนปกติสามถึงห้าปีเลยทีเดียว
และแน่นอนว่าสรรพคุณเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย และไม่มีโรคภัยแทรกซ้อนตามมา
แต่ไม่ว่าจะกินยาเม็ดเข้าไปมากแค่ไหน อายุขัยก็จะสามารถขยายสูงสุดได้ถึงสิบปี
เพราะท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็คือมนุษย์ ไม่ใช่เหล่านักพรตที่ฝึกตนเพื่อความเป็นอมตะ อายุขัยของมนุษย์จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มาก
แต่น้ำรวมวิญญาณเผยหยวนเป็นสิ่งที่เรียบง่ายกว่ายาเม็ด ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เหล่านักพรตจะต้องเตรียมไว้สำหรับขั้นฝึกลมปราณ
เนื่องจากในขั้นฝึกลมปราณ ร่างกายของเหล่านักพรตยังไม่มีศูนย์รวมจึงไม่สามารถควบคุมไฟ และไม่สามารถเล่นแร่แปลธาตุได้
หากต้องการเล่นแร่แปลธาตุแล้วล่ะก็ ปกติจะทำได้ในขั้นสร้างรากฐาน แต่ก็ต้องมีพรสวรรค์ในการเล่นแร่แปลธาตุในระดับหนึ่ง
ดังนั้น เหล่านักพรตที่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนในขั้นฝึกลมปราณจะสามารถใช้วัตถุดิบยาบางชนิดในการเล่นแร่แปรธาตุได้ แต่ก็ต้องต้มด้วยวิธีดั้งเดิมเพื่อให้น้ำรวมวิญญาณมีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ตามหลักความเป็นจริงแล้ว นักพรตที่ฝึกตนมาถึงขั้นสร้างรากฐาน การเตรียมน้ำรวมวิญญาณแห่งการฝึกตนก็ไม่ใช่เรื่องลำบากลำบนอะไร
เพราะในเวลานั้น เหล่านักพรตมีเวลาเพียงพอที่จะเตรียมทุกสิ่งอย่างเพื่อนำมาสกัดเอาแก่นแท้
น้ำรวมวิญญาณแห่งการฝึกตนที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ ดีกว่าการนำไปต้มเป็นไหนๆ
น่าเสียดายที่การบรรลุของฉินเฟิงยังอยู่ในขั้นฝึกลมปราณ
เขาจึงทำได้เพียงแค่คิด แต่ยังไม่สามารถลงมือทำมันได้
“หรือว่าควรเข้าไปหาในภูเขา อาจจะได้เจออะไรที่ไม่คาดคิดก็ได้”
ฉินเฟิงหันศีรษะและมองไปยังภูเขาที่อยู่ในระยะไกล เขาได้ตัดสินใจในทันที
จากนั้น มองดูเวลาในโทรศัพท์แล้วพูดขึ้นว่า:
“แต่คงต้องไปแล้ว คาบแรกดูเหมือนจะเริ่มตอน 9 โมง”
เมื่อเขาเดินออกมจากป่าหลิว เขาพบเข้ากับหญิงสาวในชุดสีขาวฝึกชกมวยอยู่ในที่โล่งริมทะเลสาบ
เธอมัดผมหางม้า ท่าทางดูทะมัดทะแมงมีความสามารถ
ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโก่งดั่งใบหลิว รูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางเย็นชา หญิงงามเช่นเธอคงยากที่จะพบเจอ
แม้ว่าท่าทางที่สาวผมหางม้าใช้จะยังดูเป็นมือสมัครเล่น แต่ก็ถือว่าความสามารถของเธอโดดเด่นเลยทีเดียว
เมื่อพิจารณาจากกระบวนท่าที่เธอแสดงออกมา ผู้ชายสามสี่คนที่ยืนจ้องมองเธออยู่ตรงนั้น ไม่เหมาะสมกับเธออย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟิงรู้สึกว่าท่าทางการชกมวยนั้นดูคุ้นเคยเสียเหลือเกิน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทักษะของเธอจะยอดเยี่ยม
เพราะในช่วงที่ผ่านมาฉินเฟิงไม่ได้สังเกตเห็นการมีตัวตนของเธอที่อยู่ตรงนี้เลย
แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่ถ้าเขาออกหมัดไป ก็สามารถเอาชนะสาวหางม้าคนนี้ได้ในกระบวนท่าเดียว
ดังนั้น ฉินเฟิงจึงมองเพียงชั่วครู่ จากนั้นส่ายหัวเบาๆ และเดินจากไป
ในขณะที่ฉินเฟิงมองไปสาวผมหางม้า สัญชาตญาณของเธอก็สามารถสัมผัสได้เองโดยธรรมชาติ ดังนั้นเธอจึงค่อยๆปล่อยกำปั้น และหันไปมองที่ฉินเฟิง
เธอบังเอิญหันไปเห็นตอนที่ฉินเฟิงกำลังส่ายหัว
เมื่อเห็นดังนั้น สาวผมหางม้าจึงถามออกไปว่า:
“คุณดูถูกกังฟูของฉันงั้นหรอ?”
ตอนนี้สาวผมหางม้าและฉินเฟิงอยู่ห่างกันเพียงสี่ ห้าเมตรเท่านั้น
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ฉินเฟิงหยุดและตอบอย่างใจเย็น
สาวผมหางม้าเดินไปหาฉินเฟิง จ้องไปที่เขาแล้วพูดว่า:
“โกหก ฉันเห็นคุณส่ายหัว สีหน้าของคุณมันฟ้องออกมาหมดแล้วว่าคุณดูถูก”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉินเฟิงก็รู้สึกตลกอยู่ภายในใจ
เขาส่ายหัวก็จริง แต่สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน
เขามั่นใจสุดๆ
ในฐานะสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ "มีชีวิตอยู่" มานับพันปี การแสดงออกทางสีหน้าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปรากฏ
แต่ตอนนี้สาวผมหางม้าคนนี้ได้"กล่าวอ้าง" ขึ้นมา ซึ่งมันน่าสนใจจริงๆ
ชั่วขณะหนึ่ง ความคิดต่างๆนาๆนับไม่ถ้วนไหลผ่านจิตใจของฉินเฟิง
เมื่อมองดูสาวสวยตรงหน้า เขาเห็นเหงื่อเย็นหลายเม็ดบนหน้าผากของเธอ ฉินเฟิงจึงพูดออกไปเบาๆว่า:
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกคุณ ผมแค่รู้สึกเสียดายนิดหน่อย”
“คุณหมายความว่าอะไร” เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงสาวก็สับสนเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพูดเหมือนนักเรียนที่ "กำลังแสวงหาความรู้" ฉินเฟิงจึงพูดอีกสองสามคำ:
"พูดตามตรง กังฟูของคุณค่อนข้างดีถ้าเทียบในหมู่คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณ
ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าทักษะเช่นนี้ คุณคงทุ่มเทไปอย่างมาก
แต่แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะดูดีแค่ไหน มันก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่
หากเป็นการต่อสู้จริงๆ คุณคงจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน "
เมื่อได้ยินดังนั้นสาวผมหางม้าก็ตกใจยิ่งกว่าเดิม
คำพูดเช่นนี้ไม่ใช่เเค่ฉินเฟิงเท่านั้นที่พูดกับเธอ แต่ปู่และพ่อของเธอก็เคยพูดเช่นนี้กับเธอเช่นกัน
และมันไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
สาวผมหางม้ารู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง เธอก้มหน้าลง
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ “เริ่มต่อสู้"
“ถ้าอย่างนั้นเรามาลองต่อสู้กันจริงๆดูไหม”
เมื่อเห็นการกระทำของหญิงสาว ฉินเฟิงก็ประหลาดเล็กน้อยเช่นกัน
“คุณอยากต่อสู้กับผมเหรอ?”
พูดตามตรง การกระทำเช่นนี้ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกสนใจขึ้นมา
ตัวเขาไม่เคยนับจำนวนคนที่พ่ายแพ้แก้เขา
หรือจะพูดให้ชัดคือเขาเลิกนับจำนวนคนที่พ่ายแพ้ต่อเขาไปนานแล้ว
ประสบการณ์นับพันปีในพิภพเซียน รอยเท้าของเขาได้เยื้องย่างไปทั่วสวรรค์และพิภพ มือของเขานั้นก็เปื้อนเลือดผู้คนนับไม่ถ้วน….
“อะไรกัน? เมื่อกี้คุณยังพูดอยู่เลยว่าถ้าเกิดต้องต่อสู้จริงๆขึ้นมา ฉันจะแพ้ แล้วตอนนี้เป็นอะไรไป คุณกลัวงั้นหรอ?” สามผมหางม้าเลิกคิ้วขึ้นเป็นการท้าทาย
“ฮ่าฮ่า...” ฉินเฟิงหัวเราะเบา ๆ “ไม่เห็นจะต้องพูดยั่วยุกันเลย ผมไม่ได้ออกแรงมานานแล้ว อยากลองสักตั้งเหมือนกัน”
พูดตามตรง จู่ๆ ฉินเฟิงก็เริ่มสนใจ “การต่อสู้” นี้ขึ้นมา
มันเหมือนกับคนที่กินปลามาทุกวัน จู่ๆ วันดีคืนดีก็ได้เนื้อชิ้นใหญ่มากินแทน
ช่างเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากนัก
สาวผมหางม้าดีใจมากเมื่อได้ยินว่าฉินเฟิงเห็นด้วย
แต่เมื่อเธอเห็นว่าฉินเฟิงไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เธอก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยมือของเธอลง ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า:
“ไม่ต่อสู้เหรอ ทำไมถึงไม่ตั้งท่า”
“ผมพร้อมเสมอ” ฉินเฟิงยิ้มและกางมือออก
"อวดดีจังนะ!"
เมื่อเห็นเช่นนี้ สาวผมหางม้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธขึ้นมา
ขาของเธอแยกออกจากกัน เข่างอลงเล็กน้อย และมือก็กางออกแบนบนหน้าอก
เธอมองตรงไปข้างหน้า จ้องมองไปที่ฉินเฟิงและพูดช้าๆ:
"หย่งชุน หมัดสั่นสะท้านบู๊ลิ้ม,เย่หลินน่า!”
เมื่อสิ้นสุดเสียง ในที่สุดฉินเฟิงก็รู้ทันทีว่าทำไมกระบวนท่าของเธอถึงดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
ปรากฎว่ากระบวนท่าที่เธอฝึกอยู่นั้นคือมวยหย่งชุนอันเลื่องชื่อลือชา ซึ่งเป็นกระบวนท่าที่โด่งดังไปทั่วโลก
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นการกระบวนท่าประเภทนี้ต่อหน้ามาก่อน แต่เขาเคยเห็นมันบ่อยครั้งในโทรทัศน์
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนับพันปี แต่ความทรงจำเหล่านั้นยังคงชัดเจน
และเนื่องจากกระบวนท่าที่เธอฝึกนั้นต่างจากในโทรทัศน์อยู่พอสมควร จึงทำให้ฉินเฟิงนึกไม่ออกในทีแรก
แต่ถ้าลองไตร่ตรองให้ดี ทุกอย่างที่ถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ล้วนเป็นเพียงมายาเพื่อเรียกความสนใจ ในชีวิตจริง สิ่งเหล่านี้ใช้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น สาวผมหางม้าคนนี้ยังกล่าวแซ่ของตระกูลตนเอง ทำให้ฉินเฟิงรู้จักชื่อของเธอไปด้วย เย่หลินน่า
“แซ่เย่งั้นหรอ หรือว่าเป็นลูกหลานของปรมาจารย์เย่กัน?” ฉินเฟิงได้แต่คิดเงียบๆอยู่ภายในใจ
“ฉินจิ่วเฉิน เชิญ!”
ฉินเฟิงยิ้มและพูดบางอย่างออกไป
เมื่อต่อสู้กับผู้อื่น ฉินเฟิงชอบที่จะใช้ชื่อ"ฉินจิ่วเฉิน"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่หลินน่าก็เตรียมตัวใหม่อีกครั้ง เธอขยับเท้าและก้าวไปหาฉินเฟิง
เมื่อร่างกายของเธอกำลังจะสัมผัสกับฉินเฟิง เธอป้องกันตัวด้วยมือซ้ายและใช้มือขวาโจมตีด้วยความเร็วสูง
เย่หลินน่าเต็มไปด้วยความมั่นใจในขณะที่โจมตีคู่ต่อสู้
แต่ทันใดนั้นเธอก็พบว่าฉินเฟิงที่อยู่ตรงหน้ากลับเผยรอยยิ้มแปลกๆออกมา
ไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น เธอก็รู้สึกถึงสัญญาณเตือนบางอย่างโผล่ขึ้นมาในใจ
ถึงอย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของเธอนั้นมีชั้นเชิงเป็นอย่างมาก ดูแล้วไม่มีข้อบกพร่องแต่อย่างไร
ในขณะที่เธอมั่นใจ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกราวกับว่ามือขวาของเธอถูกหนีบและเท้าขวาของเธอก็เจ็บแปล๊บขึ้นมา
เธอเสียการทรงตัวและล้มลงไปทางขวาทันที
เย่หลินน่าล้มลงบนสนามหญ้า
"คุณแพ้แล้ว!"
เสียงของฉินเฟิงลอยมากระทบโสตประสาทของเธออย่างแผ่วเบา
เย่หลินน่าหันศีรษะไปมอง และเห็นฉินเฟิงมองเธอด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย
“เป็นไปได้ยังไงกัน?คุณทำได้ยังไง?”
เย่หลินน่าลุกขึ้นทันทีและมองไปยังฉินเฟิงด้วยความสับสน
พลังโจมตีของฉินเฟิงนั้นเบามาก เบากว่าคนปกติทั่วไป
ไม่เช่นนั้นเย่หลินน่าคงรู้สึกตัวและโต้ตอบกลับได้
เมื่อเห็นใบหน้าที่งุนงงของเย่หลินน่า ฉินเฟิงก็พอใจและอธิบายว่า:
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แค่คุณไม่เคยเห็นมันมาก่อน
ส่วนวิธีก็พูดออกไปหมดแล้ว
คุณไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้จริงๆ และกระบวนท่าของคุณยังมีข้อบกพร่องอยู่
ตราบใดที่คู่ต่อสู้จับข้อบกพร่องของคุณได้ ต่อให้จะเป็นข้อบกพร่องเดียว คุณก็สามารถถูกฆ่าได้ทันที
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คุณมีข้อบกพร่องเยอะเเยะเต็มไปหมด มันเลยง่ายที่จะเอาชนะคุณ
เย่หลินน่าไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจกับความพ่ายแพ้ จึงทำให้ฉินเฟิงพูดเเนะนำออกไปสองสามประโยค
หากท่าทีของเย่หลินน่าดูไม่พอใจ ฉินเฟิงคงจะไม่พูดอะไรออกไปและจะหันหลังจากไปอย่างแน่นอน
หลังจากที่ฉินเฟิงพูดจบ เขาก็ยิ้มให้แล้วหันหลังเดินจากไป
เขาเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เสียงของเย่หลินน่าก็ดังขึ้นไล่หลังเขา:
"เดี๋ยวก่อน"
“อะไรกัน อยากจะสู้อีกครั้งงั้นหรอ?” ฉินเฟิงหันกลับมาและมองเธอด้วยรอยยิ้ม
เย่หลินน่าส่ายหัว: "ไม่ใช่อย่างนั้น ทักษะของฉันกับคุณต่างกันมาก ฉันอยากให้คุณสอนกระบวนท่าให้ฉัน เพื่อให้ฉันได้พัฒนาขึ้นไปมากกว่านี้"
“ผมพูดถึงการต่อสู้จริงๆ และตัวคุณก็ได้ฝึกฝนมันจากการต่อสู้จริงๆ” ฉินเฟิงส่ายหัวและตอบ
จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว หยุดและพูดช้าๆ:
“ผมเกือบลืมบอกคุณไป ว่าถ้าคุณต้องการพัฒนาทักษะการต่อสู้ที่แท้จริง คุณควรเลือกคนที่มีความแข็งแกร่งระดับเดียวกับคุณ
ผู้ที่อ่อนแอเกินไปและผู้ที่เข้มแข็งเกินไป ต่างไม่ใช่คู่ฝึกที่ดี
หากคุณอ่อนแอเกินไป ผู้ที่มีความแข็งแกร่งจะสามารถเอาชนะได้ในคราเดียว
หากคุณแข็งแกร่งเกินไป ตัวคุณก็จะไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง
นี้เป็นคำแนะนำที่ผมจะให้ไว้กับคุณ อีกอย่างไม่จำเป็นจะต้องขอบคุณผม"
ก่อนจากไป ฉินเฟิงโบกมือลาและหันหลังเดินจากไปอย่างช้าๆ
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของฉินเฟิง เย่หลินน่าก็แอบกัดฟัน แล้วพูดว่า:
“ฉินจิ่วเฉิน ฉันจำคุณได้!”
ฉินเฟิงกลับไปยังก้อนหินก้อนใหญที่ตั้งตระหง่านริมทะเลสาบ เขาขึ้นไปนั่งขัดสมาธิดังเช่นเคยและฝึกตนอย่างเงียบๆ
เขาได้เลือกวิธีที่เหมาะสมแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือการฝึกฝน
ณ เมืองที่มีเสียงดังเช่นนี้ ในเวลากลางคืนพลังทางจิตวิญญาณจะมีความเข้มข้นสูงกว่าตอนกลางวัน
เนื่องจากว่าในตอนกลางวันผู้คนตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต ซึ่งจะทำให้พลังทางจิตวิญญาณนั้นมีอยู่ต่ำ
เป็นเพราะเหตุนี้ ฉินเฟิงจึงตัดสินใจใช้เวลากลางคืนอันมีค่าไปกับการฝึกตน
เมื่อแสงพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าในวันรุ่งขึ้น ฉินเฟิงจึงค่อยๆลืมตาขึ้นมา
จากนั้นก็สูดหายใจเข้าออกยาวๆ
เพื่อให้ร่างกายของตนเองสัมผัสกับความสดชื่นของอากาศยามเช้า
“คงจะดีมากถ้ามียาเม็ดเผยหยวน! ถ้ามีล่ะก็คงสามารถผ่านขึ้นฝึกลมปราณขั้นสองได้ทันที” ฉินเฟิงบ่นพึมพำกับตัวเอง
แต่ไม่ทันไรก็ต้องส่ายหัวให้กับความคิดนั้น ในสถานที่แห่งนี้ ไม่ต้องพูดถึงยาเม็ดเผยหยวน เกรงว่าแค่น้ำรวมวิญญาณเผยหยวนก็ยังไม่สามารถหาได้
ยาเม็ดเผยหยวน เป็นยาเม็ดที่เหล่านักพรตจะใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกในขั้นฝึกลมปราณและขั้นสร้างรากฐาน
เหล่านักพรตที่ใช้ในขั้นฝึกลมปราณจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีขึ้น และในขั้นสร้างรากฐานก็จะดีขึ้นไปอีก
หากมนุษย์ก็รับประทานยาเม็ดเผยหยวนเข้าไปล่ะก็ สรรพคุณของมันจะช่วยสร้างเสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย ขจัดโรคภัยที่มีอยู่ และเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้แก่ร่างกาย
นอกจากนี้มนุษย์ก็ที่รับประทานยาเม็ด อายุของเขาจะยืนยาวกว่าคนปกติสามถึงห้าปีเลยทีเดียว
และแน่นอนว่าสรรพคุณเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย และไม่มีโรคภัยแทรกซ้อนตามมา
แต่ไม่ว่าจะกินยาเม็ดเข้าไปมากแค่ไหน อายุขัยก็จะสามารถขยายสูงสุดได้ถึงสิบปี
เพราะท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็คือมนุษย์ ไม่ใช่เหล่านักพรตที่ฝึกตนเพื่อความเป็นอมตะ อายุขัยของมนุษย์จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มาก
แต่น้ำรวมวิญญาณเผยหยวนเป็นสิ่งที่เรียบง่ายกว่ายาเม็ด ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เหล่านักพรตจะต้องเตรียมไว้สำหรับขั้นฝึกลมปราณ
เนื่องจากในขั้นฝึกลมปราณ ร่างกายของเหล่านักพรตยังไม่มีศูนย์รวมจึงไม่สามารถควบคุมไฟ และไม่สามารถเล่นแร่แปลธาตุได้
หากต้องการเล่นแร่แปลธาตุแล้วล่ะก็ ปกติจะทำได้ในขั้นสร้างรากฐาน แต่ก็ต้องมีพรสวรรค์ในการเล่นแร่แปลธาตุในระดับหนึ่ง
ดังนั้น เหล่านักพรตที่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนในขั้นฝึกลมปราณจะสามารถใช้วัตถุดิบยาบางชนิดในการเล่นแร่แปรธาตุได้ แต่ก็ต้องต้มด้วยวิธีดั้งเดิมเพื่อให้น้ำรวมวิญญาณมีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ตามหลักความเป็นจริงแล้ว นักพรตที่ฝึกตนมาถึงขั้นสร้างรากฐาน การเตรียมน้ำรวมวิญญาณแห่งการฝึกตนก็ไม่ใช่เรื่องลำบากลำบนอะไร
เพราะในเวลานั้น เหล่านักพรตมีเวลาเพียงพอที่จะเตรียมทุกสิ่งอย่างเพื่อนำมาสกัดเอาแก่นแท้
น้ำรวมวิญญาณแห่งการฝึกตนที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ ดีกว่าการนำไปต้มเป็นไหนๆ
น่าเสียดายที่การบรรลุของฉินเฟิงยังอยู่ในขั้นฝึกลมปราณ
เขาจึงทำได้เพียงแค่คิด แต่ยังไม่สามารถลงมือทำมันได้
“หรือว่าควรเข้าไปหาในภูเขา อาจจะได้เจออะไรที่ไม่คาดคิดก็ได้”
ฉินเฟิงหันศีรษะและมองไปยังภูเขาที่อยู่ในระยะไกล เขาได้ตัดสินใจในทันที
จากนั้น มองดูเวลาในโทรศัพท์แล้วพูดขึ้นว่า:
“แต่คงต้องไปแล้ว คาบแรกดูเหมือนจะเริ่มตอน 9 โมง”
เมื่อเขาเดินออกมจากป่าหลิว เขาพบเข้ากับหญิงสาวในชุดสีขาวฝึกชกมวยอยู่ในที่โล่งริมทะเลสาบ
เธอมัดผมหางม้า ท่าทางดูทะมัดทะแมงมีความสามารถ
ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโก่งดั่งใบหลิว รูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางเย็นชา หญิงงามเช่นเธอคงยากที่จะพบเจอ
แม้ว่าท่าทางที่สาวผมหางม้าใช้จะยังดูเป็นมือสมัครเล่น แต่ก็ถือว่าความสามารถของเธอโดดเด่นเลยทีเดียว
เมื่อพิจารณาจากกระบวนท่าที่เธอแสดงออกมา ผู้ชายสามสี่คนที่ยืนจ้องมองเธออยู่ตรงนั้น ไม่เหมาะสมกับเธออย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟิงรู้สึกว่าท่าทางการชกมวยนั้นดูคุ้นเคยเสียเหลือเกิน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทักษะของเธอจะยอดเยี่ยม
เพราะในช่วงที่ผ่านมาฉินเฟิงไม่ได้สังเกตเห็นการมีตัวตนของเธอที่อยู่ตรงนี้เลย
แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่ถ้าเขาออกหมัดไป ก็สามารถเอาชนะสาวหางม้าคนนี้ได้ในกระบวนท่าเดียว
ดังนั้น ฉินเฟิงจึงมองเพียงชั่วครู่ จากนั้นส่ายหัวเบาๆ และเดินจากไป
ในขณะที่ฉินเฟิงมองไปสาวผมหางม้า สัญชาตญาณของเธอก็สามารถสัมผัสได้เองโดยธรรมชาติ ดังนั้นเธอจึงค่อยๆปล่อยกำปั้น และหันไปมองที่ฉินเฟิง
เธอบังเอิญหันไปเห็นตอนที่ฉินเฟิงกำลังส่ายหัว
เมื่อเห็นดังนั้น สาวผมหางม้าจึงถามออกไปว่า:
“คุณดูถูกกังฟูของฉันงั้นหรอ?”
ตอนนี้สาวผมหางม้าและฉินเฟิงอยู่ห่างกันเพียงสี่ ห้าเมตรเท่านั้น
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ฉินเฟิงหยุดและตอบอย่างใจเย็น
สาวผมหางม้าเดินไปหาฉินเฟิง จ้องไปที่เขาแล้วพูดว่า:
“โกหก ฉันเห็นคุณส่ายหัว สีหน้าของคุณมันฟ้องออกมาหมดแล้วว่าคุณดูถูก”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉินเฟิงก็รู้สึกตลกอยู่ภายในใจ
เขาส่ายหัวก็จริง แต่สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน
เขามั่นใจสุดๆ
ในฐานะสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ "มีชีวิตอยู่" มานับพันปี การแสดงออกทางสีหน้าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปรากฏ
แต่ตอนนี้สาวผมหางม้าคนนี้ได้"กล่าวอ้าง" ขึ้นมา ซึ่งมันน่าสนใจจริงๆ
ชั่วขณะหนึ่ง ความคิดต่างๆนาๆนับไม่ถ้วนไหลผ่านจิตใจของฉินเฟิง
เมื่อมองดูสาวสวยตรงหน้า เขาเห็นเหงื่อเย็นหลายเม็ดบนหน้าผากของเธอ ฉินเฟิงจึงพูดออกไปเบาๆว่า:
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกคุณ ผมแค่รู้สึกเสียดายนิดหน่อย”
“คุณหมายความว่าอะไร” เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงสาวก็สับสนเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพูดเหมือนนักเรียนที่ "กำลังแสวงหาความรู้" ฉินเฟิงจึงพูดอีกสองสามคำ:
"พูดตามตรง กังฟูของคุณค่อนข้างดีถ้าเทียบในหมู่คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณ
ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าทักษะเช่นนี้ คุณคงทุ่มเทไปอย่างมาก
แต่แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะดูดีแค่ไหน มันก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่
หากเป็นการต่อสู้จริงๆ คุณคงจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน "
เมื่อได้ยินดังนั้นสาวผมหางม้าก็ตกใจยิ่งกว่าเดิม
คำพูดเช่นนี้ไม่ใช่เเค่ฉินเฟิงเท่านั้นที่พูดกับเธอ แต่ปู่และพ่อของเธอก็เคยพูดเช่นนี้กับเธอเช่นกัน
และมันไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
สาวผมหางม้ารู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง เธอก้มหน้าลง
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ “เริ่มต่อสู้"
“ถ้าอย่างนั้นเรามาลองต่อสู้กันจริงๆดูไหม”
เมื่อเห็นการกระทำของหญิงสาว ฉินเฟิงก็ประหลาดเล็กน้อยเช่นกัน
“คุณอยากต่อสู้กับผมเหรอ?”
พูดตามตรง การกระทำเช่นนี้ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกสนใจขึ้นมา
ตัวเขาไม่เคยนับจำนวนคนที่พ่ายแพ้แก้เขา
หรือจะพูดให้ชัดคือเขาเลิกนับจำนวนคนที่พ่ายแพ้ต่อเขาไปนานแล้ว
ประสบการณ์นับพันปีในพิภพเซียน รอยเท้าของเขาได้เยื้องย่างไปทั่วสวรรค์และพิภพ มือของเขานั้นก็เปื้อนเลือดผู้คนนับไม่ถ้วน….
“อะไรกัน? เมื่อกี้คุณยังพูดอยู่เลยว่าถ้าเกิดต้องต่อสู้จริงๆขึ้นมา ฉันจะแพ้ แล้วตอนนี้เป็นอะไรไป คุณกลัวงั้นหรอ?” สามผมหางม้าเลิกคิ้วขึ้นเป็นการท้าทาย
“ฮ่าฮ่า...” ฉินเฟิงหัวเราะเบา ๆ “ไม่เห็นจะต้องพูดยั่วยุกันเลย ผมไม่ได้ออกแรงมานานแล้ว อยากลองสักตั้งเหมือนกัน”
พูดตามตรง จู่ๆ ฉินเฟิงก็เริ่มสนใจ “การต่อสู้” นี้ขึ้นมา
มันเหมือนกับคนที่กินปลามาทุกวัน จู่ๆ วันดีคืนดีก็ได้เนื้อชิ้นใหญ่มากินแทน
ช่างเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากนัก
สาวผมหางม้าดีใจมากเมื่อได้ยินว่าฉินเฟิงเห็นด้วย
แต่เมื่อเธอเห็นว่าฉินเฟิงไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เธอก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยมือของเธอลง ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า:
“ไม่ต่อสู้เหรอ ทำไมถึงไม่ตั้งท่า”
“ผมพร้อมเสมอ” ฉินเฟิงยิ้มและกางมือออก
"อวดดีจังนะ!"
เมื่อเห็นเช่นนี้ สาวผมหางม้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธขึ้นมา
ขาของเธอแยกออกจากกัน เข่างอลงเล็กน้อย และมือก็กางออกแบนบนหน้าอก
เธอมองตรงไปข้างหน้า จ้องมองไปที่ฉินเฟิงและพูดช้าๆ:
"หย่งชุน หมัดสั่นสะท้านบู๊ลิ้ม,เย่หลินน่า!”
เมื่อสิ้นสุดเสียง ในที่สุดฉินเฟิงก็รู้ทันทีว่าทำไมกระบวนท่าของเธอถึงดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
ปรากฎว่ากระบวนท่าที่เธอฝึกอยู่นั้นคือมวยหย่งชุนอันเลื่องชื่อลือชา ซึ่งเป็นกระบวนท่าที่โด่งดังไปทั่วโลก
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นการกระบวนท่าประเภทนี้ต่อหน้ามาก่อน แต่เขาเคยเห็นมันบ่อยครั้งในโทรทัศน์
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนับพันปี แต่ความทรงจำเหล่านั้นยังคงชัดเจน
และเนื่องจากกระบวนท่าที่เธอฝึกนั้นต่างจากในโทรทัศน์อยู่พอสมควร จึงทำให้ฉินเฟิงนึกไม่ออกในทีแรก
แต่ถ้าลองไตร่ตรองให้ดี ทุกอย่างที่ถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ล้วนเป็นเพียงมายาเพื่อเรียกความสนใจ ในชีวิตจริง สิ่งเหล่านี้ใช้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น สาวผมหางม้าคนนี้ยังกล่าวแซ่ของตระกูลตนเอง ทำให้ฉินเฟิงรู้จักชื่อของเธอไปด้วย เย่หลินน่า
“แซ่เย่งั้นหรอ หรือว่าเป็นลูกหลานของปรมาจารย์เย่กัน?” ฉินเฟิงได้แต่คิดเงียบๆอยู่ภายในใจ
“ฉินจิ่วเฉิน เชิญ!”
ฉินเฟิงยิ้มและพูดบางอย่างออกไป
เมื่อต่อสู้กับผู้อื่น ฉินเฟิงชอบที่จะใช้ชื่อ"ฉินจิ่วเฉิน"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่หลินน่าก็เตรียมตัวใหม่อีกครั้ง เธอขยับเท้าและก้าวไปหาฉินเฟิง
เมื่อร่างกายของเธอกำลังจะสัมผัสกับฉินเฟิง เธอป้องกันตัวด้วยมือซ้ายและใช้มือขวาโจมตีด้วยความเร็วสูง
เย่หลินน่าเต็มไปด้วยความมั่นใจในขณะที่โจมตีคู่ต่อสู้
แต่ทันใดนั้นเธอก็พบว่าฉินเฟิงที่อยู่ตรงหน้ากลับเผยรอยยิ้มแปลกๆออกมา
ไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น เธอก็รู้สึกถึงสัญญาณเตือนบางอย่างโผล่ขึ้นมาในใจ
ถึงอย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของเธอนั้นมีชั้นเชิงเป็นอย่างมาก ดูแล้วไม่มีข้อบกพร่องแต่อย่างไร
ในขณะที่เธอมั่นใจ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกราวกับว่ามือขวาของเธอถูกหนีบและเท้าขวาของเธอก็เจ็บแปล๊บขึ้นมา
เธอเสียการทรงตัวและล้มลงไปทางขวาทันที
เย่หลินน่าล้มลงบนสนามหญ้า
"คุณแพ้แล้ว!"
เสียงของฉินเฟิงลอยมากระทบโสตประสาทของเธออย่างแผ่วเบา
เย่หลินน่าหันศีรษะไปมอง และเห็นฉินเฟิงมองเธอด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย
“เป็นไปได้ยังไงกัน?คุณทำได้ยังไง?”
เย่หลินน่าลุกขึ้นทันทีและมองไปยังฉินเฟิงด้วยความสับสน
พลังโจมตีของฉินเฟิงนั้นเบามาก เบากว่าคนปกติทั่วไป
ไม่เช่นนั้นเย่หลินน่าคงรู้สึกตัวและโต้ตอบกลับได้
เมื่อเห็นใบหน้าที่งุนงงของเย่หลินน่า ฉินเฟิงก็พอใจและอธิบายว่า:
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แค่คุณไม่เคยเห็นมันมาก่อน
ส่วนวิธีก็พูดออกไปหมดแล้ว
คุณไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้จริงๆ และกระบวนท่าของคุณยังมีข้อบกพร่องอยู่
ตราบใดที่คู่ต่อสู้จับข้อบกพร่องของคุณได้ ต่อให้จะเป็นข้อบกพร่องเดียว คุณก็สามารถถูกฆ่าได้ทันที
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คุณมีข้อบกพร่องเยอะเเยะเต็มไปหมด มันเลยง่ายที่จะเอาชนะคุณ
เย่หลินน่าไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจกับความพ่ายแพ้ จึงทำให้ฉินเฟิงพูดเเนะนำออกไปสองสามประโยค
หากท่าทีของเย่หลินน่าดูไม่พอใจ ฉินเฟิงคงจะไม่พูดอะไรออกไปและจะหันหลังจากไปอย่างแน่นอน
หลังจากที่ฉินเฟิงพูดจบ เขาก็ยิ้มให้แล้วหันหลังเดินจากไป
เขาเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เสียงของเย่หลินน่าก็ดังขึ้นไล่หลังเขา:
"เดี๋ยวก่อน"
“อะไรกัน อยากจะสู้อีกครั้งงั้นหรอ?” ฉินเฟิงหันกลับมาและมองเธอด้วยรอยยิ้ม
เย่หลินน่าส่ายหัว: "ไม่ใช่อย่างนั้น ทักษะของฉันกับคุณต่างกันมาก ฉันอยากให้คุณสอนกระบวนท่าให้ฉัน เพื่อให้ฉันได้พัฒนาขึ้นไปมากกว่านี้"
“ผมพูดถึงการต่อสู้จริงๆ และตัวคุณก็ได้ฝึกฝนมันจากการต่อสู้จริงๆ” ฉินเฟิงส่ายหัวและตอบ
จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว หยุดและพูดช้าๆ:
“ผมเกือบลืมบอกคุณไป ว่าถ้าคุณต้องการพัฒนาทักษะการต่อสู้ที่แท้จริง คุณควรเลือกคนที่มีความแข็งแกร่งระดับเดียวกับคุณ
ผู้ที่อ่อนแอเกินไปและผู้ที่เข้มแข็งเกินไป ต่างไม่ใช่คู่ฝึกที่ดี
หากคุณอ่อนแอเกินไป ผู้ที่มีความแข็งแกร่งจะสามารถเอาชนะได้ในคราเดียว
หากคุณแข็งแกร่งเกินไป ตัวคุณก็จะไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง
นี้เป็นคำแนะนำที่ผมจะให้ไว้กับคุณ อีกอย่างไม่จำเป็นจะต้องขอบคุณผม"
ก่อนจากไป ฉินเฟิงโบกมือลาและหันหลังเดินจากไปอย่างช้าๆ
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของฉินเฟิง เย่หลินน่าก็แอบกัดฟัน แล้วพูดว่า:
“ฉินจิ่วเฉิน ฉันจำคุณได้!”
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved