บทที่ 4 น้ำรวมวิญญาณเผยหยวน สาวน้อยและมวยหย่งชุน

เวลาพลบค่ำ

ฉินเฟิงกลับไปยังก้อนหินก้อนใหญที่ตั้งตระหง่านริมทะเลสาบ เขาขึ้นไปนั่งขัดสมาธิดังเช่นเคยและฝึกตนอย่างเงียบๆ

เขาได้เลือกวิธีที่เหมาะสมแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือการฝึกฝน

ณ เมืองที่มีเสียงดังเช่นนี้ ในเวลากลางคืนพลังทางจิตวิญญาณจะมีความเข้มข้นสูงกว่าตอนกลางวัน

เนื่องจากว่าในตอนกลางวันผู้คนตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต ซึ่งจะทำให้พลังทางจิตวิญญาณนั้นมีอยู่ต่ำ

เป็นเพราะเหตุนี้ ฉินเฟิงจึงตัดสินใจใช้เวลากลางคืนอันมีค่าไปกับการฝึกตน

เมื่อแสงพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าในวันรุ่งขึ้น ฉินเฟิงจึงค่อยๆลืมตาขึ้นมา

จากนั้นก็สูดหายใจเข้าออกยาวๆ

เพื่อให้ร่างกายของตนเองสัมผัสกับความสดชื่นของอากาศยามเช้า

“คงจะดีมากถ้ามียาเม็ดเผยหยวน! ถ้ามีล่ะก็คงสามารถผ่านขึ้นฝึกลมปราณขั้นสองได้ทันที” ฉินเฟิงบ่นพึมพำกับตัวเอง

แต่ไม่ทันไรก็ต้องส่ายหัวให้กับความคิดนั้น ในสถานที่แห่งนี้ ไม่ต้องพูดถึงยาเม็ดเผยหยวน เกรงว่าแค่น้ำรวมวิญญาณเผยหยวนก็ยังไม่สามารถหาได้

ยาเม็ดเผยหยวน เป็นยาเม็ดที่เหล่านักพรตจะใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกในขั้นฝึกลมปราณและขั้นสร้างรากฐาน

เหล่านักพรตที่ใช้ในขั้นฝึกลมปราณจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีขึ้น และในขั้นสร้างรากฐานก็จะดีขึ้นไปอีก

หากมนุษย์ก็รับประทานยาเม็ดเผยหยวนเข้าไปล่ะก็ สรรพคุณของมันจะช่วยสร้างเสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย ขจัดโรคภัยที่มีอยู่ และเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้แก่ร่างกาย

นอกจากนี้มนุษย์ก็ที่รับประทานยาเม็ด อายุของเขาจะยืนยาวกว่าคนปกติสามถึงห้าปีเลยทีเดียว

และแน่นอนว่าสรรพคุณเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย และไม่มีโรคภัยแทรกซ้อนตามมา

แต่ไม่ว่าจะกินยาเม็ดเข้าไปมากแค่ไหน อายุขัยก็จะสามารถขยายสูงสุดได้ถึงสิบปี

เพราะท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็คือมนุษย์ ไม่ใช่เหล่านักพรตที่ฝึกตนเพื่อความเป็นอมตะ อายุขัยของมนุษย์จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มาก

แต่น้ำรวมวิญญาณเผยหยวนเป็นสิ่งที่เรียบง่ายกว่ายาเม็ด ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เหล่านักพรตจะต้องเตรียมไว้สำหรับขั้นฝึกลมปราณ

เนื่องจากในขั้นฝึกลมปราณ ร่างกายของเหล่านักพรตยังไม่มีศูนย์รวมจึงไม่สามารถควบคุมไฟ และไม่สามารถเล่นแร่แปลธาตุได้

หากต้องการเล่นแร่แปลธาตุแล้วล่ะก็ ปกติจะทำได้ในขั้นสร้างรากฐาน แต่ก็ต้องมีพรสวรรค์ในการเล่นแร่แปลธาตุในระดับหนึ่ง

ดังนั้น เหล่านักพรตที่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนในขั้นฝึกลมปราณจะสามารถใช้วัตถุดิบยาบางชนิดในการเล่นแร่แปรธาตุได้ แต่ก็ต้องต้มด้วยวิธีดั้งเดิมเพื่อให้น้ำรวมวิญญาณมีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ตามหลักความเป็นจริงแล้ว นักพรตที่ฝึกตนมาถึงขั้นสร้างรากฐาน การเตรียมน้ำรวมวิญญาณแห่งการฝึกตนก็ไม่ใช่เรื่องลำบากลำบนอะไร

เพราะในเวลานั้น เหล่านักพรตมีเวลาเพียงพอที่จะเตรียมทุกสิ่งอย่างเพื่อนำมาสกัดเอาแก่นแท้

น้ำรวมวิญญาณแห่งการฝึกตนที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ ดีกว่าการนำไปต้มเป็นไหนๆ

น่าเสียดายที่การบรรลุของฉินเฟิงยังอยู่ในขั้นฝึกลมปราณ

เขาจึงทำได้เพียงแค่คิด แต่ยังไม่สามารถลงมือทำมันได้

“หรือว่าควรเข้าไปหาในภูเขา อาจจะได้เจออะไรที่ไม่คาดคิดก็ได้”

ฉินเฟิงหันศีรษะและมองไปยังภูเขาที่อยู่ในระยะไกล เขาได้ตัดสินใจในทันที

จากนั้น มองดูเวลาในโทรศัพท์แล้วพูดขึ้นว่า:

“แต่คงต้องไปแล้ว คาบแรกดูเหมือนจะเริ่มตอน 9 โมง”

เมื่อเขาเดินออกมจากป่าหลิว เขาพบเข้ากับหญิงสาวในชุดสีขาวฝึกชกมวยอยู่ในที่โล่งริมทะเลสาบ

เธอมัดผมหางม้า ท่าทางดูทะมัดทะแมงมีความสามารถ

ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโก่งดั่งใบหลิว รูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางเย็นชา หญิงงามเช่นเธอคงยากที่จะพบเจอ

แม้ว่าท่าทางที่สาวผมหางม้าใช้จะยังดูเป็นมือสมัครเล่น แต่ก็ถือว่าความสามารถของเธอโดดเด่นเลยทีเดียว

เมื่อพิจารณาจากกระบวนท่าที่เธอแสดงออกมา ผู้ชายสามสี่คนที่ยืนจ้องมองเธออยู่ตรงนั้น ไม่เหมาะสมกับเธออย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟิงรู้สึกว่าท่าทางการชกมวยนั้นดูคุ้นเคยเสียเหลือเกิน

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทักษะของเธอจะยอดเยี่ยม

เพราะในช่วงที่ผ่านมาฉินเฟิงไม่ได้สังเกตเห็นการมีตัวตนของเธอที่อยู่ตรงนี้เลย

แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่ถ้าเขาออกหมัดไป ก็สามารถเอาชนะสาวหางม้าคนนี้ได้ในกระบวนท่าเดียว

ดังนั้น ฉินเฟิงจึงมองเพียงชั่วครู่ จากนั้นส่ายหัวเบาๆ และเดินจากไป

ในขณะที่ฉินเฟิงมองไปสาวผมหางม้า สัญชาตญาณของเธอก็สามารถสัมผัสได้เองโดยธรรมชาติ ดังนั้นเธอจึงค่อยๆปล่อยกำปั้น และหันไปมองที่ฉินเฟิง
เธอบังเอิญหันไปเห็นตอนที่ฉินเฟิงกำลังส่ายหัว

เมื่อเห็นดังนั้น สาวผมหางม้าจึงถามออกไปว่า:

“คุณดูถูกกังฟูของฉันงั้นหรอ?”

ตอนนี้สาวผมหางม้าและฉินเฟิงอยู่ห่างกันเพียงสี่ ห้าเมตรเท่านั้น

“ไม่ใช่อย่างนั้น” ฉินเฟิงหยุดและตอบอย่างใจเย็น

สาวผมหางม้าเดินไปหาฉินเฟิง จ้องไปที่เขาแล้วพูดว่า:

“โกหก ฉันเห็นคุณส่ายหัว สีหน้าของคุณมันฟ้องออกมาหมดแล้วว่าคุณดูถูก”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉินเฟิงก็รู้สึกตลกอยู่ภายในใจ

เขาส่ายหัวก็จริง แต่สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน

เขามั่นใจสุดๆ

ในฐานะสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ "มีชีวิตอยู่" มานับพันปี การแสดงออกทางสีหน้าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปรากฏ

แต่ตอนนี้สาวผมหางม้าคนนี้ได้"กล่าวอ้าง" ขึ้นมา ซึ่งมันน่าสนใจจริงๆ

ชั่วขณะหนึ่ง ความคิดต่างๆนาๆนับไม่ถ้วนไหลผ่านจิตใจของฉินเฟิง

เมื่อมองดูสาวสวยตรงหน้า เขาเห็นเหงื่อเย็นหลายเม็ดบนหน้าผากของเธอ ฉินเฟิงจึงพูดออกไปเบาๆว่า:

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกคุณ ผมแค่รู้สึกเสียดายนิดหน่อย”

“คุณหมายความว่าอะไร” เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงสาวก็สับสนเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพูดเหมือนนักเรียนที่ "กำลังแสวงหาความรู้" ฉินเฟิงจึงพูดอีกสองสามคำ:

"พูดตามตรง กังฟูของคุณค่อนข้างดีถ้าเทียบในหมู่คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณ

ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าทักษะเช่นนี้ คุณคงทุ่มเทไปอย่างมาก

แต่แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะดูดีแค่ไหน มันก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่

หากเป็นการต่อสู้จริงๆ คุณคงจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน "

เมื่อได้ยินดังนั้นสาวผมหางม้าก็ตกใจยิ่งกว่าเดิม

คำพูดเช่นนี้ไม่ใช่เเค่ฉินเฟิงเท่านั้นที่พูดกับเธอ แต่ปู่และพ่อของเธอก็เคยพูดเช่นนี้กับเธอเช่นกัน

และมันไม่ใช่แค่ครั้งเดียว

สาวผมหางม้ารู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง เธอก้มหน้าลง


จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ “เริ่มต่อสู้"

“ถ้าอย่างนั้นเรามาลองต่อสู้กันจริงๆดูไหม”

เมื่อเห็นการกระทำของหญิงสาว ฉินเฟิงก็ประหลาดเล็กน้อยเช่นกัน

“คุณอยากต่อสู้กับผมเหรอ?”

พูดตามตรง การกระทำเช่นนี้ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกสนใจขึ้นมา

ตัวเขาไม่เคยนับจำนวนคนที่พ่ายแพ้แก้เขา

หรือจะพูดให้ชัดคือเขาเลิกนับจำนวนคนที่พ่ายแพ้ต่อเขาไปนานแล้ว

ประสบการณ์นับพันปีในพิภพเซียน รอยเท้าของเขาได้เยื้องย่างไปทั่วสวรรค์และพิภพ มือของเขานั้นก็เปื้อนเลือดผู้คนนับไม่ถ้วน….

“อะไรกัน? เมื่อกี้คุณยังพูดอยู่เลยว่าถ้าเกิดต้องต่อสู้จริงๆขึ้นมา ฉันจะแพ้ แล้วตอนนี้เป็นอะไรไป คุณกลัวงั้นหรอ?” สามผมหางม้าเลิกคิ้วขึ้นเป็นการท้าทาย

“ฮ่าฮ่า...” ฉินเฟิงหัวเราะเบา ๆ “ไม่เห็นจะต้องพูดยั่วยุกันเลย ผมไม่ได้ออกแรงมานานแล้ว อยากลองสักตั้งเหมือนกัน”

พูดตามตรง จู่ๆ ฉินเฟิงก็เริ่มสนใจ “การต่อสู้” นี้ขึ้นมา

มันเหมือนกับคนที่กินปลามาทุกวัน จู่ๆ วันดีคืนดีก็ได้เนื้อชิ้นใหญ่มากินแทน

ช่างเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากนัก

สาวผมหางม้าดีใจมากเมื่อได้ยินว่าฉินเฟิงเห็นด้วย

แต่เมื่อเธอเห็นว่าฉินเฟิงไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เธอก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยมือของเธอลง ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า:

“ไม่ต่อสู้เหรอ ทำไมถึงไม่ตั้งท่า”

“ผมพร้อมเสมอ” ฉินเฟิงยิ้มและกางมือออก

"อวดดีจังนะ!"

เมื่อเห็นเช่นนี้ สาวผมหางม้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธขึ้นมา

ขาของเธอแยกออกจากกัน เข่างอลงเล็กน้อย และมือก็กางออกแบนบนหน้าอก

เธอมองตรงไปข้างหน้า จ้องมองไปที่ฉินเฟิงและพูดช้าๆ:

"หย่งชุน หมัดสั่นสะท้านบู๊ลิ้ม,เย่หลินน่า!”

เมื่อสิ้นสุดเสียง ในที่สุดฉินเฟิงก็รู้ทันทีว่าทำไมกระบวนท่าของเธอถึงดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก


ปรากฎว่ากระบวนท่าที่เธอฝึกอยู่นั้นคือมวยหย่งชุนอันเลื่องชื่อลือชา ซึ่งเป็นกระบวนท่าที่โด่งดังไปทั่วโลก

แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นการกระบวนท่าประเภทนี้ต่อหน้ามาก่อน แต่เขาเคยเห็นมันบ่อยครั้งในโทรทัศน์

แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนับพันปี แต่ความทรงจำเหล่านั้นยังคงชัดเจน

และเนื่องจากกระบวนท่าที่เธอฝึกนั้นต่างจากในโทรทัศน์อยู่พอสมควร จึงทำให้ฉินเฟิงนึกไม่ออกในทีแรก

แต่ถ้าลองไตร่ตรองให้ดี ทุกอย่างที่ถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ล้วนเป็นเพียงมายาเพื่อเรียกความสนใจ ในชีวิตจริง สิ่งเหล่านี้ใช้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น สาวผมหางม้าคนนี้ยังกล่าวแซ่ของตระกูลตนเอง ทำให้ฉินเฟิงรู้จักชื่อของเธอไปด้วย เย่หลินน่า

“แซ่เย่งั้นหรอ หรือว่าเป็นลูกหลานของปรมาจารย์เย่กัน?” ฉินเฟิงได้แต่คิดเงียบๆอยู่ภายในใจ

“ฉินจิ่วเฉิน เชิญ!”

ฉินเฟิงยิ้มและพูดบางอย่างออกไป

เมื่อต่อสู้กับผู้อื่น ฉินเฟิงชอบที่จะใช้ชื่อ"ฉินจิ่วเฉิน"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่หลินน่าก็เตรียมตัวใหม่อีกครั้ง เธอขยับเท้าและก้าวไปหาฉินเฟิง

เมื่อร่างกายของเธอกำลังจะสัมผัสกับฉินเฟิง เธอป้องกันตัวด้วยมือซ้ายและใช้มือขวาโจมตีด้วยความเร็วสูง

เย่หลินน่าเต็มไปด้วยความมั่นใจในขณะที่โจมตีคู่ต่อสู้

แต่ทันใดนั้นเธอก็พบว่าฉินเฟิงที่อยู่ตรงหน้ากลับเผยรอยยิ้มแปลกๆออกมา

ไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น เธอก็รู้สึกถึงสัญญาณเตือนบางอย่างโผล่ขึ้นมาในใจ

ถึงอย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของเธอนั้นมีชั้นเชิงเป็นอย่างมาก ดูแล้วไม่มีข้อบกพร่องแต่อย่างไร

ในขณะที่เธอมั่นใจ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกราวกับว่ามือขวาของเธอถูกหนีบและเท้าขวาของเธอก็เจ็บแปล๊บขึ้นมา

เธอเสียการทรงตัวและล้มลงไปทางขวาทันที

เย่หลินน่าล้มลงบนสนามหญ้า

"คุณแพ้แล้ว!"

เสียงของฉินเฟิงลอยมากระทบโสตประสาทของเธออย่างแผ่วเบา

เย่หลินน่าหันศีรษะไปมอง และเห็นฉินเฟิงมองเธอด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย


“เป็นไปได้ยังไงกัน?คุณทำได้ยังไง?”

เย่หลินน่าลุกขึ้นทันทีและมองไปยังฉินเฟิงด้วยความสับสน

พลังโจมตีของฉินเฟิงนั้นเบามาก เบากว่าคนปกติทั่วไป

ไม่เช่นนั้นเย่หลินน่าคงรู้สึกตัวและโต้ตอบกลับได้

เมื่อเห็นใบหน้าที่งุนงงของเย่หลินน่า ฉินเฟิงก็พอใจและอธิบายว่า:

“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แค่คุณไม่เคยเห็นมันมาก่อน

ส่วนวิธีก็พูดออกไปหมดแล้ว

คุณไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้จริงๆ และกระบวนท่าของคุณยังมีข้อบกพร่องอยู่

ตราบใดที่คู่ต่อสู้จับข้อบกพร่องของคุณได้ ต่อให้จะเป็นข้อบกพร่องเดียว คุณก็สามารถถูกฆ่าได้ทันที

ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คุณมีข้อบกพร่องเยอะเเยะเต็มไปหมด มันเลยง่ายที่จะเอาชนะคุณ

เย่หลินน่าไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจกับความพ่ายแพ้ จึงทำให้ฉินเฟิงพูดเเนะนำออกไปสองสามประโยค

หากท่าทีของเย่หลินน่าดูไม่พอใจ ฉินเฟิงคงจะไม่พูดอะไรออกไปและจะหันหลังจากไปอย่างแน่นอน

หลังจากที่ฉินเฟิงพูดจบ เขาก็ยิ้มให้แล้วหันหลังเดินจากไป

เขาเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เสียงของเย่หลินน่าก็ดังขึ้นไล่หลังเขา:

"เดี๋ยวก่อน"

“อะไรกัน อยากจะสู้อีกครั้งงั้นหรอ?” ฉินเฟิงหันกลับมาและมองเธอด้วยรอยยิ้ม

เย่หลินน่าส่ายหัว: "ไม่ใช่อย่างนั้น ทักษะของฉันกับคุณต่างกันมาก ฉันอยากให้คุณสอนกระบวนท่าให้ฉัน เพื่อให้ฉันได้พัฒนาขึ้นไปมากกว่านี้"

“ผมพูดถึงการต่อสู้จริงๆ และตัวคุณก็ได้ฝึกฝนมันจากการต่อสู้จริงๆ” ฉินเฟิงส่ายหัวและตอบ

จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว หยุดและพูดช้าๆ:

“ผมเกือบลืมบอกคุณไป ว่าถ้าคุณต้องการพัฒนาทักษะการต่อสู้ที่แท้จริง คุณควรเลือกคนที่มีความแข็งแกร่งระดับเดียวกับคุณ

ผู้ที่อ่อนแอเกินไปและผู้ที่เข้มแข็งเกินไป ต่างไม่ใช่คู่ฝึกที่ดี

หากคุณอ่อนแอเกินไป ผู้ที่มีความแข็งแกร่งจะสามารถเอาชนะได้ในคราเดียว

หากคุณแข็งแกร่งเกินไป ตัวคุณก็จะไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง

นี้เป็นคำแนะนำที่ผมจะให้ไว้กับคุณ อีกอย่างไม่จำเป็นจะต้องขอบคุณผม"

ก่อนจากไป ฉินเฟิงโบกมือลาและหันหลังเดินจากไปอย่างช้าๆ

เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของฉินเฟิง เย่หลินน่าก็แอบกัดฟัน แล้วพูดว่า:

“ฉินจิ่วเฉิน ฉันจำคุณได้!”

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

817