บทที่ 3 เก้าขั้นแห่งการฝึกตน รังสรรค์หวนจุติ

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ก็เป็นเวลาพลบค่ำ ท้องฟ้าค่อยๆเปลี่ยนเป็นมืดสนิท จ้าวหมิงเจี๋ยแยกตัวไปกับจ้างหงเซิ่งและครอบครัว

ฉินเฟิงและรูมเมทอีกสองคนพากันเดินทอดน่องกลับไปยังหอพักในมหาวิทยาลัย

ร้านอาหารที่พวกเขาไปทานกันอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก ใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็เดินถึงมหาวิทยาลัยแล้ว

แต่ตัวฉินเฟิงไม่ได้กลับไปที่หอพักพร้อมกับคนอื่นๆ เขาหาข้ออ้างและเดินจากไปเพียงลำพัง

สำหรับเขาในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการฝึกตน เขาจะต้องฟื้นฟูศักยภาพของตนเองกลับมาให้ได้โดยเร็วที่สุด

ในตอนนี้พลังเวทย์ หรือแม้แต่อาวุธเวทย์ของเขาได้หายไปหมดแล้ว

เขากลายเป็นเพียงคนธรรมดาที่ทำได้เพียงแค่เรียนรู้ทักษะการป้องกันตัว เช่น เตะ ต่อย เป็นต้น

ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าอาวุธกระจอกๆ อย่างมีดหรือกระสุนสามารถทำเขาตายได้

ความรู้สึกที่ไม่สบายใจนี้ บังคับให้ฉินเฟิงต้องวางความกังวลอื่นๆไว้ชั่วคราว และมุ่งมั่นไปที่การฝึกเป็นสำคัญ

ในด้านของจางหยุนและหวังซวงไม่ได้ถามอะไรฉินเฟิงที่ไม่ได้กลับไปพร้อมพวกเขา ทั้งสองเพียงพูดด้วยกันเล็กน้อยและเดินกลับไปที่หอพัก

หลังจากที่ทั้งสองเดินจากไป ฉินเฟิงก็เดินช้าๆ ไปตามถนนในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยจงไห่

ขณะที่เขากำลังเดิน เขาใช้จิตสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังทางจิตวิญญาณสวรรค์และโลกอย่างระมัดระวัง

ไม่ว่าจะอยู่ใด พลังก็ไม่คงที่

สถานที่ที่มีพลังทางจิตวิญญาณรวมตัวกัน มักจะเป็นภูเขาหรือแม่น้ำที่มีชื่อเสียงซึ่งห่างไกลจากตัวเมือง สถานที่เช่นนั้นถือว่าเป็นสรวงสวรรค์แห่งการฝึกตนที่แท้จริง

แต่ในบางสถานที่ที่พลังทางจิตวิญญาณยังตื้นเขิน และพลังทางจิตวิญญาณยังสามารถไหลออกได้อย่างอิสระ สถานที่แห่งนั้นไม่เหมาะสมแก่การฝึกฝนเป็นอย่างยิ่ง

ฉินเฟิงเดินไปรอบๆ มหาวิทยาลัยเป็นระยะทางหลายกิโลเมต และในที่สุดเขาก็หยุดเดิน และนิ่งไปชั่วขณะ

“ที่นี้เป็นสถานที่ที่มีพลังทางจิตวิญญาณหนาแน่นที่สุดในมหาวิทยาลัยจงไห่ ถ้าต้องการที่ที่มีพลังทางจิตวิญญาณมากกว่านี้ คงต้องไปหาในภูเขานอกมหาวิทยาลัยแล้วล่ะ”

เขามองไปรอบ ๆ ป่าหลิวอันเงียบสงบนี้

ด้านข้างของป่าหลิวมีทะเลสาบขนาดใหญ่

ลมทะเลสาบพัดขึ้นมาเอื่อยๆ ทำให้บริเวณนี้เย็นสบายเป็นที่สุด

ในระยะทาง 2 ตารางเมตร ก้อนหินตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าของฉินเฟิง

เขาจึงเดินขึ้นไปนั่งขัดสมาธิ และหันหน้าไปทางทะเลสาบ มองดูคลื่นที่พริวไหว

แสงจันทร์ที่กระทบลงบนเกรียวคลื่นส่องแสงประกายระยิบระยับ เขาเพลิดเพลินไปกับสายลมอ่อนๆ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่นแม้ว่านี้จะเป็นลมในฤดูร้อน

การฝึกตนเป็นเซียน ต้องเริ่มจากพื้นฐานไปยังขั้นสูง ซึ่งมีทั้งหมด 9 ขั้นด้วยกัน เริ่มตั้งแต่การฝึกลมปราณ สร้างรากฐาน ก่อกำเนิด จนเกิดแก่นปราณทองคำ ไปจนถึงปราณก่อกำเนิด เเละเกิดเป็นร่างเซียน เข้าสู่ช่วงการทำให้ว่าง และหลอมรวมเข้าด้วยกัน สุดท้ายคือการข้ามผ่านความทุกข์ยาก

ในบัดนี้ ฉินเฟิงนั้นกลับกลายเป็นมนุษย์ไม่ใช่เซียนดังเดิม ดังนั้นแล้ว เขาจึงต้องเริ่มฝึกตนตั้งแต่การฝึกลมปราณ

ถ้าจะให้พูดตามหลักแล้วล่ะก็ นักพรตที่อยู่ในขั้นฝึกลมปราณ ก็ยังถือว่าเป็นมนุษย์อยู่

เข้าขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น ถึงจะเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกตนเป็นเซียน

หลังจากสร้างรากฐานเสร็จแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และความว่องไวก็ไม่ต่างจากเสือ ซึ่งพลังจะเกินขีดจำกัดของร่างการมนุษย์ธรรมดาทั่วไป

นอกจากนี้พลังงานที่แท้จริงยังคงหนาแน่นอยู่ภายในร่างกาย หากต้องการใช้เวทย์มนต์คาถา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งยันต์ใดๆ

ผู้ฝึกตนในขั้นสร้างรากฐานจะมีอายุยืนยาวเป็นสองเท่าของมนุษย์ทั่วไป

หลังจากขั้นสร้างรากฐาน เข้าสู่ขั้นก่อกำเนิด จะมีพลังเหนือธรรมชาติ สามารถเหาะเหินเดินอากาศ ควบคุมลมและฝนได้...




ในสายตาของมนุษย์ การฝึกตนแบบนี้ก็เหมือนกับการเป็นเทพเจ้า

ในขั้นนี้ ผู้ฝึกตนอาจมีอายุขัยถึง 300 ปี

สำหรับขั้นแก่นปราณทองคำและปราณก่อกำเนิดนั้น ฉินเฟิงในตอนนี้ยังคงห่างไกลอยู่มาก

“ตอนนี้ สิ่งที่ต้องมุ่งเน้นคือขั้นฝึกลมปราณ ขั้นสร้างรากฐานยังไม่จำเป็นจนกว่าจะฝึกลมปราณเสร็จสิ้น” ฉินเฟิงบ่นพึมพำกับตัวเอง

สภาพแวดล้อมและพลังทางจิตวิญญาณบนโลกช่างแตกต่างจากพิภพเซียนเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะฝึกตนบนโลกแล้วพัฒนาไปได้ดีกว่าในพิภพเซียน

โชคดีที่ฉินเฟิงมีประสบการณ์การฝึกตนมาในชาติก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นตั้งแต่ขั้นฝึกลมปราณไปจนถึงขั้นผ่านความทุกข์ยากจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

แม้ว่าขั้นแรกจะเป็นขั้นฝึกลมปราณ แต่ในความจริงมันเป็นเหมือนการฟื้นฟูก่อนการฝึกตนเสียมากกว่า

สิ่งเดียวที่เขากังวลในตอนนี้คือ: เขาควรเลือกการฝึกตนประเภทใดเพื่อฟื้นฟูระดับพลังของเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่กระทบรากฐานของเขา?

เขาเป็น "จักรพรรดิเซียนจิ่วเฉิน" ในชีวิตก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงมีวิธีที่ทรงพลังมากมายในความทรงจำของเขา

แต่ในทางตรงกันข้าม ยิ่งวิธีมีพลังมากเท่าไร ความยากในการฝึกตนจะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

และนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้


เขาเพียงยกสิ่งที่เรียนรู้จากการเป็นเซียนที่สำนักเซียวเหยา “วิชาเซวียนเทียนเซียวเหยา” ในชาติที่แล้วมาใช้ มันเป็นวิธีชั้นยอดในพิภพเซียน

พลังของมันนั้นไร้เทียมทาน ไม่จำเป็นจะต้องบรรยายให้ยืดยาว เพียงแค่มองไปยัง ‘จักพรรดิเซียนจิ่วเฉิน’ ก็ถือว่าบรรยายได้เพียงพอแล้ว

เก่งกาจ ล้ำยุคล้ำสมัย!

แต่ถึงอย่างไร หากต้องฝึกตนด้วย “วิชาเซวียนเทียนเซียวเหยา” จริงๆล่ะก็ คนที่ฝึกจะต้องฝึกลมปราณอย่างเข้มข้น และต้องมีความช่วยเหลือจากยาเม็ด และยังต้องมีสิ่งมหัศจรรย์ที่เป็นเอกลักษณ์ของสวรรค์และโลกเป็นแนวทางด้วย

ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวไม่สามารถทำได้ภายใต้สภาพแวดล้อมในโลกแห่งนี้

แต่หากเลือกวิธีฝึกที่ง่าย

จริงอยู่ว่าในตอนแรกอาจจะช่วยได้หลายอย่าง

แต่สุดท้ายจะนำไปสู่รากฐานที่ไม่มั่นคง เมื่อถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่ข้ามขั้นผ่านความทุกข์ยาก เกรงว่าแค่ข้ามไปขั้นร่างเซียนก็น่าจะเป็นเรื่องยาก

แม้ว่าในอนาคตจะสามารถกลับมาสร้างรากฐานให้มั่นคงได้ แต่ทุกอย่างก็ต้องอาศัยโอกาสและโชคช่วย

ขณะที่ฉินเฟิงกำลังคิดอย่างหนักเกี่ยวกับวิธีการฝึกตนที่เหมาะสมกับเขา จู่ๆ ก็มีวิธีฝึกตนปรากฏขึ้นภายในใจของเขา

“รังสรรค์หวนจุติ!”

เขาไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว ตอนแรกก็ไม่ได้ประทับใจกับวิธีนี้สักเท่าไหร่

แม้ว่าฉินเฟิงจะไม่เคยฝึกวิธีนี้ แต่เขาก็ศึกษามันอย่างระมัดระวัง

แต่เขาแน่ใจว่าตัวเขาไม่ใช้ “รังสรรค์หวนจุติ” นี้มาก่อนในชาติที่แล้ว

ในขณะที่เขาครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ทันใดนั้นไข่มุกหวนจุติที่อยู่ภายในใจของเขากำลังเปล่งแสงสีขาวออกมาจางๆ

หลังจากนั้นไม่นาน แสงสีขาวจางๆ เหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไป

“รังสรรค์หวสจุติ” กับไข่มุกหวนจุติ... ทั้งสองเชื่อมโยงกันงั้นหรอ?”


เมื่อเห็นนิมิตดังกล่าว ฉินเฟิงจึงเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกัน

จากนั้นจึงพินิจพิเคราะห์ "รังสรรค์หวนจุติ" อย่างละเอียดถี่ถ้วน

ไม่นานหลังจากนั้น ฉินเฟิงก็จดจำบางสิ่งบางอย่างได้

สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือขั้นตอนในการฝึกตน มีเพียง ฝึกลมปราณ สร้างรากฐาน ก่อกำเนิด เพียงแค่สามขั้นตอน ไม่มีขั้นตอนอื่นเพิ่มเติม

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเฟิงก็ตัดสินใจเลือกที่จะใช้วิธีนี้

เพราะประการแรก จากการวิเคราะห์ เขาพบว่า "รังสรรค์หวนจุติ" นั้นแข็งแกร่งกว่าวิธีใดๆ ที่เขาเคยพบเห็นมาก่อน

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือวิธีนี้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและพลังทางจิตวิญญาณในโลกนี้

ประการที่สอง แม้ว่าจะไม่มีขั้นตอนใดเพิ่มเติม แต่ฉินเฟิงสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้

ประการสุดท้าย การมีรากฐานที่มั่นคงนัั้นถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่า

“รังสรรค์หวนจุติ”

รังสรรค์สวรรค์และโลก มีชีวิตสู่มอดม้วยหวนคืนมาจุติ

เป็นสองประโยคที่ใช้เพื่อเริ่มขั้นตอน

ทันทีที่เขาพูดประโยคนี้จบ เหล่าพลังทางจิตวิญญาณเบาบางรอบกายเขาก็พุ่งเข้าหาราวกับร่างกายเขาเป็นแม่เหล็ก

ไม่เพียงเท่านั้น พลังงานที่อยู่ในต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า และแม้เเต่น้ำในทะเลสาบหรือก้อนหิน ดิน ทราย ต่างก็ค่อยๆไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา

พลังงานเหล่านี้ไม่ได้ปฏิเสธการถูกดูดโดยฉินเฟิง

แม้ว่าตัวเขาจะฝึกฝนมานับพันปี แต่ความกลัวใจในก็ยังคงมีอยู่ท่วมท้นราวกับน้ำที่กำลังเอ่อล้นขอบบ่อ

ณ ขณะนี้

ตัวเขาได้เข้าใจถึงประโยคที่ว่า “รังสรรค์สวรรค์และโลก”

เป็นการบอกเป็นนัยว่าเขาสามารถใช้ทุกสิ่งทุกอย่างบนสวรรค์และโลกเพื่อรังสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ได้

ความรู้สึกนี้ ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกราวกับว่าตนเองได้กลับไปยังดินแดนดาราเหิงเทียน

แม้ว่าสภาพแวดล้อมการฝึกตนจะต้อยกว่าที่สำนักเซียวเหยาแห่งพิภพเซียน แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในมาตรฐานของสถานที่ฝึกตนทั่วไป

“ไม่แปลกใจเลย ที่บอกว่าเหมาะสำหรับการฝึกตนในทุกที่ หากเป็นเช่นนี้ ก็มั่นใจได้เลยว่าจะสำเร็จขั้นสร้างรากฐานภายในสามเดือน”

ฉินเฟิงพูดออกไปด้วยความสุขและเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง

หากมีใครสักคนในพิภพเซียนรู้ความคิดเขาเข้าแล้วล่ะก็ คนนั้นจะต้องตำหนิว่าฉินเฟิงโง่เขลาและเพ้อเจ้ออย่างแน่นอน

เพราะขั้นสร้างรากฐาน นักพรตทั่วไปก็ใช้เวลาในการฝึกตนหลายทศวรรษทีเดียว

ส่วนบรรดานักพรตที่มีความสามารถ ประกอบกับทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ของสำนัก พวกเขาเหล่านั้นยังต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการสำเร็จชั้นสร้างรากฐาน

ส่วนฉินเฟิงเอง ในชาติที่แล้ว ตัวเขาก็ใช้เวลาเป็นสิบปีในการสำเร็จขั้นสร้างรากฐาน

ในพิภพเซียน สถิติที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของการสำเร็จขั้นสร้างฐานก็ยังต้องใช้เวลาถึงสามปี

แต่แน่นอนว่า บางคนก็ใช้วิธีพิเศษ เช่นการดูดพลังทางจิตวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของตน

ค่ำคืนได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินเฟิงได้บำเพ็ญไปอย่างช้าๆ จนเขาพบว่าตอนนี้ตัวเขาได้อยู่ในขั้นฝึกลมปราณแล้ว

แม้พลังที่อยู่ภายในร่างกายของเขาจะอ่อนแอ แต่เขาก็ยังสามารถปกป้องตัวเองไว้ได้

“จ๊อกกกกก จ๊อกกกก...”

เสียงท้องของฉินเฟิงร้องคำรามบอกถึงความหิวโหย แต่เขากลับเพิกเฉยและหวนกลับมายังความคิด

“เฮ้อ…ถ้าไม่มียาเม็ดปี้กู่ก็ลำบากน่าดู! หากแก้ปัญหานี้ไม่ได้ เกรงว่าจะไปได้ไม่ถึงขั้นก่อกำเนิด”

แต่การฝึกตนนั้นเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับการผ่อนคลาย ดังนั้นฉินเฟิงจึงไม่ได้มีความตั้งใจจะฝึกจนจบถึงขั้นสร้างรากฐานในคราเดียว

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็กระโดดลงจากก้อนหินแล้วเดินตรงไปยังโรงอาหารของมหาวิทยาลัย

แต่เมื่อเขาเดินผ่านหอนักศึกษา เขาก็ต้องหยุดชะงักทันที

เพราะโอวหยางจิงผู้เป็นรักแรกของเขาในช่วงชีวิตนั้น อาศัยอยู่ที่แห่งนี้

ฉินเฟิงมองไปบนอาคารด้วยความอาลัยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจยาวและพึมพำบางอย่างออกมา:

“เสี่ยวจิง ในเมื่อทุกอย่างเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เราคงต้องมารู้จักกันอีกครั้งและเริ่มทุกอย่างกันอีกครั้ง…”

ฉินเฟิงกลับมายังหอพักหลังจากอาหารมื้อเช้า รูมเมททั้งสองก็พากันอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำเมื่อคืน

แต่เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการตอบคำถามที่ยืดยาวเขาจึงตอบไปเพียงสั้นๆ: "ฉันออกไปทำธุระมาน่ะ"

และไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

เมื่อเขาพูดจบ ทั้งสองก็รู้ทันทีว่าฉินเฟิงไม่ได้ต้องการพูดถึงมัน พวกเขาทั้งสองจึงไม่ได้ถามอะไรออกไป

เนื่องจากการรายงานตัวกินเวลาสามวัน ในวันนี้พวกเขาจึงไม่มีอะไรทำ

ด้านจางหยุนก็หมกมุ่นอยู่กับการอ่านผลงานชิ้นเอกภาษาอังกฤษของเขาอยู่ตลอดเวลา

ส่วนด้านหวังซวงก็ใช้เวลาทั้งวันในการเล่นเกม

หลังจากที่ฉินเฟิงกลับมา เขาก็นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน

แต่ในความเป็นจริง จิตใจของเขาไม่ได้หลับ เขาเอาแต่นึกถึงโอวหยางจิง

แต่เพราะการทรยศของนางฟ้าเพียวเมี่ยวในชาติที่แล้ว โดยสัญชาตญาณมันจะทำให้เขากลัวและต้องการปฏิเสธความรักเป็นแน่

แม้ว่าเขาไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน แต่มันก็คือความจริง

เขาจึงคิดไปต่างๆนาๆว่า หลังจากได้พบโอวหยางจิงแล้ว เขาจะตกหลุกรักเธอได้อย่างไร?

“ในเมื่อได้กลับมาแล้ว จะคิดมากทำไม! ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป! แค่อย่าเสียใจแบบตอนนั้นก็พอ!”


ตัวฉินเฟิงที่นอนคิดไม่ตกกับเรื่องนี้มาตลอดทั้งวัน คำพูดนั้นจึงเป็นดั่งคำตัดสินใจและคำปลอบใจในเวลาเดียวกัน

แต่ในห้องนี้ไม่ได้มีเขาอยู่เพียงคนเดียว ทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำ และทุกคำพูดของเขา อยู่ภายใต้สายตาของคนอีกสองคนในห้อง คำพูดนั้นจึงทำให้คนอีกสองคนนึกถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น

“ฉินเฟิง เขาไม่ได้พาแฟนสาวของเขามามหาวิทยาลัยเหรอ?” หวังซวงมองดูฉินเฟิงที่นอนอยู่บนเตียงแล้วถามขึ้นมา

“เอ่อ…เอ่อ มันก็พูดยากนะ” จางหยุนยิ้มอย่างเขินอายและตอบด้วยเสียงเบา

หวังซวงวางโทรศัพท์ลง ส่ายหัวแล้วถอนหายใจ:

“อนิจจา! แต่ถึงยังไง ก็ควรยับยั้งชั่งใจบ้าง!

ดูสิ นี้แค่คืนเดียวยังดูเหนื่อยขนาดนี้เลย…”

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

817