บทที่ 2 มหาวิทยาลัยจงไห่ และรูมเมทผู้ร่ำรวย

ทันทีที่ก้าวออกมาจากสถานีรถไฟ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

ฉินเฟิงมองดูชื่อบนหน้าจอ ปรากฏว่าคนที่โทรมาคือ “แม่”

เขากดรับสายด้วยนิ้วมือที่สั่นเทา ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมาจากปลายสายอีกด้าน:

“เสี่ยวเฟิง ถึงมหาวิทยาลัยแล้วหรือยัง?”

เวลาผ่านมาหนึ่งพันปี ในที่สุดเซียวเฟิงก็ได้สัมผัสถึงกระแสความอบอุ่นที่ไหลเข้าสู่หัวใจ หลังจากฟังคำพูดของคนเป็นแม่ ฉินเฟิงก็ตื้นตันในทันที

“แม่ครับ ผมพึ่งลงจากรถไฟ อีกพักก็ถึงมหาวิทยาลัยแล้วครับ”

“ดีมาก เสี่ยวเฟิง ครอบครัวของเราฐานะทางการเงินไม่ได้ดีนัก พ่อกับแม่ไปส่งลูกที่มหาวิทยาลัยไม่ได้ ลูกต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ!” เสียงของความเป็นห่วงเป็นใยของแม่ดังขึ้นอีกครั้ง

“แม่ครับ แม่ไม่ต้องกังวลนะ ผมจะดูแลตัวเองให้ดี” ฉินเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ระงับความอ่อนไหวที่มีอยู่ภายใน

“ลูกแม่เป็นคนเก่ง มีไหวพริบดี แม่เองก็สบายใจแล้ว อย่าลืมโทรมาหาพ่อกับแม่บ้างล่ะ แค่นี้ก่อนนะแม่ต้องไปทำงานแล้ว…”

หลังจากนั้นเขาก็วางสายโทรศัพท์

ในช่วงชีวิตนั้นของเขา คนที่ฉินเฟิงรู้สึกเสียใจด้วยมากที่สุดคือพ่อกับแม่ของเขา

เพราะเขา พ่อแม่ของเขาเลยต้องประสบกับเคราะห์กรรมไปด้วย

ภายใต้แรงกดดันอย่างรุนแรงจากตระกูลหวัง ครอบครัวก็แย่ลงทุกวัน สุขภาพของพ่อกับแม่ก็เช่นกัน

ฉินเฟิงจำได้ดีว่าวันที่เขาประสบอุบัติเหตุ พ่อของเขายังอยู่ที่โรงพยาบาล

ขนาดสถานการณ์เป็นเช่นนั้น เเม่ของเขาก็ยังต้องทำงานสายตัวแทบขาด เพื่อหาค่ารักษาพยาบาล

“พ่อ แม่ ในชีวิตนี้ฉันจะตอบแทนบุญคุณของพวกท่าน”

ฉินเฟิงพึมพำเบา ๆ ด้วยสายตาที่แน่วแน่

......

หลังจากเดินออกจากสถานีรถไฟ ฉินเฟิงก็ขึ้นรถบัสของมหาวิทยาลัยไปยังมหาวิทยาลัยจงไห่

หลังจากขึ้นรถแล้ว เขาก็หลับตาและมุ่งความสนใจไปที่ไข่มุกแห่การจุติที่อยู่ภายในจิตใจของเขา

ชาติที่แล้วเขายังไม่ได้เข้าใจความลึกลับของมัน

ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้กลับมาเกิดใหม่หลังพันปี

“ไข่มุกหวนจุติ...ที่ได้มาเกิดใหม่...เป็นเพราะไข่มุกนี้อย่างนั้นหรอ?”

ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะมีคำถามมากมายอยู่ภายในใจ

แต่ในเวลานี้ตัวเขาเองยังไม่มีคำตอบให้กับคำถามเหล่านั้น

หลังจากรถบัสออกไปได้ประมาณ 40 ถึง 50นาที รถก็มาถึงยังแผนกต้อนรับที่ส่วนหน้าของมหาวิทยาลัย

เมื่อมาถึง ฉินเฟิงก้ได้ลืมตาตื่นขึ้น

เขาเป็นคนสุดท้ายที่ลงจากรถบัส เดินตามหลังทุกคน และค่อยๆ มองดูมหาวิทยาลัยที่คุ้นเคยแห่งนี้

มหาวิทยาลัยจงไห่ เป็นมหาวิทยาลัยประจำเมืองจงไห่ และแม้เเต่มณฑลเจียงหนานก็ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของประเทศ

นักศึกษาที่สามารถเข้าเรียนได้ล้วนแต่เป็นคนที่มีฐานะดี หรือเป็นคนที่ตระกูลมียศมีตำแหน่ง

มีน้อยมากที่เข้ามาเรียนที่นี้โดยผ่านการพิจารณาจากภูมิหลังครอบครัว

หากเป็นนักศึกษาที่เข้ามาเรียนด้วยคอนเนคชั่น พวกเขาจะต้องเป็นนักเรียนที่ครอบครัวร่ำรวยมหาศาลและมีภูมิหลังที่สูงส่ง

หลังจากที่มหาวิทยาลัยจงไห่ขยายพื้นที่ ตอนนี้มหาวิทยาลัยก็มีเนื้อที่ประมาณ 3 - 4000เอเคอร์ รอบวิทยาเขตล้อมรอบไปด้วยภูเขาและแม่น้ำ วิวทิวทัศน์งดงามราวกับสรวงสวรรค์

ตึกคณะภาษาต่างประเทสที่ฉินเฟิงศึกษาอยู่นั้น สร้างขึ้นติดกับทะเลสาบที่สวยงาม

นอกจากความสวยงามของมหาวิทยาลัยแล้ว ยังมีรถหรูอีกมากมายที่จอดอยู่ตรงทางเข้า ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถของผู้ปกครองที่มาส่งบุตรหลานเพื่อลงทะเบียนเรียน

แน่นอนว่ามีนักศึกษาประมาณครึ่งหนึ่งเช่น ฉินเฟิงที่มาโดยรถบัสของมหาวิทยาลัย

นักศึกษาใหม่ทุกคนที่มาถึงจะถูกพาไปแต่ละคณะเพื่อลงทะเบียนโดยรุ่นพี่ที่ท่าทางกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง

ฉินเฟิงไม่ได้ปฏิเสธที่จะทำทุกอย่างแต่อย่างใด

แม้ว่าเขาจะเคยทำสิ่งเหล่านี้มาแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม

หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนการลงทะเบียนเรียนทั้งหมดแล้ว ฉินเฟิงก็เดินไปที่หอพัก

เมื่อเปิดประตูหอพักก็พบว่ามีคนอยู่ด้านในแล้ว

“สวัสดี ฉันชื่อจางหยุน”

รูมเมทของเขา เป็นผู้ชายสวมแว่นตา รูปร่างหน้าตาปานกลาง พอไปวัดไปวาได้ เมื่อเขาเห็นฉินเฟิงเดินเข้ามาในห้อง จึงยืนขึ้นและทักทายฉินเฟิงด้วยความเป็นมิตร

ในขณะเดียวกัน ท่าทางของเขาดูเขินอายเล็กน้อย ในมือของเขาถือหนังสือเล่มหนาอยู่เล่มหนึ่ง

ฉินเฟิงจ้องมองไปยังหนังสือด้วยความสงสัย พบว่ามันเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเรื่อง “Travels with Gulliver”


เป็นสิ่งที่น่าประทับใจทีเดียวที่เด็กนักเรียนแรกเข้ามหาวิทยาลัยอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนาขนาดนี้ด้วยตัวเอง

“ทุกอย่างยังเหมือนเดิมเลยนะ!”

เมื่อเห็นบุคคลนี้ ฉินเฟิงก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้น

เหตุผลก็คือ จางหยุนเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขามีอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

นอกจากจางหยุน คนอื่นๆ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขา เพราะเกรงกลัวในคำเตือนของหวังเสวี่ยปิน

แต่จางหยุนไม่เกรงกลัว เขาอยู่ข้างฉินเฟยและคอยช่วยเหลือฉินเฟิงมาโดยตลอด

และเพราะเหตุนี้ จึงทำให้จางหยุนถูกรังแกและกีดกันทุกอย่างในช่วงมหาวิทยาลัย

แต่โชคดีที่ครอบครัวเขามีความสัมพันธ์บางอย่าง ต่อมาเขาถูกส่งไปเรียนที่ต่างประเทศ

เมื่อนึกถึงเร่องพวกนี้ ฉินเฟิงยื่นมือออกไปและพูดด้วยรอยยิ้ม:

“สวัสดี ฉันชื่อฉินเฟิง รูมเมทของนาย”

ชายทั้งสองจับมือกันหลังจากแนะนำตัวอย่างเรียบง่าย

“ฉันทำความสะอาดห้องแล้ว นายจะนั่งตรงไหนก็ได้เลยนะ” จางหยุนเผยรอยยิ้มเขินอายเล็กน้อยออกมา ราวกับว่าเขาสื่อสารกับคนแปลกหน้าไม่เก่งนัก

“ขอบใจนะ” ฉินเฟิงพยักหน้า

หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็มองหาเลขเตียงของตนเอง และวางกระเป๋าเป้สัมพาระไว้บนโต๊ะ

ในห้องนี้มีโต๊ะเเละเตียง สำหรับพักสี่คน

ตอนนี้มีเพียงพวกเขาสองคนที่อยู่ในห้อง เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันดูน่าเบื่อ พวกเขาจึงเริ่มสนทนากัน

ฉินเฟิงมีความสุขกับความรู้สึกที่หายไปนานเหล่านี้เป็นอย่างมาก

หลังจากสนทนากันได้ไม่นานรูมเมทอีกสองคนก็มา

รูมเมทคนที่สามคือชายร่างสูงชื่อหวังซวง เขาสูงถึง 185 เซนติเมตร เขามาจากเหลียวเฉิงเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือ

เขามีบุคลิกตรงไปตรงมาและมีความร่าเริงตามชื่อของเขา

และเมื่อรูมเมทคนสุดท้ายมาถึง บรรยากาศก็แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

เชามาพร้อมกับครอบครัวใหญ่ มีพ่อแม่ และญาติพี่น้อง ทั้งชายทั้งหญิง รวมได้เจ็ดแปดคน

ทุกคนถือถุงใบเล็กใบใหญ่ ไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรบ้าง

ด้วยเหตุนี้ ห้องมาตรฐานสำหรับสี่คนจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามา

“โหหหห หอพักนี้ทำไมมันโทรมขนาดนี้ เอาไว้ในใครอยู่กันเเน่เนี้ย”

“เสี่ยวเจี๋ย ย่าไปเช่าวิลล่าดีๆข้างนอกให้ดีกว่า ย่าทนให้แกอยู่ที่โทรมๆแบบนี้ไม่ได้หรอก”

หญิงชราผมขาวผู้ร่ำรวย มองไปรอบๆห้องด้วยความรังเกียจ

“โถ่คุณย่า ผมอยู่ได้หน่า” หนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาตอบกลับอย่างหมดความอดทน

“ทุกคน ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นี้คือลูกชายของฉัน จ้าวหมิงเจี๋ย เขาถูกตามใจมาตั้งแต่ยังเด็ก จากนี้ต้องขอรบกวนพวกเธอดูแลลูกชายของฉันด้วยนะ”

ชายวัยกลางคนท่าทางราวกับผู้มีอำนาจ เดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม

“เอาล่ะ ทุกคนน่าจะยังไม่ได้ทานข้าวกัน…เดี๋ยวมื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง ไปกินข้าวกันและจะได้ทำความรู้จักกันไปด้วย”


……

ที่ร้านอาหาร เด็กทั้งสามคนต่างแนะนำตัวทีละคน

จางหยุนมาจากเมืองกันหนาน เมืองทางตะวันเฉียงเหนือของประเทศ พ่อของเขาเป็นผู้ว่าคนที่สามของเมือง แม่ของเขาเป็นครูโรงเรียนมัธยม ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยทีเดียว

“จางหยุนและครอบครัวถือว่ามีความโดดเด่นมากทีเดียว น่าตื่นเต้น”

หลังจากฟังการแนะนำตัวของจางหยุน จ้าวหงเซิ่งพ่อของจ้าวหมิงเจี๋ยก็พยักหน้าให้ด้วยความชื่นชม

เมื่อฟังจากน้ำเสียงของจ้าวหงเซิ่ง ฉินเฟิงสามารถพูดได้ว่านั้นไม่ใช่น้ำเสียงของความตื่นเต้น

ผู้ว่าคนนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย

คนต่อไปคือหวังซวง


เขามาจากเมืองเหลียวเฉิงทางตะวันออกเฉียงเหนือ ครอบครัวของเขาเปิดร้านหยกที่มีทรัพย์สินนับร้อยล้าน

“หวังซวงมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย อนาคตของเธอคงไกลน่าดู! ในอนาคต เสี่ยวเจี๋ยเองก็คงจะต้องเรียนรู้จากเธอบ้างแล้ว!”

ครั้งนี้ น้ำเสียงของจ้าวหงเซิ่งดูสนใจกว่าครั้งที่แล้วเป็นอย่างมาก

แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของเขาก็ยังคงเรียบเฉย

จะให้พูดก็คือครอบครัวที่มีทรัพย์สินมูลค่าหลายร้อยล้านก็ยังไม่เพียงพอให้เขาชายตามอง

ต่อไปก็ถึงตาของฉินเฟิง

ฉินเฟิงพูดเบา ๆ :


“ผมมาจากชนบท”

ในช่วงชีวิตนั้น เขาพูดออกไปมากมายเพราะไม่สามารถเก็บซ่อนความตื่นเต้นได้

แต่ในครั้งนี้ เขากลับพูดออกไปเพียงไม่กี่คำอย่างใจเย็น

เมื่อได้ยิน ทุกคนที่นั่งอยู่แสดงท่าทางประหลาดใจออกมาเล็กน้อย

หลังจากตกตะลึงไปชั่วขณะ จ้าวหงเซิ่งจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม:

“ไม่เป็นไร ฉินเฟิง อย่าท้อแท้แม้ว่าเธอจะมาจากชนบท เธอเองสามารถสร้างโลกของตัวเองได้ ด้วยความพยายามของตัวเธอ”

คนอื่นๆ และจ้าวหงเซิ่ง คิดว่าฉินเฟิงไม่มีความภาคภูมิใจในตนเอง เพราะเขามาจากที่ต่ำต้อยอย่างชนบท

แต่ฉินเฟิงเองไม่ได้จะพยายามอธิบายอะไร

แม้ว่าจ้าวหงเซิ่งจะพูด "ปลอบใจ" ฉินเฟิง แต่น้ำเสียงที่เขาพูดออกมานั้นหาได้มีความจริงใจ

และหลังจากพูดจบ เขาก็ไม่ได้สนใจฉินเฟิงหรือชวนพูดคุยอะไรเลยแม้แต่น้อย

ในมุมมองของจ้าวหงเซิ่ง เพื่อนอย่างฉินเฟิงไม่สามารถช่วยเหลือลูกชายของเขาได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องผูกมิตรไว้

ตัวเขาเองรู้สึกว่ามีบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก เขากลัวว่าหากลูกชายคบเพื่อนแบบนี้ จะทำให้สถานะของเขาต้องต่ำลง

เพราะถึงยังไง วงสังคมเท่านั้นที่จะกำหนดสถานะของบุคคล

และสุดท้ายจ้าวหงเซิ่งก็แนะนำตัวของตนเอง

เขาเป็นประธานของหงเซิ่งกรุ๊ป ซึ่งเขาเป็นเจ้าของตัวจริงเสียงจริง

หงเซิ่งกรุ๊ปเป็นหนึ่งในสิบองค์กรชั้นนำขนาดใหญ่ของเมืองจงไห่ โดยมีทรัพย์สินมูลค่าหลายพันล้าน

หงเซิ่งกรุ๊ปครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อสังหาริมทรัพย์ การจัดเลี้ยง และอุตสาหกรรมเเฟชั่น

ด้วยทรัพย์สินนับพันล้าน จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเพิกเฉยต่อตำแหน่งผู้ว่าและครอบครัวที่มีมูลค่าแค่ร้อยล้าน

แต่สิ่งที่จ้าวหงเซิ่งไม่รู้นั้นก็คือ คนอย่างเขาเป็นได้เเค่เพียงมดตัวจิ๋วในสายตาของฉินเฟิงเท่านั้น

คนอย่างเขาจะรู้ไหมว่าชีวิตก่อนหน้านี้ฉินเฟิงเป็นที่รู้จักในนาม “จักพรรดิเซียนจิ่วเฉิน” แม้ว่าจะมีกองกำลังที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ยังต้องก้มหัวคำนับแก่เขา

และในวันนี้มันจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่สนใจหงเซิ่งกรุ๊ปที่ไม่ได้มีอะไรนี้โดยปริยาย

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

817