บทที่ 1 องค์ชายตำหนักเย็น

บนดินแดนทางภาคเหนือที่กำลังจะเข้าสู่เหมันตฤดู ลมพายุพัดแรงเสมือนละโมบอยากจะพรากทุกสิ่งทุกอย่างไป ที่นอกชานเรือนตรงประตูทางเข้าพระตำหนักข้างที่ดูโบราณและเรียบง่าย มีเพียงชายหนุ่มเยาว์วัยพระชนมายุ 16 พรรษาเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ที่ประทับอย่างโดดเดี่ยวอยู่ที่นั่น ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ...

องค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยเหลียงพระองค์นี้ ได้ประสูติอย่างตามอำเภอใจจากฮ่องเต้ในค่ำคืนที่เมามาย กับนางกำนัลคนโปรด องค์ชายจึงไม่เป็นที่รักใคร่ของใครๆ

ตั้งแต่ทรงเยาว์วัยก็ถูกกีดกันและปฏิบัติอย่างเย็นชา ถึงแม้จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นองค์ชาย ทว่าชีวิตก็ไม่ได้ดีไปกว่าขันทีคนหนึ่งเลย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเสด็จพ่อผู้ที่มีบรรดาศักดิ์สูงส่งท่านนั้น ตั้งแต่ตนได้กำเนิดมาจนถึงบัดนี้ เขาไม่เคยเหลียวมองมาที่ตนเลยเสียด้วยซ้ำ

หลังจากเสด็จแม่ให้กำเนิดตนก็ได้สิ้นพระชนม์ไปอย่างน่าแปลกประหลาด และที่ตนเองสามารถมีชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ บางทีอาจเป็นเพียงเพราะว่าไม่มีใครอยากถูกกล่าวหาว่าฆ่าองค์ชายก็เท่านั้น เพราะว่าตนเองนี้ ก็เป็นองค์ชายที่ไร้ประโยชน์ไม่มีอำนาจไปคุกคามกับใคร แม้กระทั่งคุณสมบัติที่จะเป็นเป้าหมายของคนอื่นก็ไม่มี

ไม่ว่าอย่างไร…เวลานี้ในหัวใจของชายหนุ่ม ก็ค่อยๆ สูญเสียศรัทธาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว อยู่ในที่แห่งนี้เขาไม่มีความอบอุ่นใดๆ เป็นสถานที่ที่เขาจะต้องทุกข์ทนจากความโดดเดี่ยวเดียวดายในทุกๆ วัน เขาเพียงแค่อยากจะจากไปโดยเร็ว ความตายสำหรับหลายๆ คนนั้น อันที่จริงก็เป็นการหลุดพ้นอย่างหนึ่ง…

หากพูดถึงความห่วงใย บางทีก็อาจจะมีแค่เด็กสาวในห้องเครื่องคนนั้น ที่มักจะแอบเอาของอร่อยๆ มาให้ตนเองบ่อยๆ และเป็นเพื่อนพูดคุยกับตน เด็กสาวบอกกับตนเองว่าจะต้องดำเนินชีวิตให้ดีต่อไป

เขาค่อยๆ รู้สึกอ่อนเพลียมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาค่อนข้างอ่อนล้า และค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ แม้ว่าจะหนาวเหลือเกิน ทว่ากลับรู้สึกผ่อนคลาย……

"นี่ นี่ ตื่นสิเพคะ ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?"

เมื่อหวังเสี่ยวฉุยค่อยๆ ลืมตา ก็เห็นผู้คนที่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ยุคโบราณยืนอยู่เบื้องหน้ากำลังมองดูตนเองอยู่

"อุ๊ย คาดไม่ถึงว่าจะยังมีชีวิตอยู่"

หลายคนที่อยู่ข้างๆ ต่างพูดคุยกัน

"ในวันที่หนาวเหน็บแบบนี้ ลมพัดแรงขนาดนี้ มาประทับข้างนอกโดยสวมเสื้อผ้าชิ้นเดียว ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าองค์ชายเจ็ดพระองค์นี้คิดได้อย่างไร"

"ใช่แล้ว ต้องติดตามประมุขแบบนี้ ช่างโชคร้ายเสียจริง นี่ถ้าหากองค์ชายสิ้นพระชนม์ไปจริงๆ พวกเราก็จักต้องจบเห่เป็นแน่"

"เอาล่ะๆ พวกเจ้าอย่าพูดมากไปเลย"

เด็กสาวรูปร่างหน้าตางดงามคนหนึ่งเดินเข้ามา เห็นว่าหวังเสี่ยวฉุยฟื้นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะร้องเรียกอย่างตื่นเต้น

"องค์ชายเจ็ดเพคะ ในที่สุดพระองค์ก็ฟื้นแล้ว หม่อมฉันยังคิดว่าพระองค์จะ……”

ในชั่วขณะที่พูด ดวงตาก็เริ่มแดงก่ำขึ้นมา

องค์ชายเจ็ด? หวังเสี่ยวฉุยมองดูฉากนี้อย่างสับสนงุนงง เมื่อครู่ตนเองเช็ดกระจกอยู่บนดาดฟ้าไม่ใช่หรือ แต่ตัวล็อกนิรภัยถูกปลดออก ตนเองก็เลยตกลงไป ในชั่วพริบตาที่ร่วงลงมาสมองก็ว่างเปล่าขาวโพลน คาดไม่ถึงว่าเมื่อฟื้นขึ้นมาจะเป็นฉากแบบนี้?

หรือว่า จะทะลุมิติมา? มันจะไม่น่าตื่นเต้นไปหรือ? อีกอย่าง เมื่อกี้สาวสวยคนนี้เรียกฉันว่าอะไรนะ? องค์ชายเจ็ด หรือว่าฉันจะทะลุมิติมาเป็นองค์ชาย ว้าว เช่นนั้นความร่ำรวยมีเกียรตินี้จะไม่มีวันหมดสิ้นไปใช่ไหม

คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องดีๆ อย่างนี้ด้วยหรือ? ไม่ใช่สิ คนที่อยู่ข้างๆ เหล่านี้ ดูจากท่าทีภายนอกแล้วเหมือนไม่เป็นมิตรกับตนอย่างมาก หรือว่าองค์ชายในสมัยโบราณก็ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้นะ?

"ไม่ทราบว่า นี่ข้าอยู่ที่ไหนหรือ?"

หวังเสี่ยวฉุยเอ่ยถามอย่างเขินอายเล็กน้อย เด็กสาวก็หัวเราะ

"องค์ชายเจ็ดเพคะ พระองค์ทึ่มทื่อไปเสียแล้ว พระองค์อยู่ที่พระตำหนักข้างของพระองค์เอง ก็ไม่รู้ว่าพระองค์คิดได้อย่างไร อากาศหนาวเย็นขนาดนั้น แต่กลับมาประทับอยู่ด้านนอก ตอนที่พวกหม่อมฉันพบพระองค์ พระวรกายของพระองค์นั้นเย็นเฉียบไปแล้ว หมอหลวงจึงต้มซุปขิงให้พระองค์ โชคยังดีที่พระองค์มิได้เป็นอะไร หม่อมฉันตกใจแทบแย่เลยเพคะ"

"อืม ข้านั้นยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ ให้ข้าได้พักผ่อนอีกสักหน่อยเถิด และตัวเจ้าเองก็อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้าด้วย"

หวังเสี่ยวฉุยสัมผัสได้ว่า เด็กสาวคนนี้เป็นห่วงเขาด้วยใจจริง อีกทั้งไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วสถานการณ์ตอนนี้มันคืออะไร จึงอยากให้คนอื่นออกไป จะได้ถามอย่างสะดวกๆ ว่าตอนนี้มันอยู่ยุคสมัยไหน สถานที่ไหน สรุปแล้วตนเองเป็นใครกัน?

คนอื่นๆ เดินออกไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงสาวน้อยผู้น่ารักคนนี้เท่านั้นที่อยู่ตรงหน้า หวังเสี่ยวฉุยก็เริ่มพูดมากขึ้น แล้วเริ่มไถ่ถามเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้……

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

528