บทที่2 ราชวงศ์เป่ยเหลียง

การสนทนากับเด็กสาว ทำให้หวังเสี่ยวฉุยเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ว่า

ตัวเขาในตอนนี้ มีชื่อว่า “เหลิ่งเทียนหมิง” ผู้ซึ่งเป็นราชบุตรพระองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์เป่ยเหลียง ปัจจุบันมีพระชนมายุได้ 17 ชันษา และเด็กสาวผู้มีนามว่า “เสี่ยวหลัน” นั้น นางคือผู้ที่คอยจัดเตรียมเครื่องเสวยให้แก่องค์ชายเหลิ่งนั่นเอง

หวังเสี่ยวฉุยทะลุมิติมาอยู่ในยุคที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อมาก่อน ซึ่งยุคนี้ เป็นยุคที่มีราชวงศ์เป่ยเหลียงเป็นผู้ปกครองพื้นที่ราบแถบกลางฝั่งตอนเหนือ ที่ถูกบุกเบิกและก่อตั้งโดยชนเผ่าที่อาศัยและหากินอยู่แถบนี้

ส่วนเหลิ่งเลี่ยอ๋อง ผู้เป็นพระบิดาขององค์ชายเจ็ด ได้ก่อสงครามกับเมืองข้างเคียงหลายเมือง จนเหลิ่งเลี่ยอ๋องได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจที่สุดในบรรดากษัตริย์แห่งราชวงศ์เป่ยเหลียง

แต่ตัวองค์ชายเหลิ่งกลับเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่เกิดจากท้องของนางสนมในวังหลัง มันจึงเป็นเหตุให้การเกิดมาของเขานั้น ไม่เป็นที่ต้อนรับของใครหลาย ๆ คน แถมยังไม่เคยได้รับการปรนนิบัติพัดวีอย่างดีจากนางสนม หรือแม่นมเหมือนอย่างองค์ชายพระองค์อื่นอีกด้วย

“ให้ตายเถอะ นึกว่าจะได้อยู่เสพสุขตามแบบฉบับองค์ชายผู้สูงศักดิ์เสียอีก ไป ๆ มา ๆ ก็แค่องค์ชายที่นอนรอวันตายเองเหรอเนี่ย”

คิดไปคิดมา หวังเสี่ยวฉุยก็เริ่มนึกถึงเพื่อน ๆ ของเขาในห้วงเวลาปัจจุบัน “ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ จะกำลังเสียใจกับการจากมาของเราอยู่รึเปล่า?”

แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็ยังกังวลกับการที่ต้องมาติดอยู่ในร่างขององค์ชายเคราะห์ร้าย “นี่ฉันต้องติดอยู่ในร่างเจ้านี่จริง ๆ เหรอเนี่ย? หรือนี่จะเป็นเวรกรรมที่ฟ้าดินลิขิต? แต่เรื่องนี้มันเกิดขึ้นจริงกับฉันเลยนะ ฟ้าดินจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน?”

แต่หลัก ๆ แล้ว เหลิ่งเลี่ยอ๋องแห่งราชวงศ์เป่ยเหลียงได้มีการทำสงครามกับเมืองข้างเคียงอยู่ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังมีการส่งไส้ศึกเข้าไปสอดแนมอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้ก็มิได้แตกต่างจากกลยุทธ์การเล่นสงครามของราชวงศ์ต่าง ๆ ที่หวังเสี่ยวฉุยเคยได้ยินมาสักเท่าไรนัก

และในตอนนี้ เสี่ยวหลันรู้เพียงแค่ว่า คู่ปรับที่คอยตามรังควานราชวงศ์เป่ยเหลียง คือชนเผ่าจิ้งจอกแห่งทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ซึ่งถ้าหากราชวงศ์เป่ยเหลียงไม่สามารถจัดการกับชนเผ่าจิ้งจอกได้ ราชวงศ์เป่ยเหลียงเองก็จะไม่สามารถขึ้นเอาชนะศัตรูที่แท้จริงอย่างราชวงศ์ต้าเหลียงได้เช่นกัน

บทสนทนาดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งตะวันใกล้ลับขอบฟ้า “องค์ชายเจ็ดทรงอยากเสวยอะไรหรือไม่เพคะ? หม่อมฉันจะรีบไปจัดเตรียม และนำมาถวายพระองค์บัดเดี๋ยวนี้เลย แต่ถ้าหากในห้องเครื่องมีของดีน่าเสวยอีกละก็ หม่อมฉันจะแอบหยิบยกเข้ามาถวายให้พระองค์นะเพคะ”

“ห้ะ? แค่ของอร่อยก็ยังต้องแอบกันด้วยเหรอเนี่ย? ต่อให้ข้าเพี้ยนกว่านี้ พวกเขาก็ไม่ควรปฏิบัติต่อข้าแบบนี้สิ?”

“มิใช่อย่างนั้นหรอกเพคะ องค์ชายเจ็ด เดิมทีเครื่องเสวยเหล่านั้นล้วนเป็นของพระองค์ทั้งหมดทั้งสิ้น เพียงแต่พวกขันทีชั่วมันมักจะแอบหยิบยกไปกินเอง หม่อมฉันจึงต้องรีบไปตัดหน้าพวกมันเสียก่อน”

“ถ้าเจ้าทำแบบนั้น มันจะไม่เป็นอันตรายต่อตัวเจ้ารึ?”

“ทรงวางพระทัยเถิดเพคะ เครื่องเสวยเหล่านั้นเป็นขององค์ชายเจ็ดทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีใครกล้าทำอะไรหม่อมฉันหรอกเพคะ”

“เจ้าต้องระวังตัวให้มากนะ เพราะถึงอย่างไร เจ้าก็เป็นคนที่ข้าสนิทที่สุดในโลกนี้แล้วล่ะ...”

เสี่ยวหลันรู้สึกขวยเขินเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น แต่อีกใจหนึ่งก็คิดแค่ว่า องค์ชายเจ็ดคงจะพูดออกมาด้วยความซึ้งใจที่นางยอมเสี่ยงเพื่อเขา

“ทรงวางพระทัยได้เลยเพคะ องค์ชายเจ็ด อีกเดี๋ยวเดียวหม่อมฉันจะรีบกลับมาเข้าเฝ้าเลยเพคะ”

พูดจบ เสี่ยวหลันก็รีบหันหลังวิ่งออกไปด้วยรอยยิ้ม

หลังจากที่เสี่ยวหลันวิ่งออกไปได้ไม่นาน หวังเสี่ยวฉุยก็ลุกขึ้นเดินออกไปหน้าประตู และยืนมองพระตำหนักของตนที่ค่อนข้างซอมซ่ออยู่หน่อย ๆ ก่อนจะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าอย่างมีความหวัง…

อนิจจา ถึงยังไงเจ้าดวงกุดนี่ก็เป็นองค์ชายที่ไม่ต้องทรงงาน ไม่ต้องลำบาก แค่กิน ๆ นอน ๆ ไปวัน ๆ…ก็ไม่เลวนี่นะ

ต่อจากนี้ไป ฉันคือองค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์เป่ยเหลียง นามว่า เหลิ่งเทียนหมิง… อื้ม ไม่เลว!

เช้าวันรุ่งขึ้น เหลิ่งเทียนหมิงรีบตื่นแต่เช้าตรู่ ก่อนจะเริ่มวิ่งเหยาะ ๆ ไปรอบ ๆ สวนหย่อม เนื่องจากคืนวานนี้ เขาได้ค้นพบว่าอวัยวะบางส่วนของเขานั้นช่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แลดูเหมือนจะขาดการออกกำลังกายมานาน และมันทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า “รูปร่างผอมแห้งแบบนี้ จะทำให้สาว ๆ เหลียวหลังได้ยังไงกันเล่า”

หลังจากที่เขาวิ่งเหยาะ ๆ ไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เหลิ่งเทียนหมิงก็ตัดสินใจหยุดวิ่งทันที เนื่องจากเขาเริ่มสัมผัสได้ว่า เรี่ยวแรงของเขาในตอนนี้นั้นเริ่มอ่อนกำลังลง ซึ่งการที่เขาอดทนวิ่งมากว่าครึ่งชั่วโมง ก็เป็นการฮึดสู้จนสุดแรงแล้วเช่นกัน

“ร่างกายอ่อนแอแบบนี้ จะไปสู้รบกับใครไหววะ ชักไม่ง่ายเสียแล้วสิ… พวกพระเอกหรือนางเอกที่ถูกย้อนเวลากลับไปในอดีต ต่างก็ได้ใช้ชีวิตหรูหรากันทั้งนั้น เมื่อไหร่ฉันจะได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนั้นบ้างนะ?”

ขณะเดียวกัน เสี่ยวหลันที่เพิ่งเปิดประตูใหญ่เข้ามา ก็ต้องประหลาดใจที่เห็นเหลิ่งเทียนหมิงในสภาพเหงื่อท่วมตัว

“โอ้โห องค์ชายเจ็ด ทำไมวันนี้พระองค์ทรงตื่นเร็วได้เล่าเพคะ แถมพระวรกายยังเปียกโชกเสียด้วย”

“ไม่มีอะไรมากหรอก เมื่อสักครู่นี้ข้าแค่ออกมายืดเส้นยืดสาย”

“นี่นับเป็นครั้งแรกเลยนะเพคะ ที่หม่อมฉันเห็นพระองค์ทรงออกมายืดเส้นยืดสายเช่นนี้ แต่ถ้าหากพระองค์ทรงออกมาสูดอากาศ หรือทำอะไรแบบนี้ตั้งแต่ทีแรก ก็คงจะดีไม่น้อยเลยนะเพคะ”

เหลิ่งเทียนหมิงฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะตอบกลับมาว่า “นั่นสินะ แต่ต่อจากนี้ไป ฉันจะต้องแข็งแรงกว่านี้ให้ได้….”

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

528