บทที่ 4 องค์ชายรอง ผู้มีนามว่า

5 วันก่อนถึงวันสำคัญ เหล่าข้าราชบริพารต่างก็กำลังง่วนอยู่กับงานใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น และทางด้านเหลิ่งเทียนหมิงเองก็เริ่มปรับตัวเข้ากับยุคสมัยได้พอสมควรแล้ว

เนื่องด้วยเหลิ่งเลี่ยอ๋องมีพระราชประสงค์ออกประพาสและลาดตระเวนพื้นที่รอบนอกในเร็ว ๆ นี้ ทำให้ผู้คนในวังหลวงต้องลุกขึ้นมาช่วยกันตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้จำเป็นแก่ท่านอ๋องและเหล่ารัชทายาทกันยกใหญ่ แม้แต่เสี่ยวหลันเองก็ทำได้เพียงแค่จัดสำรับเครื่องเสวยมาถวายเหลิ่งเทียนหมิง ก่อนจะต้องรีบกลับออกไปช่วยคนอื่น ๆ จัดเตรียมข้าวของต่อไป…

เที่ยงตรงของวันต่อมา เสี่ยวหลันจ้องมองเหลิ่งเทียนหมิงที่กำลังนั่งเคี้ยวข้าวแก้มตุ่ย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า

“องค์ชายเจ็ดเพคะ ถ้าหากองค์ชายทรงกลับมาจากการออกประพาสลาดตระเวนในครั้งนี้แล้ว อย่าลืมเล่าให้หม่อมฉันฟังอีกนะเพคะ ว่าการแข่งขันล่าสัตว์ในครั้งนี้เป็นอย่างไร เพราะมันคาดเดาได้ยากจริง ๆ เพคะ ว่าชัยชนะในปีนี้จะเป็นขององค์ชายสองรึองค์ชายสาม”

“แล้วครั้งก่อน ๆ นี่ ใครเป็นผู้ชนะงั้นรึ?”

เหลิ่งเทียนหมิงเริ่มพูดคุยเรื่องต่าง ๆ ในวังหลวงได้อย่างลื่นไหล รวมถึงเรื่องของพี่ชายทั้งสองของเขา ที่มีนามว่า “เหลิ่งเทียนเอ้า” และ “เหลิ่งเทียนซิง”

และด้วยความที่ราชบุตรสองพระองค์นี้ต่างก็ทรงพลังด้วยกันทั้งคู่ จึงเป็นเหตุให้เกิดการแข่งขันเพื่อช่วงชิงชัยชนะกันอยู่ตลอด ไม่เว้นแม้แต่บัลลังก์ของกษัตริย์แห่งเป่ยเหลียงด้วย

“เดิมทีต่างฝ่ายต่างก็มีดีกันคนละอย่างเพคะ อย่างศิลปะการต่อสู้ขององค์ชายรองเนี่ย นับได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งเป่ยเหลียงเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าหากเป็นเรื่องของวรรณคดี กาบกลอนต่าง ๆ นั้น หาผู้ใดมาเทียบเทียมองค์ชายสามมิได้เลยเพคะ ว่าแต่...เรื่องราวเหล่านี้ องค์ชายเจ็ดเป็นผู้ถ่ายทอดให้หม่อมฉันเองเลยนะเพคะ ทรงลืมไปแล้วจริง ๆ หรือเพคะ?

แต่หม่อมฉันเองก็มีความรู้สึกว่า... องค์ชายเจ็ดจะดูเปลี่ยนไป ตั้งแต่.. ตั้งแต่ที่องค์ชายทรงหมดสติไปเมื่อคราวก่อน”

“อ้อ ไม่มีอะไรหรอก… สงสัยสมองของข้าคงจะกระทบกระเทือนไปบ้าง แต่อีกเดี๋ยวข้าก็คงจะค่อย ๆ นึกขึ้นได้เอง เจ้าวางใจเถอะน่า… และเดี๋ยวพอข้ากลับมา ข้าจะเก็บรายละเอียดตลอดการล่าสัตว์มาเล่าให้เจ้าฟังนะ”

“เสี่ยวหลันขอบพระทัยองค์ชาย แต่องค์ชายจะต้องระวังตัว และอย่าเผลอทำให้ใครไม่พอใจขึ้นมานะเพคะ มิเช่นนั้นจะทรงเป็นอันตรายต่อตัวองค์ชายได้… อ้อ หม่อมฉันเตรียมเสบียงรสดีขององค์ชายไว้ด้วยนะเพคะ”

พอได้ยินแบบนั้น เหลิ่งเทียนหมิงก็ถึงกับนิ่งเงียบไปในทันที เพราะสิ่งที่เสี่ยวหลันพูดมาเมื่อครู่ ทำให้เขารู้สึกว่าองค์ชายเจ็ดผู้นี้ ช่างไร้น้ำยาเสียจริง

1 วันก่อนการเดินทาง ในขณะที่เหลิ่งเทียนหมิงนอนจมอยู่ในกองหนังสือประวัติศาสตร์ราชวงศ์เป่ยเหลียง จู่ ๆ ก็มีขันทีน้อยผู้หนึ่งวิ่งปรี่เข้ามาในพระตำหนัก

“องค์ชายเจ็ด องค์ชายรองทรงมีรับสั่งให้องค์ชายเข้าเฝ้าบัดเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”

“องค์ชายรอง? เรียกหาข้ามีเหตุอันใดงั้นรึ?”

“เมื่อองค์ชายเจ็ดทรงเสด็จไปถึง ก็จะทรงทราบเองพะยะค่ะ องค์ชายรองทรงมีรับสั่งให้องค์ชายเจ็ดเร่งเดินทางไปเข้าเฝ้าบัดเดี๋ยวนี้ด้วยพะยะค่ะ”

เหลิ่งเทียนหมิงมองขันทีน้อยด้วยสีหน้ามึนงง ก่อนจะยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วยืนขึ้น

ได้เวลาประจันหน้ากับพี่ชายรอง "เหลิ่งเทียนเอ้า" องค์ชายรองในมเหสีองค์ปัจจุบันแล้วสินะ

แค่ชื่อก็ฟังดูยิ่งใหญ่และทรงอำนาจเสียเหลือเกิน ผิดกับชื่อ "เหลิ่งเทียนหมิง" ที่แลดูไร้ความน่าเกรงขามและไร้ซึ่งจุดหมาย นี่ล้อกันเล่นใช่หรือเปล่า?…

15 นาทีต่อมา เหลิ่งเทียนหมิงก็ได้เดินทางมาถึงหน้าประตูพระตำหนักใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณจุดกึ่งกลางแห่งวังหลวง โดยเหนือประตูทางเข้าจะมีชื่อขึ้นหราอยู่ว่า “ศาลาประลองยุทธ”

นี่คือที่ประทับขององค์ชายรองเหรอเนี่ย? มีชื่อของเขาแทรกอยู่ด้วย เท่ห์จริง ๆ เลย ผิดกับพระตำหนักของฉันที่มีสภาพซอมซ่อเข้าทุกวัน ทั้งที่ฉันกับเขาต่างก็เป็นถึงราชบุตรเหมือนกัน

เมื่อเหลิ่งเทียนหมิงเดินผ่านประตูเข้ามาถึงโถงใหญ่กลางพระตำหนัก เขาก็พบกับผู้คนมากมายที่เดินทางมาถึงก่อน และสำหรับบางคน เหลิ่งเทียนหมิงเองก็เคยพบเคยเห็นมาบ้างแล้ว

ไม่นานนัก บุคคลในชุดเกาะทองเหลืองก็เดินสับเท้าเข้ามาจากประตูใหญ่ พร้อมกับที่ทุกคนในพระตำหนักต่างพากันก้มลงกราบด้วยความภักดี

“ถวายบังคมองค์ชายรอง”

องค์ชายรองยกมือขึ้นทักทาย ก่อนจะประทับลงบนพระที่นั่ง

“นั่งลงตามสบายเถิด”

สิ้นเสียงองค์ชายรอง ผู้คนที่ยืนอยู่เบื้องล่างต่างพากันนั่งลงบนแท่นจนเต็ม และทิ้งให้เหลิ่งเทียนหมิงต้องยืนเก้อราวกับไร้ตัวตน…

“แม่เจ้า องค์ชายของฉันช่างดวงกุดเสียจริง แม้แต่ที่นั่งก็ยังไม่มีเหลือไว้ให้เลยสินะ?”

และองค์ชายรองผู้ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางเองก็ไม่สนใจอยู่แล้ว ว่าใครจะยืน หรือใครจะนั่ง

“ทุก ๆ ท่าน การประลองในปีนี้ ชัยชนะจักต้องเป็นของข้า โดยเฉพาะการแข่งขันล่าสัตว์บนภูเขาเสวี่ยหลง ขออย่าได้มีผู้ใดทำให้ข้าต้องเสียหลักเป็นอันขาด ส่วนการแข่งขันต่อบทต่อกลอนอะไรนั่น ข้าไม่สนใจหรอก เพราะข้าไม่เชื่อว่าการต่อบทต่อกลอนแข่งกันไปมานั้น มันจะทำประโยชน์อะไรให้แก่บ้านเมืองได้ พวกเจ้าว่าจริงหรือไม่? การต่อบทต่อกลอนจะสามารถทำให้พวกเราสู้รบกับชนเผ่าจิ้งจอกได้งั้นรึ? จะสามารถทำให้พวกเราบุกเข้ายึดพื้นที่รอบนอกได้สำเร็จหรือไม่?

วิทยายุทธของเจ้าสามนั้นด้อยกว่าพวกเราอยู่มาก เจ้าสามจึงนำเอาวิชาที่ตนถนัดมาเข้าสู้ ข้าเองก็ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเสด็จพ่อกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ถึงได้เห็นดีเห็นชอบกับพวกนักกวีเหล่านั้นนัก”

เหลิ่งเทียนหมิ่งที่ยืนฟังอยู่เบื้องล่าง ทำได้เพียงแค่ยืนอึ้งกับคำพูดของพี่ชายรอง พลางคิดในใจว่า การที่เขาเข้ามาอยู่ในแวดวงขององค์ชายรองผู้ไร้ความสุนทรีย์ในหัวใจ ก็คงจะหาสาระอะไรไม่ได้แน่

ดูท่า ฉันคงจะเป็นบุคคลหลงยุคที่โชคร้ายที่สุดแล้วสิ?

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

528