บทที่12 บุกเขาล่าสัตว์

2-3วันต่อมา กองทัพราชวงศ์เป่ยเหลียงก็ได้เดินทางมาถึงตีนเขาเสวี่ยหลงเป็นที่เรียบร้อย เหลิ่งเทียนหมิงจึงได้สัมผัสกับความสูงใหญ่ของภูเขาเสวี่ยหลงเต็มสองตา และไม่ว่าเขาจะพยายามแหงนหน้ามองมุมไหน ก็ยังไม่สามารถมองเห็นถึงยอดภูเขาเสวี่ยหลงได้เลย…

มณฑลซานตงที่หวังเสี่ยวฉุยจากมานั้น ในหนึ่งปีจะมี 4 ฤดูด้วยกัน ซึ่งชาวเมืองจะได้สัมผัสกับความหนาวเย็นแค่ในช่วงฤดูหนาว แต่ก็มิได้หนาวเหน็บจนเข้ากระดูกเหมือนอย่างภูเขาเสวี่ยหลง และถึงแม้ว่าภูเขาเสวี่ยหลงจะทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกหนาวเหน็บแค่ไหน แต่มันก็ยังทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบและความศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนสูงใหญ่ ราวกับได้ชะล้างความขุ่นข้องหมองใจ เมื่อได้เห็นความขาวสะอาดของหิมะที่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง

ขณะนี้ บริเวณตีนเขาและปากทางเข้าป่าทุกช่องทาง ได้ถูกห้อมล้อมไปด้วยพลทหารและค่ายของกองทัพ ทุกสิ่งอย่างถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี เพื่อรอคำสั่งจากเหลิ่งเลี่ยอ๋องเท่านั้น

เช้าวันต่อมา เหลิ่งเทียนหมิงถูกปลุกด้วยเสียงแตรที่ดังกังวาลอยู่นอกกระโจม ตามด้วยเสียงเรียกรวมตัวของเหล่าพลทหารในค่าย และในขณะที่เหลิ่งเทียนหมิงกำลังจะหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาใส่นั้น จู่ ๆ เฉิงไคซานก็เดินเข้ามาพร้อมกับชุดเกราะสีขาวในมือ

“องค์ชายเจ็ด วันนี้เป็นวันที่พระองค์จักต้องเข้าไปทำการล่าสัตว์ภายในหุบเขาแล้ว หากแต่กระหม่อมเห็นว่าองค์ชายเจ็ดยังไม่มีชุดเกราะส่วนพระองค์ กระหม่อมจึงได้จัดหาชุดเกราะอย่างดีมาถวาย ขอองค์ชายเจ็ดทรงโปรดรับไว้ด้วยเถิดพะยะค่ะ”

เหลิ่งเทียนหมิงทั้งประหลาดใจและตื้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้แค่มองเฉิงไคซานกับชุดเกราะในมือของเขาด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร

“อื้ม ไม่เลวเลยนะแม่ทัพเฉิง ข้าใส่ได้พอดีเลยล่ะ แต่นี่เป็นการใส่ชุดเกราะครั้งแรกของข้าเลยนะ เจ้าว่าข้าใส่ชุดเกราะแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ดูดีหรือไม่?”

เฉิงไคซานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยรัว ๆ

ในฐานะที่เฉิงไคซานเป็นคนเป่ยเหลียง มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าชะตากรรมขององค์ชายเจ็ดผู้นี้เป็นเช่นไร องค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์เป่ยเหลียง ผู้ที่ไม่มีแม้แต่ชุดเกราะเป็นของตนเอง ต่อไปในภายภาคหน้า หากต้องออกจากวังหลวงไป เขาจะสามารถผ่านพ้นปัญหาต่าง ๆ ไปได้ไหมนะ แต่ตลอดเวลาที่ได้ใกล้ชิดองค์ชายเจ็ด เฉิงไคซานเองก็มีความรู้สึกว่า องค์ชายเจ็ดผู้นี้ก็เป็นผู้มีจิตใจงดงามคนหนึ่ง แค่องค์ชายไม่นึกรังเกียจเขา เขาก็ซึ้งใจมากแล้ว

เมื่อเหลิ่งเทียนหมิงเดินตามเฉิงไคซานมาถึงจุดรวมตัวหน้ากระโจมใหญ่ เขาก็ได้พบกับเหล่าพลทหารหลายร้อยนายในชุดเกราะหลากสีที่กำลังยืนตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ก่อนแล้ว และทันทีที่เหลิ่งเทียนหมิงเหลือบไปเห็นองค์ชายรองยืนอยู่เบื้องหน้า เขาก็รีบเดินเข้าไปหาองค์ชายผู้พี่ทันทีอย่างไม่รอช้า

“ถวายบังคมพี่ชายรอง”

เหลิ่งเทียนเอ้าหันไปพยักหน้าให้กับเหลิ่งเทียนหมิงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยทักทายขึ้นว่า

“อื้ม มาแล้วรึ เข้าป่าล่าสัตว์ในครั้งนี้ คอยตามหลังข้าไว้นะ ช่วยเป็นหูเป็นตา และเล่นงานเหยื่อต่อจากข้าก็พอ เพราะในป่าลึกแห่งนี้ มันมีสัตว์ดุร้ายอยู่มาก ยิ่งตอนกลางดึกเจ้าต้องอยู่ใกล้ ๆ ข้าไว้ มิเช่นนั้นจักหลงทางเอาได้”

เหลิ่งเทียนหมิงตกตะลึงทันทีที่ได้ยินประโยคหลัง กลางดึกงั้นรึ?

แข่งล่าสัตว์ใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองหนิ? ทำไมถึงต้องล่าสัตว์กันตอนกลางคืนด้วยล่ะ? อากาศหนาวแบบนี้ ยังจะต้องไปนอนในป่าอีกเนี่ยนะ หาที่ตายชัด ๆ เหลิ่งเทียนหมิงเกิดอาการวิตก และเผลอคิดฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นา ๆ

แต่แล้วจู่ ๆ ม่านหน้ากระโจมใหญ่ก็ถูกเปิดออก ก่อนจะเผยให้เห็นเหลิ่งเลี่ยอ๋องที่ค่อย ๆ เดินออกมาอย่างช้า ๆ ซึ่งเหล่าองค์ชายและพลทหารหลายร้อยนายก็พากันหมอบกราบพร้อมกันอย่างรู้งาน

“การเข้าป่าล่าสัตว์ในครั้งนี้ นำทัพโดยเจ้ารองและเจ้าสาม ส่วนเส้นทางการเข้าล่า ให้แต่ละหน่วยจัดสรรกันเอาเอง แล้ววันพรุ่ง พวกเจ้าจะต้องกลับมารวมตัวกันที่นี่ เวลานี้ หากมีการบาดเจ็บรึถึงตายเพราะสัตว์ร้าย นั่นถือเป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการล่าสัตว์ แต่จงจำไว้อย่างเดียวว่า ห้ามหันมารบราฆ่าฟันกันเองเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”

เหลิ่งเทียนเอ้าและเหลิ่งเทียนซิงสบตากัน ก่อนจะขานรับคำสั่งของพระบิดาเป็นเสียงเดียวกันว่า “น้อมรับพระบัญชาพะยะค่ะเสด็จพ่อ”

“ดี เช่นนั้นจงออกเดินทางกันเสียเถิด”

พลทหารเกือบร้อยนายต่อ 1 ทัพ เริ่มมุ่งหน้าเข้าป่าลึกด้วยความคล่องแคล่วว่องไว ทางด้านเหลิ่งเทียนหมิง เมื่อเห็นว่าเฉิงไคซานวิ่งตามหลังมาติด ๆ จึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า

“แม่ทัพเฉิง ข้านึกว่าเจ้าจะไม่เข้าร่วมการล่าสัตว์เสียอีก แต่ทำไมการล่าสัตว์ถึงต้องใช้เวลานานขนาดนั้นล่ะ? แถมเสด็จพ่อยังพูดในตอนท้ายอีกด้วยว่า ห้ามรบราฆ่าฟันกันเอง มันหมายความว่าอย่างไรงั้นรึ?”

เฉิงไคซานมองซ้ายมองขวา ก่อนจะกดน้ำเสียงให้ต่ำลงแล้วตอบกลับมาว่า

“เดิมที ประเพณีการล่าสัตว์ เป็นประเพณีที่ท่านอ๋องใช้ทดสอบสมรรถภาพของบุตรและบุตรีพะยะค่ะ แต่ในทุก ๆ ครั้งที่องค์ชายรองและองค์ชายสามต้องเข้าแข่งขันล่าสัตว์ด้วยกัน มักจะมีผู้ได้รับบาดเจ็บจนถึงตายอยู่บ่อยครั้ง ครั้งนี้ท่านอ๋องคงจะรู้เท่าทัน จึงมีรับสั่งออกมาแบบนั้นหนะพะยะค่ะ”

เหลิ่งเทียนหมิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะถามต่ออีกว่า

“แต่ประเพณีการล่าสัตว์ เป็นการแข่งขันระหว่างองค์รัชทายาทกับพลทหารรักษาพระองค์ของแต่ละฝั่งไม่ใช่หรือ ใยเจ้าถึงเข้ามามีส่วนร่วมได้เล่า?”

เฉิงไคซานอมยิ้มเล็กน้อย

“นั่นเป็นเพราะ ในป่าลึกแห่งนี้ มีสัตว์ดุร้ายมากมายเหลือเกินพะยะค่ะ ซึ่งในทุก ๆ การแข่งขันก็มักจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ดังนั้นกระหม่อมจึงต้องเข้ามาคอยคุ้มกันอยู่ห่าง ๆ เพราะถึงอย่างไร การแข่งขันล่าสัตว์นี้จะต้องมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมตามธรรมเนียมทุกครั้ง และกระหม่อมก็มิอาจเข้ามามีส่วนร่วมในการล่าสัตว์นี้ได้ เพราะถ้าหากกระหม่อมยื่นมือเข้าช่วย กระหม่อมจะมีโทษถึงตายทันทีพะยะค่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง เหลิ่งเลี่ยอ๋องผู้นี้ ช่างมีอุดมการณ์และรอบคอบเสียจริง แม้ว่าเขาจะใช้การแข่งขันล่าสัตว์เข้ามาทดสอบสมรรถภาพของเหล่าทายาทแล้ว การแข่งขันล่าสัตว์ยังสามารถพิสูจน์ได้อีกด้วยว่า วุฒิภาวะความเป็นผู้นำและการตัดสินใจของผู้นำแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไร”

องค์ชายรองนำทัพบุกเข้าป่าไปประมาณ 60 นาย แต่หลังจากที่พวกเขาบุกเข้าป่าไปได้สักพัก องค์ชายรองก็ได้แบ่งทัพออกเป็นสองกลุ่มย่อย คือกลุ่มขององค์ชายรองที่มีพลทหารรักษาพระองค์จำนวน 30 นาย รวมถึงเหลิ่งเทียนหมิงที่ต้องตามติดองค์ชายรองตามคำสั่ง ส่วนกลุ่มที่สอง ก็คือกลุ่มขององค์ชายห้าที่มีทหารรักษาพระองค์จำนวน 30 นายเช่นกัน

นี่เป็นครั้งแรกของเหลิ่งเทียนหมิง ที่ได้เห็นทหารม้าฝีมือดีเหล่านั้นบังคับม้าบนทางลาดชันได้อย่างคล่องแคล่ว แถมยังสามารถยิงธนูเข้าเป้าได้อย่างแม่นยำในดอกเดียว

เหลิ่งเทียนหมิงจึงไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไป ว่าเหตุใดกษัตริย์แห่งเป่ยเหลียงจึงสามารถยึดครองพื้นที่โดยรอบได้ในเวลาอันสั้น แถมเหลิ่งเทียนเอ้ายังมีพรสวรรค์ทางด้านการต่อสู้เป็นที่สุด เหลิ่งเทียนหมิงครุ่นคิด พลางยกมือขึ้นลูบต้นคอด้วยความน้อยใจต่อโชคชะตา ชาตินี้เขาจะมีทางเอาชนะคนเหล่านี้ได้ไหมนะ…

ภายในหุบเขาเสวี่ยหลง มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่มากมายนับไม่ถ้วน ซึ่ง ณ ขณะนี้ พลทหารแต่ละนายขององค์ชายรองต่างก็มีกระต่ายป่า และไก่ป่าอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่ละมั่งสีเข้ม ที่พบเห็นได้ยากในยุคปัจจุบัน

แต่ถึงกระนั้น องค์ชายรองก็ยังไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ในระยะเวลาเพียงเท่านี้ เขาจึงตัดสินใจสั่งการกับพลทหารข้างกายทั้งสองนายว่า

“พวกเจ้าไปตรวจดูแถวนี้ที ว่ามีร่องรอยของสัตว์ใหญ่บ้างหรือไม่ พยายามเสาะหาร่องรอยของหมีป่า เสือชีตาห์ รึเสือโคร่งมาให้ได้ พวกกระต่ายป่ารึไก่ป่าตัวจ้อยหนะ ฆ่าไปก็ไม่มีความหมายอะไร ต้องเอาให้ใหญ่สมศักดิ์ศรีของข้า”

“พะยะค่ะ องค์ชายรอง”

พูดจบ พลทหารทั้งสองนายก็ถือพลั่วและเครื่องมือล่าสัตว์อื่น ๆ วิ่งหายเข้าไปในป่าทึบทันที…

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

528