บทที่7 ขันทีชั่ว

เมื่อเหลิ่งเทียนหมิงวิ่งมาถึงหน้าห้องชุมนุมขันทีด้วยสีหน้าเหนื่อยหอบ

ขันทีน้อยสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูก็รีบพุ่งตัวเข้ามาขวางทางเขาไว้ทันที

“ท่าน…ท่านคือใครหนะ? แต่ใบหน้าท่านช่างดูคุ้นตา...เหมือนเคยเห็นที่ใดมาก่อน”

“เฮ้ ข้าคือองค์ชายเจ็ดยังไงล่ะ ยังไม่รีบถวายบังคมข้าอีก?”

ขันทีน้อยทั้งสองจึงรีบหมอบกราบเหลิ่งเทียนหมิงทันที

“หลีกไป ข้ามาที่นี่เพื่อมาพาตัวเสี่ยวหลันกลับ ขืนใครกล้าเข้ามาหยุดข้า มันผู้นั้นสมควรตาย”

ขันทีน้อยนิ่งเงียบด้วยความตกใจ พลางคิดในใจว่า องค์ชายเจ็ดผู้นี้ เดิมทีไม่ยักจะพูดจากับใคร ใยจู่ ๆ ถึงได้มีกิริยาท่าทางผิดแปลกไปเช่นนี้?

แต่ไม่ทันที่ขันทีน้อยทั้งสองจะไหวตัวทัน เหลิ่งเทียนหมิงก็ฝ่าแนวกั้นของพวกเขาไปได้เสียแล้ว…

และห้องชุมนุมขันทีแห่งนี้ เป็นห้องที่ขันทีระดับอาวุโสจัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นห้องประชุมภายในของเหล่าขันทีนั่นเอง

ตัดภาพมาในห้องชุมนุมขันที ขันทีจอมลามกสองคนรุมรังแกเสี่ยวหลันกันอย่างชอบใจ จนกระทั่งหนึ่งในนั้นเอ่ยถามนายของมันขึ้นมาว่า

“ฮ่าฮ่าฮ่า ผิวขาวเนียนแบบนี้เนี่ย ตบตีจนเขียวช้ำก็เสียดายเปล่านะขอรับปู่หลี่ เรามาเล่นสนุกกับแม่สาวน้อยนี่ก่อนดีหรือไม่ขอรับ?”

หลี่กงกงฉีกยิ้ม แล้วตอบกลับลูกสมุนว่า “หึหึ ถ้าหากเสร็จกิจกันแล้ว ก็ปิดปากนางได้เลย เพราะการที่นางกำนัลแห่งวังหลังถูกฆ่าตาย มิใช่เรื่องน่าสนใจอะไรนัก แต่จงระวังอย่าให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปได้ล่ะ มิเช่นนั้น หัวของพวกเจ้าได้กุดสมใจแน่”

เสี่ยวหลันที่นั่งฟังมาตั้งแต่ต้นจึงเปิดฉากด่าพวกขันทีชั่วด้วยความสุดทน

“เจ้าพวกขันทีชั่ว บ้านเมืองนั้นมีขื่อมีแป และการพรากชีวิตผู้อื่นก็ถือเป็นบาปหนัก สักวัน กรรมจะต้องตามสนองพวกเจ้า”

“กรรมตามสนองงั้นรึ? ฮ่าฮ่าฮ่า…เจ้าคิดว่าพวกข้ากลัวหรือยังไง?”

“ปัง”

ประตูห้องชุมนุมถูกพังเข้ามาอย่างแรง จนบานประตูทั้งสองข้างกระทบเข้ากับผนังภายในห้องเข้าอย่างจัง

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

และทันทีที่เหลิ่งเทียนหมิงเหลือบไปเห็นเสี่ยวหลันที่ถูกมัดติดกับเก้าอี้ในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่า ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็แดงก่ำขึ้นมาทันที เพราะตั้งแต่ที่เขาได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในยุคโบราณนี่ เขาก็ไม่ได้ปรารถนาสิ่งใดนอกจากความผาสุข และคนคนเดียวที่คอยอยู่เคียงข้างเขามาโดยตลอด ก็คือแม่นางเสี่ยวหลันผู้นี้

แต่ในวันนี้ เขากลับต้องเห็นเสี่ยวหลันตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพราะตัวเขาเอง มันจึงทำให้เหลิ่งเทียนหมิงโกรธจัดจนแทบจะเป็นบ้า

เหลิ่งเทียนหมิงรีบถอดเสื้อนอกของตนออก และคลุมไปบนร่างบางของเสี่ยวหลัน

“ใครสั่งใครสอนให้พวกเจ้าทำเรื่องชั่วช้าเยี่ยงนี้ในวังหลวง? พวกเจ้าอยากตายหรือยังไง?”

ขันทีน้อยใหญ่ในห้องชุมนุม รวมถึงขันทีน้อยอีกสองคนที่เพิ่งจะวิ่งหน้าตั้งเข้ามาเมื่อครู่ ต่างพากันยืนนิ่งเงียบด้วยความตกตะลึง

“โอ้ บุรุษผู้นี้คือองค์ชายเจ็ดนี่นา? ถวายบังคมพะยะค่ะ องค์ชายเจ็ด”

สิ้นเสียงหลี่กงกง เหล่าขันทีน้อยใหญ่ภายในห้องชุมนุมก็พากันหมอบกราบเหลิ่งเทียนหมิงด้วยความหวาดกลัว

“ใครสั่งให้พวกเจ้ากักตัวเสี่ยวหลัน?”

“องค์ชายเจ็ด แม่นางเสี่ยวหลันผู้นี้ลักขโมยข้าวของภายในวังหลวง กระหม่อมจึงต้องลงโทษตามกฎของวังหลังพะยะค่ะ”

“ช่างหัวกฎของพวกเจ้าสิ ไอ้พวกขันทีชั่ว” เหลิ่งเทียนหมิงตอกกลับด้วยความโกรธจัด

“องค์ชายเจ็ด…คือว่า…กฎนี้เป็นกฎที่อวี้กุ้ยเฟยได้บัญญัติไว้นะพะยะค่ะ อีกอย่าง แม่นางเสี่ยวหลันก็เป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็ก ๆ อย่าไปสนพระทัยเลยนะพะยะค่ะ กระหม่อมมีชาดีอยู่ด้วย ทรงอยู่เสวยของหวาน ชาหอมก่อนสักหน่อยดีกว่านะพะยะค่ะ?”

หลี่กงกงเองก็แปลกใจไม่น้อย ที่จู่ ๆ องค์ชายเจ็ดผู้เงียบขรึม กลับมีท่าทีขึงขังขึ้นมาได้ และถึงแม้ว่าหลี่กงกงจะไม่ค่อยชอบใจนัก แต่เขาก็รู้ดีว่า องค์ชายเจ็ดเป็นถึงราชบุตรของท่านอ๋อง ตนมิอาจเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน

เหลิ่งเทียนหมิงกวาดสายตามองขันทีน้อยใหญ่ภายในห้องชุมนุมด้วยความเย็นชา

“ปล่อยตัวเสี่ยวหลันซะ ไม่อย่างนั้น พวกเจ้าไม่ตายดีแน่”

หลี่กงกงจึงลุกขึ้นยืน และพูดสวนกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “องค์ชายเจ็ด กระหม่อมและพวกต่างก็กำลังปฎิบัติตามกฎของวังหลัง ถึงอย่างไร นางผู้นี้ก็ได้กระทำความผิดฐานลักเล็กขโมยน้อย หากอวี้กุ้ยเฟยล่วงรู้ว่าองค์ชายเจ็ดเข้ามาแทรกแซง เรื่องมันจะยิ่งบานปลายกันไปใหญ่นะพะยะค่ะ”

อวี้กุ้ยเฟย คือลูกสาวท่านแม่ทัพใหญ่ นามว่า อวี้หลง อีกทั้งยังเป็นถึงพระมารดาขององค์ชายสาม ปัจจุบันอวี้กุ้ยเฟยมีอำนาจในหมู่นางกำนัลและเหล่าขันทีทั้งหมด

เนื่องจากมเหสีแห่งเป่ยเหลียงได้หันหน้าเข้าหาทางธรรม และไม่เคยถามไถ่เรื่องต่าง ๆ ของวังหลังมานานหลายปี ภาระทั้งหมดจึงตกอยู่ในความดูแลของอวี้กุ้ยเฟยเป็นส่วนใหญ่

“เจ้าคงเป็นหลี่กงกง ผู้มักใหญ่ใฝ่สูง ชอบใช้อำนาจของพี่ชายสามมาอวดเบ่งผู้คนไปทั่ว แถมยังทำเรื่องชั่วช้าในวังหลวงมาแล้วไม่น้อย หนำซ้ำยังกล้ายกอวี้กุ้ยเฟยมาขู่ข้าอีก ช่างเป็นขุนนางใหญ่ที่น่าเกรงขามเสียจริง” เหลิ่งเทียนหมิงกล่าวประชดประชันด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

“กระหม่อมมิบังอาจ มิบังอาจ กระหม่อมเพียงแค่ปฏิบัติตามกฎของวังหลังเท่านั้นพะยะค่ะ ขอองค์ชายทรงโปรดเห็นใจผู้น้อยอย่างกระหม่อมด้วย”

“ฮ่าฮ่า ทำตามกฎงั้นรึ”

เหลิ่งเทียนหมิงหัวเราะลั่น ก่อนจะถามกลับอย่างใจเย็นว่า “หากเป็นเช่นนั้น ข้าถามหน่อยสิ ว่าเดิมทีอาหารเลิศรสเหล่านั้นมันเป็นของข้าอยู่แล้วใช่หรือไม่ และต่อให้พวกขันทีชั่วอย่างพวกเจ้าจะลักกินขโมยกินของของข้ามากน้อยเพียงใด ข้าก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่นี่ข้าเป็นคนสั่งให้เสี่ยวหลันนำของพวกนั้นมาเป็นเสบียงระหว่างทางของข้า มันผิดแปลกอย่างไรงั้นรึ? ตอบข้ามาสิ?”

หลี่กงกงปากสั่นจนพูดอะไรไม่ออก ในใจก็ได้แต่คิดว่า

เจ้าองค์ชายน้อยนี่ แต่ก่อนยังพูดเป็นประโยคแทบไม่ได้ ใยวันนี้ถึงได้มีท่าทีผิดแปลกไปเช่นนี้? และถ้าหากว่าเรื่องเป็นอย่างที่เขาพูดมาจริง การกักตัวสาวใช้ผู้นี้ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลไปในทันที แต่เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้ปล่อยไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน และถ้าหากนางสาวใช้เอาเรื่องนี้ออกไปโพนทะนามั่วซั่ว ชีวิตข้าก็ได้จบเห่กันพอดี…

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

528