บทที่ 5 เราไม่สามารถพ่ายแพ้ได้
by ปู้เซี่ยงฉือฮั่วกัวเลอะ
22:27,Mar 24,2022
องค์ชายรองพูดจบ ทางด้านล่างต่างส่งเสียงเห็นด้วยคล้อยตาม ชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็ลุกยืนขึ้นมา
"ที่เสด็จพี่รองกล่าวก็ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงแต่เราได้รับรางวัลอันดับหนึ่งในการล่าสัตว์ที่ภูเขาเสวี่ยหลง เสด็จพ่อจักต้องชื่นชมเราอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องประชันบทกลอนเหล่านั้น ทำพอเป็นพิธีสักเล็กน้อยก็ใช้ได้แล้ว"
ท่านนี้คือองค์ชายห้าเหลิ่งเทียนเฉิง ทุกๆ คนจึงได้เห็นด้วยทันที
"องค์ชายห้าพูดได้ถูกต้องเลยพ่ะย่ะค่ะ…”
"ใช่ๆ…”
องค์ชายรองยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า : "การล่าสัตว์ครั้งนี้ ทุกๆ คนจักต้องทุ่มสุดกำลัง เพื่อเอาชนะเจ้าสามให้ได้"
"พ่ะย่ะค่ะ…กระหม่อมจะทำตามคำสั่งขององค์ชายรองอย่างเคร่งครัด"
"ใช่ เราจักต้องชนะอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ…”
"ดีมาก เช่นนั้นทุกคนก็กลับไปเตรียมตัวให้พร้อม แน่นอนว่าการออกไปล่าสัตว์ครั้งนี้ ความดุดันในการต่อสู้ของชายชาตรีแห่งเป่ยเหลียงอย่างพวกเรา จะทำให้เสด็จพ่อและบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนักทรงเล็งเห็นว่า ใครกันคือท่านอ๋องที่แท้จริง"
ได้ยินเช่นนี้ เหลิ่งเทียนหมิงก็ทำอะไรไม่ถูกเลย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?
องค์ชายรองพูดต่อว่า : "การล่าสัตว์ครั้งนี้ เพื่อเป็นการล่าเหยื่อให้ได้มากขึ้น เรายังต้องแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม แยกกันออกไปปฏิบัติ ข้ากับเจ้าห้าต่างพาทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเข้าไปที่ภูเขา หากพวกเจ้าสามารถล่าสัตว์ได้ก็จงตามไป แต่หากทำไม่ได้ก็จงอยู่รอที่เชิงเขา อย่าได้ก่อปัญหาให้พวกเรา"
บอกว่าองค์ชายรองจะแจกแจงงานให้กับผู้คนที่อยู่ที่นั่น แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้เอ่ยชื่อเหลิ่งเทียนหมิงเลย เหลิ่งเทียนหมิงจึงอดไม่ได้ที่จะก่นด่าอยู่ในใจ
"ข้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่ตรงนี้ พวกเจ้าไม่เห็นเลยหรือ? นี่ไม่ให้เกียรติองค์ชายเจ็ดอย่างข้าเลยใช่ไหม? ไม่ได้สิ เป็นอย่างนี้ต่อไปเมื่อไหร่ตนเองจะได้มีหน้ามีตาขึ้นมาล่ะ จะต้องทำอะไรสักหน่อยแล้ว"
เหลิ่งเทียนหมิงกัดฟัน ตะโกนเสียงดัง : "เสด็จพี่รอง น้องเจ็ดมีเรื่องที่ปรารถนาจักคุยกับท่านเพียงลำพังพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อพูดคำพูดนี้ออกมา ทุกๆ คนต่างตกตะลึง แล้วมองมาอย่างประหลาดใจ สายตาองค์ชายรองจึงมองตรงไปที่เหลิ่งเทียนหมิง
"เจ้าคือ…เจ้าเจ็ด อ้อ…เจ้ามีเรื่องอะไรล่ะ?"
"กระหม่อมมีคำพูดสองสามคำ ปรารถนาจักคุยกับเสด็จพี่รองเป็นการส่วนตัวสักเล็กน้อย เกี่ยวกับเรื่องการชุมนุมล่าสัตว์พ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อองค์ชายรองได้ยินว่าเป็นเรื่องการชุมนุมล่าสัตว์ ฉับพลันก็เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา
"โอ้ เช่นนั้นก็ดีเลย คนอื่นๆ ลงกันไปก่อนเถอะ"
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงน้อมคำนับแล้วออกไป ก่อนออกไปก็อดไม่ได้ที่จะมองเหลิ่งเทียนหมิงอย่างแปลกใจ ทำไมวันนี้องค์ชายเจ็ดพระองค์นี้จึงเอ่ยปากพูดได้นะ?
"เฮ้อ… องค์ชายเจ็ดท่านนี้แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเปล่งวาจา ทำไมจู่ๆ วันนี้ถึงเอ่ยปากได้ล่ะ ยังปรารถนาจะคุยกับองค์ชายรองเพียงลำพังอีกด้วย ทำให้ข้ารู้สึกตระหนกตกใจยิ่งนัก…”
"ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้องค์ชายเจ็ดเกือบจะแข็งตายไปแล้ว มิใช่ว่าเวลานั้น สมองได้ถูกทำลายไปแล้วหรือ?"
"เบาๆ เสียงหน่อย พูดถึงองค์ชายเป็นการส่วนตัว เจ้ามิอยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือ?"
รอให้ทุกคนถอยออกไป องค์ชายรองจึงมองมาทางเหลิ่งเทียนหมิง
"พูดมาเถอะ ว่ามีเรื่องอันใดที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมล่าสัตว์?"
"เสด็จพี่รอง ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ ว่าทำไมการประชุมล่าสัตว์ครั้งก่อนๆ จึงเป็นแค่เพียงการล่าสัตว์เพียงอย่างเดียว แต่ตอนนี้เสด็จพ่อ กลับปรารถนาที่จะเพิ่มการประลองบทกลอนนี้ขึ้นมาด้วย?"
เหลิ่งเทียนเอ้าขมวดคิ้ว
"เจ้ารู้หรือว่าเพราะเหตุใด?"
"เสด็จพี่รอง ท่านลองตรองดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ ปณิธานอันยิ่งใหญ่ของเสด็จพ่อนั้นมิใช่เพียงแค่แผ่นดินทางตอนเหนือเพียงอย่างเดียว ท่านกับกระหม่อมน่าจะเข้าใจดี จุดมุ่งหมายของเป่ยเหลียงของเรา นั่นคือการเอาชนะชนเผ่าจิ้งจอก รวบรวมดินแดนทางตอนเหนือให้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน ท้ายที่สุดแล้ววันหนึ่งก็จะลงใต้เข้ายึดครองพื้นที่ราบกลางได้ ถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"
เหลิ่งเทียนเอ้ามองด้วยความตกตะลึง น้องเจ็ดคนนี้แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเอ่ยปากพูดเลย
"ถูกต้อง แต่สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรกับการชุมนุมล่าสัตว์รึ?"
"เสด็จพี่รองท่านลองคิดดูสิพ่ะย่ะค่ะ หากต้องการรวบรวมทางตอนเหนือให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และเข้ายึดครองพื้นที่ราบกลาง เช่นนั้นเราจักต้องเข้าใจศัตรูของเรา นี่ก็เป็นเพราะว่าเหตุใด นับตั้งแต่เสด็จพ่อขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา ก็พยายามปฏิรูปเปลี่ยนแปลงเป่ยเหลียงของเรา และยกย่องวัฒนธรรมบทกวีของทางตอนใต้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าเสด็จพ่อได้เตรียมการไว้สำหรับอนาคตแล้วไม่ใช่หรือ?"
องค์ชายรองจมดิ่งอยู่กับความคิดอันลึกซึ้ง หลังจากนั้นไม่นาน
"เจ้าเจ็ด เจ้าพูดให้ชัดเจนอีกสักเล็กน้อยสิ"
เหลิ่งเทียนหมิงจึงพูดต่อว่า : "เพราะเหตุใดเสด็จพ่อจึงให้ความสำคัญกับบทกลอนบทกวีประเภทนี้ล่ะ? นั่นเป็นเพราะเสด็จพ่อเข้าใจดีว่า การปรารถนาที่จะรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นนั้น อาศัยแค่กำลังทหารไม่เพียงพอ แน่นอนว่าจักต้องอาศัยความคิด เรียนรู้ความคิดของศัตรู เพื่อใช้กับศัตรู ใช้ความคิดไปควบคุมศัตรู ซึ่งผ่อนคลายกว่าการใช้กองกำลังทหาร นี่เป็นเพราะว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงให้ความสำคัญกับบทกลอนบทกวีมากขึ้นเรื่อยๆ?"
ฉับพลันก็เหมือนกับว่าองค์ชายรองจะเข้าใจอะไรบางอย่าง และมองเหลิ่งเทียนหมิงด้วยความประหลาดใจ
"เช่นนั้นความหมายของเจ้าก็คือ เสด็จพ่อให้ความสำคัญกับการประลองบทกลอนบทกวีเป็นอย่างยิ่งใช่หรือไม่?"
เหลิ่งเทียนหมิงใช้สายตาที่แน่วแน่ มองไปยังองค์ชายรองแล้วพยักหน้า
"ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ กระนั้นไม่ว่าจะเป็นการล่าสัตว์ หรือการประลองบทกลอนนี้ เราจะไม่สามารถพ่ายแพ้ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ"
"ที่เสด็จพี่รองกล่าวก็ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงแต่เราได้รับรางวัลอันดับหนึ่งในการล่าสัตว์ที่ภูเขาเสวี่ยหลง เสด็จพ่อจักต้องชื่นชมเราอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องประชันบทกลอนเหล่านั้น ทำพอเป็นพิธีสักเล็กน้อยก็ใช้ได้แล้ว"
ท่านนี้คือองค์ชายห้าเหลิ่งเทียนเฉิง ทุกๆ คนจึงได้เห็นด้วยทันที
"องค์ชายห้าพูดได้ถูกต้องเลยพ่ะย่ะค่ะ…”
"ใช่ๆ…”
องค์ชายรองยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า : "การล่าสัตว์ครั้งนี้ ทุกๆ คนจักต้องทุ่มสุดกำลัง เพื่อเอาชนะเจ้าสามให้ได้"
"พ่ะย่ะค่ะ…กระหม่อมจะทำตามคำสั่งขององค์ชายรองอย่างเคร่งครัด"
"ใช่ เราจักต้องชนะอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ…”
"ดีมาก เช่นนั้นทุกคนก็กลับไปเตรียมตัวให้พร้อม แน่นอนว่าการออกไปล่าสัตว์ครั้งนี้ ความดุดันในการต่อสู้ของชายชาตรีแห่งเป่ยเหลียงอย่างพวกเรา จะทำให้เสด็จพ่อและบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนักทรงเล็งเห็นว่า ใครกันคือท่านอ๋องที่แท้จริง"
ได้ยินเช่นนี้ เหลิ่งเทียนหมิงก็ทำอะไรไม่ถูกเลย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?
องค์ชายรองพูดต่อว่า : "การล่าสัตว์ครั้งนี้ เพื่อเป็นการล่าเหยื่อให้ได้มากขึ้น เรายังต้องแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม แยกกันออกไปปฏิบัติ ข้ากับเจ้าห้าต่างพาทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเข้าไปที่ภูเขา หากพวกเจ้าสามารถล่าสัตว์ได้ก็จงตามไป แต่หากทำไม่ได้ก็จงอยู่รอที่เชิงเขา อย่าได้ก่อปัญหาให้พวกเรา"
บอกว่าองค์ชายรองจะแจกแจงงานให้กับผู้คนที่อยู่ที่นั่น แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้เอ่ยชื่อเหลิ่งเทียนหมิงเลย เหลิ่งเทียนหมิงจึงอดไม่ได้ที่จะก่นด่าอยู่ในใจ
"ข้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่ตรงนี้ พวกเจ้าไม่เห็นเลยหรือ? นี่ไม่ให้เกียรติองค์ชายเจ็ดอย่างข้าเลยใช่ไหม? ไม่ได้สิ เป็นอย่างนี้ต่อไปเมื่อไหร่ตนเองจะได้มีหน้ามีตาขึ้นมาล่ะ จะต้องทำอะไรสักหน่อยแล้ว"
เหลิ่งเทียนหมิงกัดฟัน ตะโกนเสียงดัง : "เสด็จพี่รอง น้องเจ็ดมีเรื่องที่ปรารถนาจักคุยกับท่านเพียงลำพังพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อพูดคำพูดนี้ออกมา ทุกๆ คนต่างตกตะลึง แล้วมองมาอย่างประหลาดใจ สายตาองค์ชายรองจึงมองตรงไปที่เหลิ่งเทียนหมิง
"เจ้าคือ…เจ้าเจ็ด อ้อ…เจ้ามีเรื่องอะไรล่ะ?"
"กระหม่อมมีคำพูดสองสามคำ ปรารถนาจักคุยกับเสด็จพี่รองเป็นการส่วนตัวสักเล็กน้อย เกี่ยวกับเรื่องการชุมนุมล่าสัตว์พ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อองค์ชายรองได้ยินว่าเป็นเรื่องการชุมนุมล่าสัตว์ ฉับพลันก็เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา
"โอ้ เช่นนั้นก็ดีเลย คนอื่นๆ ลงกันไปก่อนเถอะ"
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงน้อมคำนับแล้วออกไป ก่อนออกไปก็อดไม่ได้ที่จะมองเหลิ่งเทียนหมิงอย่างแปลกใจ ทำไมวันนี้องค์ชายเจ็ดพระองค์นี้จึงเอ่ยปากพูดได้นะ?
"เฮ้อ… องค์ชายเจ็ดท่านนี้แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเปล่งวาจา ทำไมจู่ๆ วันนี้ถึงเอ่ยปากได้ล่ะ ยังปรารถนาจะคุยกับองค์ชายรองเพียงลำพังอีกด้วย ทำให้ข้ารู้สึกตระหนกตกใจยิ่งนัก…”
"ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้องค์ชายเจ็ดเกือบจะแข็งตายไปแล้ว มิใช่ว่าเวลานั้น สมองได้ถูกทำลายไปแล้วหรือ?"
"เบาๆ เสียงหน่อย พูดถึงองค์ชายเป็นการส่วนตัว เจ้ามิอยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือ?"
รอให้ทุกคนถอยออกไป องค์ชายรองจึงมองมาทางเหลิ่งเทียนหมิง
"พูดมาเถอะ ว่ามีเรื่องอันใดที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมล่าสัตว์?"
"เสด็จพี่รอง ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ ว่าทำไมการประชุมล่าสัตว์ครั้งก่อนๆ จึงเป็นแค่เพียงการล่าสัตว์เพียงอย่างเดียว แต่ตอนนี้เสด็จพ่อ กลับปรารถนาที่จะเพิ่มการประลองบทกลอนนี้ขึ้นมาด้วย?"
เหลิ่งเทียนเอ้าขมวดคิ้ว
"เจ้ารู้หรือว่าเพราะเหตุใด?"
"เสด็จพี่รอง ท่านลองตรองดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ ปณิธานอันยิ่งใหญ่ของเสด็จพ่อนั้นมิใช่เพียงแค่แผ่นดินทางตอนเหนือเพียงอย่างเดียว ท่านกับกระหม่อมน่าจะเข้าใจดี จุดมุ่งหมายของเป่ยเหลียงของเรา นั่นคือการเอาชนะชนเผ่าจิ้งจอก รวบรวมดินแดนทางตอนเหนือให้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน ท้ายที่สุดแล้ววันหนึ่งก็จะลงใต้เข้ายึดครองพื้นที่ราบกลางได้ ถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"
เหลิ่งเทียนเอ้ามองด้วยความตกตะลึง น้องเจ็ดคนนี้แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเอ่ยปากพูดเลย
"ถูกต้อง แต่สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรกับการชุมนุมล่าสัตว์รึ?"
"เสด็จพี่รองท่านลองคิดดูสิพ่ะย่ะค่ะ หากต้องการรวบรวมทางตอนเหนือให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และเข้ายึดครองพื้นที่ราบกลาง เช่นนั้นเราจักต้องเข้าใจศัตรูของเรา นี่ก็เป็นเพราะว่าเหตุใด นับตั้งแต่เสด็จพ่อขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา ก็พยายามปฏิรูปเปลี่ยนแปลงเป่ยเหลียงของเรา และยกย่องวัฒนธรรมบทกวีของทางตอนใต้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าเสด็จพ่อได้เตรียมการไว้สำหรับอนาคตแล้วไม่ใช่หรือ?"
องค์ชายรองจมดิ่งอยู่กับความคิดอันลึกซึ้ง หลังจากนั้นไม่นาน
"เจ้าเจ็ด เจ้าพูดให้ชัดเจนอีกสักเล็กน้อยสิ"
เหลิ่งเทียนหมิงจึงพูดต่อว่า : "เพราะเหตุใดเสด็จพ่อจึงให้ความสำคัญกับบทกลอนบทกวีประเภทนี้ล่ะ? นั่นเป็นเพราะเสด็จพ่อเข้าใจดีว่า การปรารถนาที่จะรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นนั้น อาศัยแค่กำลังทหารไม่เพียงพอ แน่นอนว่าจักต้องอาศัยความคิด เรียนรู้ความคิดของศัตรู เพื่อใช้กับศัตรู ใช้ความคิดไปควบคุมศัตรู ซึ่งผ่อนคลายกว่าการใช้กองกำลังทหาร นี่เป็นเพราะว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงให้ความสำคัญกับบทกลอนบทกวีมากขึ้นเรื่อยๆ?"
ฉับพลันก็เหมือนกับว่าองค์ชายรองจะเข้าใจอะไรบางอย่าง และมองเหลิ่งเทียนหมิงด้วยความประหลาดใจ
"เช่นนั้นความหมายของเจ้าก็คือ เสด็จพ่อให้ความสำคัญกับการประลองบทกลอนบทกวีเป็นอย่างยิ่งใช่หรือไม่?"
เหลิ่งเทียนหมิงใช้สายตาที่แน่วแน่ มองไปยังองค์ชายรองแล้วพยักหน้า
"ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ กระนั้นไม่ว่าจะเป็นการล่าสัตว์ หรือการประลองบทกลอนนี้ เราจะไม่สามารถพ่ายแพ้ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ"
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved