บทที่18 การสนทนากันครั้งแรกระหว่างเขาและเสด็จพ่อ
by ปู้เซี่ยงฉือฮั่วกัวเลอะ
22:29,Mar 24,2022
ณ ค่ายพักแรมบริเวณตีนเขาเสวี่ยหลง
เหลิ่งเทียนหมิงมุ่งหน้ามายังที่ประทับของเหลิ่งเลี่ยอ๋องอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากเขารู้สึกตื่นเต้นและกังวลอยู่เล็กน้อย เมื่อต้องเข้าเฝ้ากษัตริย์ผู้ซึ่งมีอำนาจเหลือล้นในยุคนี้ แต่ในฐานะลูกที่กำลังจะได้พบ และพูดคุยกับบุคคลผู้เป็นบิดาในครั้งแรกนั้น มันก็ต้องมีความรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจเป็นธรรมดา
ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เหลิ่งเทียนหมิงถูกเหลิ่งเลี่ยอ๋องเรียกพบอย่างกะทันหันเช่นกัน เมื่อเหลิ่งเทียนหมิงเดินเท้ามาถึงหน้ากระโจมใหญ่ ราชองครักษ์จึงรีบเข้าไปรายงานต่อท่านอ๋องทันที ก่อนจะเดินกลับออกมา และโค้งคำนับให้กับเหลิ่งเทียนหมิง “องค์ชายเจ็ด ท่านอ๋องทรงมีรับสั่งให้พระองค์เสด็จเข้าเฝ้าบัดเดี๋ยวนี้เลยพะยะค่ะ”
เหลิ่งเทียนหมิงยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร ก่อนจะเดินหน้าเข้าไปในกระโจมอย่างกระฉับกระเฉง
โดยที่เหลิ่งเลี่ยอ๋องเองก็กำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มโปรดของเขา
“ถวายบังคมพะยะค่ะ เสด็จพ่อ”
“ลุกขึ้นเถิด” เหลิ่งเลี่ยอ๋องกล่าวเสียงทุ้ม โดยที่ตาทั้งสองข้างของเขายังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือในมือ
เหลิ่งเทียนหมิงจึงลุกขึ้นยืน และเงยหน้ามองเหลิ่งเลี่ยอ๋องอย่างพินิจพิเคราะห์ เพราะนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่เหลิ่งเทียนหมิงได้เห็นใบหน้าของเหลิ่งเลี่ยอ๋องอย่างใกล้ชิดเช่นกัน ใบหน้าของเหลิ่งเลี่ยอ๋อง เผยให้เห็นถึงความกร้านโลกของชายสูงวัย ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าครึ่งชีวิต แต่ถึงกระนั้น ใบหน้าของเขาในตอนนี้กลับแลดูเรียบนิ่ง ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ จนทำให้เหลิ่งเทียนหมิงไม่รู้สึกกดดันมากสักเท่าไร
แต่ไม่นานนัก เหลิ่งเลี่ยอ๋องก็คว่ำหน้าหนังสือลงบนโต๊ะ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตากับเหลิ่งเทียนหมิง
และเอ่ยถามว่า
“บัดนี้ เจ้าเองก็มีอายุได้ 16 ชันษาแล้ว คงถึงเวลาที่เจ้าจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในองค์ประชุมต่าง ๆ ของราชวงศ์แล้วสินะ?”
“พะยะค่ะ บัดนี้ลูกมีอายุ 16 ชันษาและจะเข้าปีที่ 17 ในอีกไม่ช้านี้ด้วยพะยะค่ะ”
ตามธรรมเนียมของราชวงศ์เป่ยเหลียงที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานั้น ราชบุตรของท่านอ๋องจะสามารถเข้าร่วมในองค์ประชุมต่าง ๆ ของราชสำนักได้ ก็ต่อเมื่อมีพระชนมายุครบ 15 ชันษาบริบูรณ์ และเมื่อมีพระชนมายุครบ 17 ชันษา ราชบุตรก็จะสามารถมีพิธีอภิเษกสมรส และมีสิทธิที่จะพิสูจน์ตนเองว่า อาณาจักรแห่งเป่ยเหลียงนั้น ควรเป็นของตนหรือไม่ ซึ่งก็แน่นอนว่า บัดนี้องค์ชายรองและองค์ชายสามนั้น กำลังแข่งขันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งกันอยู่ตลอด
“ข้าได้ยินมาว่า เจ้าต้องอยู่คนเดียวลำพังในหุบเขาเสวี่ยหลงเป็นเวลา 5 วัน เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าเจ้าสามารถเอาชีวิตรอดในที่แห่งนั้นมาได้อย่างไร?”
ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ถามคำถามแบบนี้ขึ้นมานะ หรือว่าเขากำลังจะสื่ออะไรกับฉัน เหลิ่งเทียนหมิงนึกสงสัยอยู่ในใจ ก่อนจะตอบกลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
“ในคืนล่าสัตว์ ทัพของพี่ชายรองซึ่งมีลูกคอยติดตามไปด้วยนั้น ได้เจอเข้ากับเสือภูเขาหิมะซึ่ง ๆ หน้า แต่ด้วยความภักดีของเหล่าราชองครักษ์ จึงทำให้ลูกมีโอกาสหนีตายออกมาได้พะยะค่ะ และไม่ว่าพวกเขาจะอ่อนล้าเพียงใด แต่พวกเขาก็ยังยืนหยัดที่จะปกป้องลูก
หลังจากที่ลูกหนีออกมาได้ ลูกก็หามุมลับ ๆ แถวนั้นซ่อนตัวอยู่พักหนึ่ง เพราะลูกไม่อยากไปเป็นภาระของใครอีกแล้วพะยะค่ะ แต่พอลูกกลับไปยังจุดเกิดเหตุอีกครั้ง ลูกกลับไม่พบเจอใครเลยสักคนพะยะค่ะ ลูกจึงเก็บข้าวของและเสบียงที่ตกหล่นอยู่ในจุดเกิดเหตุไว้ และเดินเท้าต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้เจอกับถ้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง”
เหลิ่งเทียนหมิงยกคำตอบที่ตนได้เตรียมไว้ล่วงหน้าขึ้นมา เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอกับคำถามแบบนี้
เหลิ่งเลี่ยอ๋องจึงถามต่ออีกว่า “ทำไมเจ้าถึงยังกลับไปที่จุดเกิดเหตุอีกล่ะ? เจ้าไม่ได้พบกับหน่วยทหารลาดตระเวนภายในหุบเขาเลยรึ? ”
"เพราะลูกเห็นว่าเจ้าเสือภูเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อยพะยะค่ะ ลูกถึงมั่นใจว่ามันอาจจะหนีไปจากจุดเกิดเหตุแล้วแน่ ลูกจึงได้ย้อนกลับไปที่นั่นอีกครั้ง
แต่หลังจากที่มีหิมะตกหนัก ลูกก็ไม่กล้าเดินไปไหนมั่วซั่วอีกเลย จนกระทั่งในวันนี้ที่เสบียงของลูกหมดลง ลูกจึงต้องเดินเท้าออกมาหาของป่า และเจอเข้ากับทางออกนี่แหละพะยะค่ะ แต่หน่วยลาดตระเวนที่เสด็จพ่อกล่าวถึง ลูกยังไม่เคยพบเห็นพวกเขาเลยจริง ๆ พะยะค่ะ”
แม้ว่าคำตอบของเหลิ่งเทียนหมิงจะฟังดูติดขัดไปบ้าง แต่เหลิ่งเลี่ยอ๋องก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก เนื่องจากในคืนนั้น เหล่าราชองครักษ์ต่างก็ช่วยกันปกป้ององค์ชายรองกันอย่างเต็มที่ จนกระทั่งตัวพระองค์เองต้องส่งกำลังพลเข้าไปช่วยเหลือในช่วงกลางดึก แต่ถึงอย่างไร เหลิ่งเลี่ยอ๋องก็ยังไม่ได้รับรายงานความคืบหน้าจากหน่วยลาดตระเวนเลยแม้แต่น้อย
เหลิ่งเลี่ยอ๋องเมียงมองเด็กหนุ่มวัย 16 อย่างพินิจพิเคราะห์ เพราะท่าทีที่สุขุมนุ่มลึก และการตอบคำถามอย่างชาญฉลาดของเขานั้น เกินจากที่เหลิ่งเลี่ยอ๋องจินตนาการเอาไว้มาก
และต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า หากใครได้มายืนอยู่ต่อหน้าพระพักต์ของเหลิ่งเลี่ยอ๋อง โดยที่ขาทั้งสองข้างไม่มีสั่นเทา ก็ถือว่าบุคคลผู้นั้นมีความกล้าหาญอยู่พอตัวแล้ว แต่องค์ชายเจ็ดผู้นี้ กลับกล้าสบตาเหลิ่งเลี่ยอ๋องในทุกวินาทีที่ต้องตอบคำถาม ช่างผิดแปลกแหวกแนวเสียจริง
ทั้งที่ความจริงนั้น เหลิ่งเทียนหมิงแค่รู้สึกตื่นเต้น และตื้นตันที่ได้มีโอกาสมาเข้าเฝ้าท่านอ๋องในยุคโบราณ ตามประสาเด็กหนุ่มที่ถูกพัดพามาจากอีกโลกหนึ่งก็เท่านั้น
เหลิ่งเลี่ยอ๋องครุ่นคิดพิจารณาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “อื้ม เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด และต่อจากนี้ หากมีการประชุมสำนัก เจ้าจะต้องเข้าร่วมในทุกการประชุมนะ”
แต่เหลิ่งเทียนหมิงกลับยืนนิ่งเงียบไม่ไหวติงต่อพระกระแสรับสั่ง แถมยังสวนกลับมาอีกด้วยว่า
“เสด็จพ่อ ลูกมีเรื่องอยากจะกราบทูลเสด็จพ่อพะยะค่ะ”
เหลิ่งเลี่ยอ๋องสบตาเหลิ่งเทียนหมิงด้วยสีหน้าสงสัย
“เรื่องอะไรงั้นรึ?”
“ลูกได้ยินมาว่า กองพันจินจื้อถูกกุมตัวไว้หมด ทั้งที่พวกเขาเองก็เกือบจะเอาชีวิตจากเสือร้ายแทบไม่รอด
เพราะเจ้าเสือตัวนั้น ทั้งตัวใหญ่และดุร้ายยิ่งนักพะยะค่ะ ถ้าหากเสด็จพ่อจะให้พวกเขารับผิดชอบต่อความเสียหายทั้งหมดนั่นอีก ลูกก็เกรงว่าพวกเขาจะท้อใจกันไปเสียก่อน ขอเสด็จพ่อทรงเมตตาพวกเขาเถิดนะพะยะค่ะ”
เรื่องที่แม่ทัพเฉิงกับพลทหารอีกหลายนายถูกกุมตัวอยู่นั้น เหลิ่งเทียนหมิงเองก็รู้มาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่อำนาจและบารมีอันน้อยนิดของเขาไม่สามารถช่วยเหลือใครได้เลยจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้ ในการขอความเมตตาให้แก่แม่ทัพเฉิงและพลทหารอีกหลายนาย
เหลิ่งเลี่ยอ๋องได้ยินดังนั้น จึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า
“ข้าเข้าใจแล้วล่ะ”
เหลิ่งเลี่ยอ๋องจ้องมองแผ่นหลังของเหลิ่งเทียนหมิงที่กำลังเดินจากไป พร้อมกับพึมพำขึ้นมาว่า “ทำไมเจ้าถึงได้…?”
เฉินกงกงที่ยืนอยู่เคียงข้างจึงโค้งคำนับ และพูดขึ้นว่า
“นี่เป็นครั้งแรกที่กระหม่อมได้พบกับองค์ชายเจ็ดเช่นกันพะยะค่ะ… ท่าทางขององค์ชาย ดูช่างสุขุมและเด็ดขาดในทุกคำพูด เหมือนกับท่านอ๋องครั้งยังทรงพระเยาว์ไม่มีผิดเลยนะพะยะค่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น แววตาของเหลิ่งเลี่ยอ๋องที่กำลังจ้องมองเด็กหนุ่มก็แลดูลึกล้ำ จนยากที่จะคาดเดาได้ว่า เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่…
เหลิ่งเทียนหมิงมุ่งหน้ามายังที่ประทับของเหลิ่งเลี่ยอ๋องอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากเขารู้สึกตื่นเต้นและกังวลอยู่เล็กน้อย เมื่อต้องเข้าเฝ้ากษัตริย์ผู้ซึ่งมีอำนาจเหลือล้นในยุคนี้ แต่ในฐานะลูกที่กำลังจะได้พบ และพูดคุยกับบุคคลผู้เป็นบิดาในครั้งแรกนั้น มันก็ต้องมีความรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจเป็นธรรมดา
ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เหลิ่งเทียนหมิงถูกเหลิ่งเลี่ยอ๋องเรียกพบอย่างกะทันหันเช่นกัน เมื่อเหลิ่งเทียนหมิงเดินเท้ามาถึงหน้ากระโจมใหญ่ ราชองครักษ์จึงรีบเข้าไปรายงานต่อท่านอ๋องทันที ก่อนจะเดินกลับออกมา และโค้งคำนับให้กับเหลิ่งเทียนหมิง “องค์ชายเจ็ด ท่านอ๋องทรงมีรับสั่งให้พระองค์เสด็จเข้าเฝ้าบัดเดี๋ยวนี้เลยพะยะค่ะ”
เหลิ่งเทียนหมิงยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร ก่อนจะเดินหน้าเข้าไปในกระโจมอย่างกระฉับกระเฉง
โดยที่เหลิ่งเลี่ยอ๋องเองก็กำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มโปรดของเขา
“ถวายบังคมพะยะค่ะ เสด็จพ่อ”
“ลุกขึ้นเถิด” เหลิ่งเลี่ยอ๋องกล่าวเสียงทุ้ม โดยที่ตาทั้งสองข้างของเขายังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือในมือ
เหลิ่งเทียนหมิงจึงลุกขึ้นยืน และเงยหน้ามองเหลิ่งเลี่ยอ๋องอย่างพินิจพิเคราะห์ เพราะนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่เหลิ่งเทียนหมิงได้เห็นใบหน้าของเหลิ่งเลี่ยอ๋องอย่างใกล้ชิดเช่นกัน ใบหน้าของเหลิ่งเลี่ยอ๋อง เผยให้เห็นถึงความกร้านโลกของชายสูงวัย ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าครึ่งชีวิต แต่ถึงกระนั้น ใบหน้าของเขาในตอนนี้กลับแลดูเรียบนิ่ง ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ จนทำให้เหลิ่งเทียนหมิงไม่รู้สึกกดดันมากสักเท่าไร
แต่ไม่นานนัก เหลิ่งเลี่ยอ๋องก็คว่ำหน้าหนังสือลงบนโต๊ะ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตากับเหลิ่งเทียนหมิง
และเอ่ยถามว่า
“บัดนี้ เจ้าเองก็มีอายุได้ 16 ชันษาแล้ว คงถึงเวลาที่เจ้าจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในองค์ประชุมต่าง ๆ ของราชวงศ์แล้วสินะ?”
“พะยะค่ะ บัดนี้ลูกมีอายุ 16 ชันษาและจะเข้าปีที่ 17 ในอีกไม่ช้านี้ด้วยพะยะค่ะ”
ตามธรรมเนียมของราชวงศ์เป่ยเหลียงที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานั้น ราชบุตรของท่านอ๋องจะสามารถเข้าร่วมในองค์ประชุมต่าง ๆ ของราชสำนักได้ ก็ต่อเมื่อมีพระชนมายุครบ 15 ชันษาบริบูรณ์ และเมื่อมีพระชนมายุครบ 17 ชันษา ราชบุตรก็จะสามารถมีพิธีอภิเษกสมรส และมีสิทธิที่จะพิสูจน์ตนเองว่า อาณาจักรแห่งเป่ยเหลียงนั้น ควรเป็นของตนหรือไม่ ซึ่งก็แน่นอนว่า บัดนี้องค์ชายรองและองค์ชายสามนั้น กำลังแข่งขันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งกันอยู่ตลอด
“ข้าได้ยินมาว่า เจ้าต้องอยู่คนเดียวลำพังในหุบเขาเสวี่ยหลงเป็นเวลา 5 วัน เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าเจ้าสามารถเอาชีวิตรอดในที่แห่งนั้นมาได้อย่างไร?”
ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ถามคำถามแบบนี้ขึ้นมานะ หรือว่าเขากำลังจะสื่ออะไรกับฉัน เหลิ่งเทียนหมิงนึกสงสัยอยู่ในใจ ก่อนจะตอบกลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
“ในคืนล่าสัตว์ ทัพของพี่ชายรองซึ่งมีลูกคอยติดตามไปด้วยนั้น ได้เจอเข้ากับเสือภูเขาหิมะซึ่ง ๆ หน้า แต่ด้วยความภักดีของเหล่าราชองครักษ์ จึงทำให้ลูกมีโอกาสหนีตายออกมาได้พะยะค่ะ และไม่ว่าพวกเขาจะอ่อนล้าเพียงใด แต่พวกเขาก็ยังยืนหยัดที่จะปกป้องลูก
หลังจากที่ลูกหนีออกมาได้ ลูกก็หามุมลับ ๆ แถวนั้นซ่อนตัวอยู่พักหนึ่ง เพราะลูกไม่อยากไปเป็นภาระของใครอีกแล้วพะยะค่ะ แต่พอลูกกลับไปยังจุดเกิดเหตุอีกครั้ง ลูกกลับไม่พบเจอใครเลยสักคนพะยะค่ะ ลูกจึงเก็บข้าวของและเสบียงที่ตกหล่นอยู่ในจุดเกิดเหตุไว้ และเดินเท้าต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้เจอกับถ้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง”
เหลิ่งเทียนหมิงยกคำตอบที่ตนได้เตรียมไว้ล่วงหน้าขึ้นมา เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอกับคำถามแบบนี้
เหลิ่งเลี่ยอ๋องจึงถามต่ออีกว่า “ทำไมเจ้าถึงยังกลับไปที่จุดเกิดเหตุอีกล่ะ? เจ้าไม่ได้พบกับหน่วยทหารลาดตระเวนภายในหุบเขาเลยรึ? ”
"เพราะลูกเห็นว่าเจ้าเสือภูเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อยพะยะค่ะ ลูกถึงมั่นใจว่ามันอาจจะหนีไปจากจุดเกิดเหตุแล้วแน่ ลูกจึงได้ย้อนกลับไปที่นั่นอีกครั้ง
แต่หลังจากที่มีหิมะตกหนัก ลูกก็ไม่กล้าเดินไปไหนมั่วซั่วอีกเลย จนกระทั่งในวันนี้ที่เสบียงของลูกหมดลง ลูกจึงต้องเดินเท้าออกมาหาของป่า และเจอเข้ากับทางออกนี่แหละพะยะค่ะ แต่หน่วยลาดตระเวนที่เสด็จพ่อกล่าวถึง ลูกยังไม่เคยพบเห็นพวกเขาเลยจริง ๆ พะยะค่ะ”
แม้ว่าคำตอบของเหลิ่งเทียนหมิงจะฟังดูติดขัดไปบ้าง แต่เหลิ่งเลี่ยอ๋องก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก เนื่องจากในคืนนั้น เหล่าราชองครักษ์ต่างก็ช่วยกันปกป้ององค์ชายรองกันอย่างเต็มที่ จนกระทั่งตัวพระองค์เองต้องส่งกำลังพลเข้าไปช่วยเหลือในช่วงกลางดึก แต่ถึงอย่างไร เหลิ่งเลี่ยอ๋องก็ยังไม่ได้รับรายงานความคืบหน้าจากหน่วยลาดตระเวนเลยแม้แต่น้อย
เหลิ่งเลี่ยอ๋องเมียงมองเด็กหนุ่มวัย 16 อย่างพินิจพิเคราะห์ เพราะท่าทีที่สุขุมนุ่มลึก และการตอบคำถามอย่างชาญฉลาดของเขานั้น เกินจากที่เหลิ่งเลี่ยอ๋องจินตนาการเอาไว้มาก
และต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า หากใครได้มายืนอยู่ต่อหน้าพระพักต์ของเหลิ่งเลี่ยอ๋อง โดยที่ขาทั้งสองข้างไม่มีสั่นเทา ก็ถือว่าบุคคลผู้นั้นมีความกล้าหาญอยู่พอตัวแล้ว แต่องค์ชายเจ็ดผู้นี้ กลับกล้าสบตาเหลิ่งเลี่ยอ๋องในทุกวินาทีที่ต้องตอบคำถาม ช่างผิดแปลกแหวกแนวเสียจริง
ทั้งที่ความจริงนั้น เหลิ่งเทียนหมิงแค่รู้สึกตื่นเต้น และตื้นตันที่ได้มีโอกาสมาเข้าเฝ้าท่านอ๋องในยุคโบราณ ตามประสาเด็กหนุ่มที่ถูกพัดพามาจากอีกโลกหนึ่งก็เท่านั้น
เหลิ่งเลี่ยอ๋องครุ่นคิดพิจารณาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “อื้ม เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด และต่อจากนี้ หากมีการประชุมสำนัก เจ้าจะต้องเข้าร่วมในทุกการประชุมนะ”
แต่เหลิ่งเทียนหมิงกลับยืนนิ่งเงียบไม่ไหวติงต่อพระกระแสรับสั่ง แถมยังสวนกลับมาอีกด้วยว่า
“เสด็จพ่อ ลูกมีเรื่องอยากจะกราบทูลเสด็จพ่อพะยะค่ะ”
เหลิ่งเลี่ยอ๋องสบตาเหลิ่งเทียนหมิงด้วยสีหน้าสงสัย
“เรื่องอะไรงั้นรึ?”
“ลูกได้ยินมาว่า กองพันจินจื้อถูกกุมตัวไว้หมด ทั้งที่พวกเขาเองก็เกือบจะเอาชีวิตจากเสือร้ายแทบไม่รอด
เพราะเจ้าเสือตัวนั้น ทั้งตัวใหญ่และดุร้ายยิ่งนักพะยะค่ะ ถ้าหากเสด็จพ่อจะให้พวกเขารับผิดชอบต่อความเสียหายทั้งหมดนั่นอีก ลูกก็เกรงว่าพวกเขาจะท้อใจกันไปเสียก่อน ขอเสด็จพ่อทรงเมตตาพวกเขาเถิดนะพะยะค่ะ”
เรื่องที่แม่ทัพเฉิงกับพลทหารอีกหลายนายถูกกุมตัวอยู่นั้น เหลิ่งเทียนหมิงเองก็รู้มาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่อำนาจและบารมีอันน้อยนิดของเขาไม่สามารถช่วยเหลือใครได้เลยจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้ ในการขอความเมตตาให้แก่แม่ทัพเฉิงและพลทหารอีกหลายนาย
เหลิ่งเลี่ยอ๋องได้ยินดังนั้น จึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า
“ข้าเข้าใจแล้วล่ะ”
เหลิ่งเลี่ยอ๋องจ้องมองแผ่นหลังของเหลิ่งเทียนหมิงที่กำลังเดินจากไป พร้อมกับพึมพำขึ้นมาว่า “ทำไมเจ้าถึงได้…?”
เฉินกงกงที่ยืนอยู่เคียงข้างจึงโค้งคำนับ และพูดขึ้นว่า
“นี่เป็นครั้งแรกที่กระหม่อมได้พบกับองค์ชายเจ็ดเช่นกันพะยะค่ะ… ท่าทางขององค์ชาย ดูช่างสุขุมและเด็ดขาดในทุกคำพูด เหมือนกับท่านอ๋องครั้งยังทรงพระเยาว์ไม่มีผิดเลยนะพะยะค่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น แววตาของเหลิ่งเลี่ยอ๋องที่กำลังจ้องมองเด็กหนุ่มก็แลดูลึกล้ำ จนยากที่จะคาดเดาได้ว่า เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่…
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved