บทที่11 เฉิงไคซาน

เหลิ่งเทียนหมิงไล่ดูพื้นที่ทั้งหมดของภูเขาเสวี่ยหลงผ่านแผนที่ใหญ่ ก่อนจะพบว่าภูเขาเสวี่ยหลงนั้น ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนจีนและรัสเซียในปัจจุบัน

แต่ด้วยความที่หุบเขาเสวี่ยหลงนั้นมีหิมะตกตลอดทั้งปี เหล่าสัตว์ดุร้ายอย่างหมาป่าหรือเสือโคร่งจึงต้องอยู่อย่างหิวโหย และเฝ้าคอยเหยื่ออันโอชะอย่างเงียบเชียบ ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กษัตริย์แห่งเป่ยเหลียงเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นลานประลองสำหรับคนหนุ่มสาว ผู้ซึ่งเกิดในราชวงศ์เป่ยเหลียง

เหลิ่งเทียนหมิงรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมาเยี่ยมชมสิ่งต่าง ๆ ในเขตปกครองของราชวงศ์เป่ยเหลียง และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้นั่งบนเกี้ยวเหมือนอย่างในนิยาย แต่อย่างน้อยในฐานะองค์ชาย เขาก็ยังมีม้าหนุ่มทรงดีเป็นยานพาหนะในการเดินทาง

เมื่อเหลิ่งเทียนหมิงได้เห็นสภาพบ้านเมือง ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์เป่ยเหลียงอย่างเต็มตา มันก็ทำให้เขาได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองในแบบที่ตัวเขาเองก็คาดไม่ถึง เพราะทุกหนแห่งนั้น เต็มไปด้วยศาลาบ้านช่อง และราวตากผ้าที่เกี่ยวโยงกันไปมา คล้ายกับวิถีชีวิตของผู้คนในยุคสมัยราชวงศ์ซ่งอยู่ไม่น้อย

แถมยังเห็นได้ชัดว่าถนนหนทางในเขตปกครองนั้นถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว เนื่องจากเส้นทางที่รถม้าเคลื่อนตัวผ่านอยู่ ณ ขณะนี้ ไร้ซึ่งผู้คนจนน่าแปลกใจ เหลือไว้ก็แต่ร่องรอยของถนนหนทางที่ถูกใช้สอยจนโล่งเตียนเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา

ทำให้เห็นป้ายโรงเตี๊ยม ร้านบะหมี่ ร้านขายผ้า ร้านขายข้าวสาร หรือแม้กระทั่งเรือนคณิกาได้อย่างชัดเจน…

เหลิ่งเทียนหมิงสอดส่องร้านรวงต่าง ๆ ข้างทาง พลางคิดในใจไปด้วยว่า ถ้าตัวเขาได้ออกมาใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน เขาจะนำธุรกิจอะไรในยุคของเขาเข้ามาสร้างที่นี่ดีนะ? และถ้าหากว่าเขาได้ออกจากวังหลวงมาทำธุรกิจเยี่ยงสามัญชน เขาจะต้องกลายเป็นเศรษฐีอย่างแน่นอน

แต่ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร…มันย่อมดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นแน่ เพราะในตอนนี้ เขาไม่มีทั้งอำนาจและบารมีมากพอที่จะต่อกลอนกับใคร ดังนั้นการที่เขาจะก้าวไปข้างหน้าได้นั้น มันอาจไม่ง่ายเหมือนอย่างที่เขาคิด…

ผู้คุ้มกันเหลิ่งเทียนหมิงในการออกล่าสัตว์ครั้งนี้ ก็คือ “เฉิงไคซาน” แห่งกองพันจินจื้อ

เฉิงไคซานผู้นี้ เดิมทีเป็นชาวภูเขาเสวี่ยหลง ดังนั้นร่างกายของเขาจึงแลดูสูงใหญ่กว่าชายทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด และถึงแม้ว่าเขาจะดูสูงใหญ่จนน่าเกรงขาม แต่แท้จริงแล้ว เฉิงไคซานเป็นเพียงชายร่างใหญ่ใจดีคนหนึ่งเท่านั้นเอง

และจริง ๆ แล้ว เหลิ่งเทียนหมิงเองก็อยากจะคบหากับเฉิงไคซานฉันมิตรอยู่เหมือนกัน แต่ติดที่เขาเอาแต่คิดว่า องค์ชายไร้อำนาจบารมีอย่างเขานั้น คงไม่มีใครอยากจะคบหาสมาคมด้วย

เพียงชั่วพริบตาเดียว กองทัพของราชวงศ์เป่ยเหลียงก็เริ่มเข้าใกล้ความเย็นยะเยือกเข้าไปทุกที ยิ่งในช่วงกลางดึก ลมหนาวจากบนหุบเขาก็จะยิ่งพัดแรงขึ้น จนผู้คนทั้งกองทัพนั้นแทบอยากจะมุดหนีลงดิน…

เช้าวันรุ่งขึ้น ในขณะที่เหลิ่งเทียนหมิงกำลังเดินเล่นอยู่ในค่าย เขาก็ได้พบกับเฉิงไคซานที่กำลังเดินตรวจการอยู่บริเวณรอบนอกเข้าพอดี

“เฮ้ แม่ทัพเฉิง อีกนานหรือไม่ กว่าที่เราจะถึงภูเขาเสวี่ยหลงหนะ? ข้ารู้สึกว่าอากาศมันเริ่มจะหนาวมากแล้วนะ”

เมื่อเฉิงไคซานเห็นว่าชายตรงหน้าเขาคือ เหลิ่งเทียนหมิง เขาจึงรีบหมอบกราบทันทีด้วยความเคารพ “องค์ชายเจ็ด ขณะนี้กองทัพของเราเข้าใกล้ภูเขาเสวี่ยหลงแล้วพะยะค่ะ กระหม่อมคาดว่ากองทัพของเราน่าจะถึงค่ายล่าสัตว์ในอีก 2-3 วันนี้ แต่สภาพอากาศเยี่ยงนี้ ยังไม่ถือว่าหนาวเย็นเกินไปหรอกพะยะค่ะ เพราะถ้าหากเข้าสู่หน้าหนาวตามฤดูกาลจริง ๆ แล้ว มันจะหนาวจัดจนทำให้คนคนหนึ่งแข็งตายได้เลยพะยะค่ะ”

เหลิ่งเทียนหมิงเริ่มสัมผัสได้ว่า เฉิงไคซานผู้นี้ เป็นคนซื่อตรงและเรียบง่ายกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก

“ไหนเจ้าลองเล่าเรื่องบ้านเกิดของเจ้าให้ข้าฟังหน่อยสิ ข้าเองก็รู้สึกสนใจเรื่องราวของภูเขาเสวี่ยหลงแห่งนี้ไม่น้อยนะ”

เฉิงไคซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นนั่งตัวตรง เผยให้เห็นใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม

“ชนเผ่าของกระหม่อม มีชื่อว่า “ชนเผ่าหินดำ” พะยะค่ะ ชนเผ่าของเราจะอาศัยอยู่ในป่าลึกหรือถ้ำน้อยใหญ่ตามช่องเขา เพื่อหลบลมหนาวจากบนเทือกเขาด้านบน และว่ากันว่า เดิมทีชนเผ่าของกระหม่อมก็เป็นเพียงชนเผ่าเลี้ยงวัวตามทุ่งหญ้าธรรมดา ๆ แต่สิ่งที่ทำให้บรรพบุรุษของชนเผ่าหินดำต้องโยกย้ายถิ่นฐานเข้ามาในป่าลึกเยี่ยงนี้ เป็นเพราะต้องการหลีกหนีจากสงครามและความวุ่นวายทั้งปวง แต่ถึงจะหนีอย่างไร ก็ยังหนีไม่พ้นพะยะค่ะ…”

เฉิงไคซานถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเล่าต่อไปอีกว่า

“แต่ด้วยความที่ภูเขาเสวี่ยหลงอุดมไปด้วยถ่านหินและแร่เหล็กต่าง ๆ มากมาย มันจึงทำให้ชนเผ่าหินดำยังพอฝนดินปืนออกมาแลกอาหารกับชาวเมืองได้อยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่พอเลี้ยงชีพได้อย่างเต็มที่นักพะยะค่ะ”

“แล้วพวกเจ้าเข้ามาอยู่ในกองทัพของวังหลวงได้อย่างไร?”

เฉิงไคซานถอนหายใจยาวเหยียดกว่าเก่า ก่อนจะเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ขมขื่นบนใบหน้า

“หลังจากที่กษัตริย์แห่งเป่ยเหลียงองค์ก่อนทรงรู้เข้า ว่าภายใต้ภูเขาเสวี่ยหลงนั้นมีแหล่งแร่เหล็กและถ่านหินจำนวนมหาศาล พระองค์จึงมีรับสั่งให้เหล่าทหารเข้ายึดเหมืองแร่และถ่านหินทั้งหมด อีกทั้งยังขอให้ชนเผ่าหินดำมอบตัวเข้ารับใช้ราชวงศ์เป่ยเหลียงอีกด้วย หากผู้ใดฝ่าฝืน ก็จักถูกบั่นคอสถานเดียว ซึ่งภายในคืนแรกก็มีชาวชนเผ่าถูกฆ่าตายไปกว่าหมื่นคนแล้วพะยะค่ะ”

เมื่อเฉิงไคซานเล่ามาถึงจุดนี้ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็แดงก่ำขึ้นมาทันทีด้วยความโกรธแค้น

ทางด้านเหลิ่งเทียนหมิงเองก็ตกตะลึงไปไม่น้อย เมื่อได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังที่แสนจะโหดเหี้ยมของเหล่าบรรพบุรุษของตน

“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ชนเผ่าหินดำของเจ้ายังเหลือกันอยู่กี่คนล่ะ?”

“ชาวเผ่าหินดำล้วนแล้วแต่มีร่างกายที่แข็งแรงกำยำพะยะค่ะ แต่การตายของชาวเผ่า ส่วนใหญ่เกิดจากการขาดสารอาหารและหนาวตาย เนื่องจากอาศัยอยู่ในพื้นที่เย็นจัด ปัจจุบันนี้ก็จะเหลืออยู่ประมาณ 500-600 คนพะยะค่ะ หากชายหญิงวัยหนุ่มสาวผู้ใดไม่สามารถเข้ากองทัพได้ ก็จะต้องขุดหาถ่านหินหรือแร่เหล็กเพื่อใช้แลกอาหารประทังชีพกันต่อไป ส่วนผู้เฒ่าและเด็ก ๆ ก็จะต้องอยู่อาศัยแค่ในป่าลึกเท่านั้นพะยะค่ะ”

“แล้วนี่เจ้าไม่ได้กลับบ้านมานานแค่ไหนแล้วล่ะ?”

เฉิงไคซานหัวเราะแห้งขึ้นมาทันที

“อาจเพราะกระหม่อมมีพละกำลังอยู่พอตัว จึงทำให้กระหม่อมสามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นแม่ทัพเหมือนอย่างเช่นทุกวันนี้ได้ และทางราชสำนักเองก็สนับสนุนที่พักให้แก่กระหม่อม แต่ด้วยความที่กระหม่อมยังไม่มีครอบครัวเหมือนอย่างคนอื่น ๆ ท่านพ่อและท่านแม่ของกระหม่อมจึงขออยู่อาศัยตามประสาคนแก่ในป่าลึกดังเดิม มีเพียงบางคราที่กระหม่อมมีเวลาว่าง กระหม่อมก็จะเข้าไปเยี่ยมเยียนพวกท่านในป่าลึกพะยะค่ะ”

เหลิ่งเทียนหมิงตั้งใจฟังทุกประโยคที่เฉิงไคซานเล่า

“แม่ทัพเฉิง การที่เจ้าต้องมาอยู่อย่างยากลำบากในกองทัพ แถมยังถูกกดขี่อยู่บ่อยครั้งแบบนี้เนี่ย มันไม่ทำให้เจ้าคิดอยากจะหนีบ้างเลยหรือ?”

เฉิงไคซานได้ยินดังนั้นก็ถึงกับลนลานขึ้นมาทันที

“หามิได้พะยะค่ะองค์ชายเจ็ด เรื่องแบบนี้กระหม่อมเองก็ไม่สามารถพูดพร่ำกับใครได้ เพราะถ้าหากพลทหารหน้าไหนกล้าทำเยี่ยงนั้น จักต้องถูกริบทรัพย์สินและถูกประหาร 7 ชั่วโครต อีกอย่าง…ถ้าหากกระหม่อมหนีไปจากที่นี่ กระหม่อมก็ไม่รู้ว่าปลายทางข้างหน้านั้นจะเป็นเช่นไร และจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้อีกหรือไม่”

“แล้วนี่เจ้าขึ้นมาเป็นแม่ทัพของกองพันจินจื้อได้อย่างไรรึ?”

“อาจเป็นเพราะความแข็งแกร่งของหมู่เราชาวเผ่าหินดำพะยะค่ะ เพราะคราใดที่มีสงคราม ราชสำนักก็จะส่งคนมาเกณฑ์ชายหนุ่มชาวเผ่าหินดำไปจนเกือบหมด ดังนั้นในหมู่มวลทหารทั้งสี่เหล่า จะมีชายชาวเผ่าหินดำเสียเป็นส่วนใหญ่พะยะค่ะ”

สังคมศักดินาครอบคลุมชาวบ้านตาดำ ๆ ไปเสียหมด ทั้งที่จริง ๆ แล้วชายหนุ่มหญิงสาวโดยทั่วไปต่างก็หวังเพียงแค่ให้ครอบครัวได้กินอิ่มนอนหลับเท่านั้น… เหลิ่งเทียนหมิงครุ่นคิด พลางถอนหายใจด้วยความเวทนา

หลังจากที่เหลิ่งเทียนหมิงได้พูดคุยอย่างใกล้ชิดกับเฉิงไคซาน มันยิ่งทำให้เหลิ่งเทียนหมิงรู้สึกว่า เฉิงไคซานนั้นเป็นบุคคลที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวและซื่อตรงจริง ๆ แล้วอย่างนี้ เฉิงไคซานจะยอมเป็นเพื่อนกับเขาหรือไม่

เพราะองค์ชายเจ็ดผู้อ่อนแอ และไร้ซึ่งอำนาจอย่างเขา ใครจะไปอยากคบหาสมาคมด้วยเล่า

เหลิ่งเทียนหมิงไตร่ตรองอยู่นาน จนกระทั่ง…

“แม่ทัพเฉิง ถ้าหากวันใดวันหนึ่ง มีผู้กล้าอาสานำพาชนเผ่าหินดำของเจ้าออกจากที่รกร้างแห่งนี้ และสามารถปลดปล่อยพวกเจ้าให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสของราชวงศ์เป่ยเหลียงได้ เจ้าจะยอมภักดีต่อคนคนนั้นหรือไม่?”

เฉิงไคซานมองตาเหลิ่งเทียนหมิงด้วยความสับสน

“ถ้าหากเขาหรือนางผู้นั้นสามารถปลดปล่อยชนเผ่าหินดำให้พ้นจากชะตากรรมของการเป็นทาสไปได้ เฉิงไคซานผู้นี้ จะยอมถวายชีวิตให้แก่บุคคลผู้นั้นอย่างแน่นอนพะยะค่ะ…”

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

528