บทที่ 10 เจอเหลิ่งเลี่ยอ๋องครั้งแรก

เช้าวันรุ่งขึ้น เพิ่งจะรุ่งสาง ก็มีขันทีมาตะโกนร้องเรียกแล้ว เหลิ่งเทียนหมิงจึงสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ จัดเก็บสัมภาระ แล้วไปที่ประตูใหญ่ของวังหลวงเพื่อที่จะรวมตัวกัน

เมื่อตนเองมาถึง บรรดาสมาชิกในราชวงศ์ก็มารวมตัวกันที่นี่มากมายแล้ว นอกจากนี้ยังมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่และข้าราชบริพารอีกหลายคน มีทหารรักษาพระองค์จำนวนนับไม่ถ้วนเข้าแถวกันเป็น 2 ขบวน เหลิ่งเทียนหมิงจึงยืนอยู่ด้านหลังฝูง และรอคอยอย่างเงียบๆ …

"นี่…ได้ยินมาว่าผู้ที่มาร่วมเดินทางในครั้งนี้ นอกเสียจากทหารรักษาพระองค์แล้ว ยังมีกองทัพเสวี่ยหลางของทางตอนเหนือ และกองพันจินจื้ออีกด้วย…”

"ถูกต้อง…เป็นกองทัพทหารของตัวตั๋ว พวกเขาปกป้องดินแดนทางตอนเหนืออยู่ การล่าสัตว์ที่ภูเขาเสวี่ยหลงในครั้งนี้ ก็เป็นความรับผิดชอบของพวกเขา"

"ตัวตั๋วคนนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ เลย อายุยังน้อย ก็ได้เป็นรองผู้บัญชาการทหารแนวร่วมของราชวงศ์เป่ยเหลียงแล้ว ต่อไปอนาคตจักต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน…”

"ใช่แล้ว…”

สำหรับกองทัพทหารของเป่ยเหลียง เหลิ่งเทียนหมิงได้ทำความเข้าใจมาก่อนแล้ว การวางกำลังกองทัพของเป่ยเหลียงทั้งหมดนั้นค่อนข้างซับซ้อน นอกจากทหารรักษาพระองค์ 50,000 นายที่ดูแลเมืองหลวงแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสี่กองทัพใหญ่ที่ปกป้องดูแลทั้งสี่ด้าน

สี่กองทัพใหญ่แบ่งออกเป็น : "กองทัพเสวี่ยหลาง" "กองทัพเหมิงหู่" "กองทัพเสวียนอู่" "กองทัพเฟิงเหลย" รองลงมาก็คือกองกำลังป้องกันเมือง กองพันอาวุธและกองพันปืนใหญ่

และสี่กองทัพใหญ่นี้ ยังแบ่งเป็นห้ากองพันย่อยชื่อรหัสว่าทองไม้น้ำไฟดิน แต่ละกองพันจะมี 20,000 คน ทุกๆ กองพันแบ่งออกเป็น 20 ครัวเรือน แต่ละครัวเรือนจะมี 1,000 คน

นั่นคือหนึ่งกองทัพทหารจะมีจำนวน 100,000 คน รวมทั้งกองพันอาวุธ กองพันปืนใหญ่ แต่ละมณฑลจะส่งกองกำลังทหารมาประจำการ ดังนั้นกองกำลังทหารของราชวงศ์เป่ยเหลียงทั้งหมดจึงมีทหารประมาณ 800,000 นาย

นอกจากผู้รับผิดชอบของแต่ละกองทัพแล้ว ผู้บัญชาการทหารแนวร่วมทั้งหมดของเป่ยเหลียง ก็คืออวี้หลงพระอัยกาขององค์ชายสาม ส่วนรองผู้บัญชาการทหารแนวร่วมก็คือตัวตั๋วแห่งกองทัพเสวี่ยหลาง…

ในขณะเดียวกัน เหลิ่งเทียนหมิงก็มีความเข้าใจอย่างละเอียดเกี่ยวกับประเทศโดยรอบด้วย อาทิเช่นศัตรูทางตอนเหนือของพวกเขาก็คือ ชนเผ่าจิ้งจอก อันที่จริงมันคือชนเผ่าเร่ร่อนขนาดใหญ่ที่ก่อตั้งโดยชนเผ่าพันธมิตร 21 ชนเผ่า

ในวันปกติธรรมดาชนเผ่าเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะต่อสู้กัน จนถึงกับปราบปรามกันเอง แต่เมื่ออยู่ในเวลาสงครามความเป็นความตายกลับสามารถรวมกำลังพลกันได้ จนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นชนเผ่าจิ้งจอก ยังโหดเหี้ยมดุดัน รับมือยากมาก

อีกทั้งมณฑลซานตงบ้านเกิดของตนในชาติที่แล้ว ก็อยู่ในดินแดนของชนเผ่าจิ้งจอกนั่นอีกด้วย นี่ก็เป็นคำถามที่เหลิ่งเทียนหมิงไม่เข้าใจมาโดยตลอด ชนเผ่าจิ้งจอกนั่นเป็นชนเผ่าเร่ร่อนไม่ใช่หรือ? แล้วดินแดนในซานตงถูกเขาครอบครองไปได้อย่างไรล่ะ?

และนอกจากชนเผ่าจิ้งจอกแล้ว ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชวงศ์เป่ยเหลียง ก็คือราชวงศ์ต้าเหลียงที่ครอบครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ทางตอนใต้อยู่ ต้าเหลียงในตอนนี้พูดได้ว่า ยิ่งใหญ่ที่สุดในพื้นที่ราบกลาง และเป็นประเทศมั่งมีอุดมสมบูรณ์ มีกองกำลังทหารอย่างน้อยสองล้านนาย

แต่เพราะว่าทางตอนใต้มีความอุดมสมบูรณ์ กองทัพทหารของต้าเหลียงส่วนมากจะเป็นทหารราบ และท่านอ๋องก็ทรงรักษาแนวป้องกันไว้เป็นอย่างดีเสมอมา ฉะนั้นเป่ยเหลียงในเวลานี้จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับต้าเหลียงเลย

ขณะที่เหลิ่งเทียนหมิงกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด เสียงอันดังกึกก้องก็ทอดเข้ามา

"ท่านอ๋องเสด็จแล้ว"

ชั่วขณะ ทุกๆ คนต่างไม่พูดจา ทั้งหมดคุกเข่าลงกับพื้น

"คารวะท่านอ๋อง…”

"คารวะท่านอ๋อง…”

เหลิ่งเทียนหมิงที่คุกเข่าอยู่ทางด้านหลัง อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า ในขณะนั้น เขาก็ได้เห็นคนคนนั้นที่ได้ให้กำเนิดแก่ตน เหลิ่งเลี่ยอ๋อง เสด็จพ่อผู้ให้กำเนิดแต่ไม่เคยชายตาเหลียวมองมองเลย…

บริหารปกครองประเทศตอนมีพระชนมพรรษาได้ 21 พรรษา นับตั้งแต่ได้ขึ้นครองราชย์ก็มุ่งมั่นทุ่มเท ทำสงครามสู้รบมาทั่วทุกสารทิศ เพื่อวางรากฐานเพื่อราชวงศ์เป่ยเหลียงให้มากที่สุด ท่านอ๋องแห่งเป่ยเหลียงผู้เลื่องชื่อลือชา-เหลิ่งเลี่ย

เขาสวมเสื้อเกราะสีแดง ขี่ม้าศึกสีขาว กำลังเงยศีรษะขึ้น ราวกับมองดูเวไนยสัตว์ ก่อนจะมายังแท่นสูงที่สร้างไว้ตรงประตูใหญ่วังหลวง

นี่เป็นครั้งแรกที่เหลิ่งเทียนหมิงได้พบเจอเสด็จพ่อของเขา แต่ในใจกลับอธิบายความรู้สึกไม่ถูก

เหลิ่งเลี่ยอ๋องพระองค์นี้ช่างดูสง่างามน่าเกรงขามยิ่งนัก แต่ในใจก็โหดเหี้ยมเช่นกัน พระโอรสของตนเองมีพระชนมายุได้ 16 ปีพรรษาแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะไม่เคยพบเห็นเลยสักครั้ง

แต่ลองคิดๆ ดูแล้ว เหลิ่งเลี่ยอ๋องมีพระราชโอรส 12 พระองค์ ยังมีพระธิดาอีก 3 พระองค์ ลูกเยอะขนาดนี้ แม้แต่ชื่อก็คงจำไม่ได้หรอก…

หึ…นี่หรือที่เรียกว่ากษัตริย์ เรียกว่าราชวงศ์ ช่างน่าขบขันจริงๆ เลย

เหลิ่งเลี่ยอ๋องยืนอยู่บนแท่นสูง ก้มลงมามองคนด้านล่าง ในที่สุดแล้วก็ทรงตรัสว่า

"การล่าสัตว์บนภูเขาเสวี่ยหลงเป็นมรดกสืบทอดของบรรพบุรุษแห่งเป่ยเหลียงของเรา ข้าหวังว่าชายชาตรีแห่งเป่ยเหลียงของเรานี้จัดไม่ลืมปณิธานของบรรพบุรุษ จงมุ่งมั่นตั้งใจ เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ ให้การฝึกฝนทุกครั้งเสมือนเป็นการออกรบจริงๆ สร้างชัยชนะให้เป่ยเหลียง ช่วยเป่ยเหลียงของเรารวบรวมดินแดนทางตอนเหนือให้เป็นปึกแผ่นเดียวกันโดยเร็วที่สุด เพื่อเข้ายึดพื้นที่ราบภาคกลางให้ได้"

น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดังมาก แต่กลับทรงพลังและแข็งแกร่ง ด้วยพลานุภาพของท่านอ๋อง ทำให้ผู้คนค่อนข้างตกตะลึง

หลังจากที่เหลิ่งเลี่ยอ๋องทรงตรัสแล้ว ก็มีเสียงดังกึกก้องขึ้นมาพร้อมกัน

"ท่านอ๋องทรงพระเจริญ ขอให้พระองค์ทรงรวบรวมดินแดนทางตอนเหนือให้เป็นปึกแผ่นได้ในเร็ววัน เพื่อเข้ายึดพื้นที่ราบภาคกลางให้ได้พ่ะย่ะค่ะ"

บนพระพักตร์ของเหลิ่งเลี่ยอ๋องไม่มีการแสดงออกใดๆ เพียงแค่มองทุกคนอย่างสงบนิ่ง แล้วตะโกนว่า : "ออกเดินทางได้…”

ขบวนกองกำลังทหารและม้าอันยิ่งใหญ่ ในที่สุดก็เดินทางออกจากวังหลวง มุ่งไปยังดินแดนตอนเหนือของราชวงศ์เป่ยเหลียง และเข้าสู่ภูเขาหิมะที่ใหญ่ที่สุดเพื่อทำการล่าสัตว์…

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

528