บทที่ 14 ไม่ออมมือ
by หงสู่เฉียวเอ้อเหยีย
15:47,Jun 13,2022
แม้ซูเยว่จะไม่อยากยอมรับ แต่ผู้ชายคนนี้มีหลายจุดที่ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยจริงๆ
ภายนอกเหมือนจะไม่ได้แข็งแกร่งมากขนาดนั้น แต่กล้ามเนื้อทุกจุดของเขากลับเหมือนมีพลังอันมหาศาลซ่อนอยู่ยังไงอย่างนั้น โดยเฉพาะบาดแผลตามร่างกายของเขาในเมื่อคืนนี้ ทุกแผลล้วนดูตะลึงเป็นอย่างมาก
เขา มีเรื่องราวแบบไหนกันแน่!
เมื่อโม่ฝานเห็นว่าซูเยว่กำลังอ้าปากค้าง ตกใจจนใบหน้าบูดเบี้ยวไปหมด
เขาโยนหม้อปรุงยาที่อยู่ในมือขึ้น แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งมารับไว้
ทำเอาทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุถึงกับต้องซี๊ดปาก
เขาไม่เพียงสามารถยกได้ด้วยมือเดียว ครั้งนี้เขาถึงกับใช้นิ้วมือแค่ 2 นิ้วก็สามารถยกหม้อปรุงยาขนาดใหญ่ได้อยู่หมัดแล้ว
ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะทุกคนต่างเคยยกหม้อปรุงยานั่นมาก่อน พวกเขาต้องคิดว่าหม้อปรุงยานั่นทำมาจากพลาสติกแน่นอน
“ผู้อำนวยการซูครับ ผมทำแบบนี้แล้ว หรือว่ายังไม่ได้มาตรฐานอีกหรอครับ?!” โม่ฝานกำลังยิ้มอย่างทะเล้นพลางมองหน้าซูเยว่
แต่มู่ชิงเอ๋อร์กลับที่อยู่ข้างๆกลับนวดขมับตัวเอง ไหนบอกว่าไอ้หมอนี่มีไอคิวที่สูงกว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่ใช่หรอ?! ทำไมตอนนี้เขาถึงกลายเป็นยอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้ไปแล้วล่ะ!
ตอนนี้ซูเยว่ถึงจะดึงสติตัวเองกลับมาจากความช็อกได้ เมื่อเห็นว่าโม่ฝานสามารถยกหม้อปรุงยาได้ด้วยนิ้วมือเพียง 2 นิ้ว เธอในตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกตะลึงเหมือนเมื่อกี้นี้อีกแล้ว
“ผ่าน!” เธอตะคอกเสียงต่ำอย่างรู้สึกหงุดหงิด ต้องคิดหาวิธีไล่ไอ้หมอนี่ออกไปจากบริษัทให้ได้ ถ้าเกิดเขาเผลอหลุดปากพูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนออกมาละก็ อนาคตเธอคงไม่มีหน้าทำงานอยู่ในบริษัทแห่งนี้ต่อไปได้แล้วล่ะ
“ด่านต่อไป และเป็นด่านสุดท้ายเช่นกัน เป็นบททดสอบเรื่องสมรรถภาพทางร่างกาย ขอแค่สามารถต้านทานอยู่ภายใต้การโจมตีของฉันได้เกินสามนาที ก็จะถือว่าผ่าน!”
แววตาของทุกคนเป็นประกายขึ้นมาภายในพริบตา และเริ่มกวาดตามองซูเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“แหม่ๆ ขานั่นสมบูรณ์แบบเกินไปหรือเปล่า โดยเฉพาะเมื่อใส่ถุงน่องสีดำ ฉันว่าฉันคงอดทนได้ไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำ!”
“ฉันก็เหมือนกัน แค่ดูก็แทบจะเลือดกำเดาไหลตายแล้ว!”
“คิดไม่ถึงเลยว่าการมาเป็นรปภที่นี่ จะได้รับสวัสดิการแบบนี้อีก ฉันว่าครั้งนี้มาคุ้มแล้ว!”
“.....”
ใบหน้าของซูเยว่เยือกเย็นขึ้นมาถึงขั้นสุดภายในพริบตา เธอกำลังพูดถึงประลองศักยภาพด้านการต่อสู้ สมองของคนกลุ่มนี้กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่กันเนี่ย?!
“ใครจะเริ่มก่อน?!”
ชายหนุ่มที่เซ็ทผมมาอย่างเนี๊ยบคนหนึ่งยิ้มอย่างทะเล้นพลางเดินตรงเข้ามา “ผมยังหนุ่ม เรื่องดีๆแบบนี้ให้ผมเริ่มก่อนดีกว่าครับ! ไม่รู้ว่าผู้อำนวยการซูควร…..”
ปัง
เขายังไม่ทันได้พูดจบ เห็นเพียงซูเยว่ในถุงน่องสีดำได้กระโดดถีบออกไปก่อน
ชายหนุ่มคนนั้นกระเด็นออกไปไกล 3 เมตรเต็มๆ และเป็นลมคาที่
“ไร้ประโยชน์! คนต่อไป!” ซูเยว่ทำเสียงหึด้วยใบหน้าที่เย็นเยือก เธอไม่เคยออมมือให้กับพวกผู้ชายที่คิดเรื่องหื่นๆพวกนั้นต่อเธอ
ตอนนี้ทุกคนถึงจะรู้ว่าการที่ซูเยว่ได้รับฉายาว่ากุหลาบเปลวไฟนั้น มันมีที่มาที่ไปอยู่ ก่อนที่จะทำให้เสียงแซวล้อในเมื่อกี้นี้เงียบหายไปโดยสิ้นเชิง
ปังง
“คนต่อไป!”
“คน! ต่อ! ไป!”
“......”
ก่อนหน้านี้ซูเยว่บอกว่าขอแค่สามารถต้านทานอยู่ภายใต้การโจมตีของเธอได้ 3 นาทีก็จะถือว่าผ่านด่านนี้ แต่ตอนนี้ผ่านไปยังไม่ถึง 2 นาทีเลยด้วยซ้ำ พื้นห้องประชุมก็มีคนสี่ห้าคนนอนเกลื่อนอยู่ทั่วพื้นแล้ว
“พวกดูดีแค่เปลือกนอก แม้แต่ฉันที่เป็นผู้หญิงก็สู้ไม่ไหว แล้วจะฝากความปลอดภัยของบริษัทไว้ในมือพวกนายได้หรอ?!” ซูเยว่ใช้ส้นสูงย่ำพื้นพลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์
โม่ฝานยืดตัวบิดขี้เกียจพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ผมสามารถเข้ารอบโดยตรงได้เลยใช่ไหมครับ?!”
“ฝันไปเถอะ ถ้าฉลาดก็ล้มนอนลงไปซะ ไม่งั้นระวังฉันจะกระทืบให้นายร้องแม่เลย!”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วเขาก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา “จะร้องแม่หรือเปล่าผมไม่รู้ แต่เมื่อวานผมจำได้มีคนร้องแด๊ดดี้ด้วยแหละ!”
ใบหน้าของซูเยว่แดงเถือกไปถึงกกหู พวกนั้นเป็นแค่คำพูดเหลวไหลตอนเมา ตอนตื่นเต้นใครเขาจะควบคุมอารมณ์ได้บ้างล่ะ?!
“หุบปาก! อย่าคิดว่าแค่เอาชนะพวกนักเลงกระจอกๆได้แล้วจะมาทำตัวจองหองพองขนที่นี่ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าฉันแล้ว นายก็ยังอ่อนแอเกินไปอยู่ดี!!” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิด ก่อนจะพุ่งเข้ามากระโดดเตะโม่ฝาน
มู่ชิงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนแท่นขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมถึงรู้สึกว่าบทสนทนาของพวกเขาทั้งสองคนดูไม่ค่อยปกติเลย?! ช่างมันเถอะ รอซูเยว่อบรมสั่งสอนไอ้หมอนี่ดีๆจากนั้นค่อยไล่เขาออกไปจากบริษัท หึ! ยังคิดที่จะให้เจ๊ตกหลุมรักแกภายใน 1 เดือนงั้นหรอ ฝันไปเถอะ!”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในบรรดาผู้หญิงทั้งหมด พลังความสามารถของซูเยว่นั้นถือว่ามีค่อนข้างเยี่ยมเลย ใส่รองเท้าส้นสูงแต่กลับสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้ ถ้าเกิดเธอได้รับการฝึกฝนจากปีศาจสักสามสี่ปี ไม่แน่เธออาจจะสามารถทำให้มู่ชิงเอ๋อร์จริงจังขึ้นมาก็เป็นได้
ร่างกายของโม่ฝานเหมือนคันธนูอันใหญ่โต เงาร่างของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้สิ่งที่มองเห็นมีเพียงเศษเงาของเขาเท่านั้น
ชิ่วว
มีเงาดำร่างได้กระพริบผ่านตรงหน้าทุกคนไป ร่างกายของซูเยว่แข็งทื่ออยู่กับที่ไปภายในพริบตา แค่รู้สึกว่าขนหลังลุกขึ้นมาถึงหัว ก่อนที่เธอจะยกเท้าเตะไปข้างลำตัว
เธอสวมใส่รองเท้าส้นสูงหัวแหลมที่แข็งและคมมากๆ ถ้าโดนเตะเข้า มันก็จะไม่ต่างอะไรจากการโดนกระสุนยิงเข้าตัวตรงๆ
ตุบ
การเตะในครั้งนี้ได้ปะทะเข้ากับแขนของโม่ฝานที่ยกขึ้นมาบังอย่างเต็มเหนี่ยว
ซูเยว่รู้สึกเหมือนการโจมตีของตัวเองถูกพังทลายลงไปยังไงอย่างนั้น เธอรีบดึงขาตัวเองกลับมาและเซถอยหลังกลับไปหลายก้าว
การเตะในเมื่อกี้นี้เหมือนเตะเข้ากับแผ่นเหล็กชัดๆ ถ้าเกิดที่นี่ไม่มีคนอยู่ด้วยละก็ ซูเยว่คงต้องร้องโอ๊ยอย่างเจ็บปวดออกมาแน่ๆ
“ผู้อำนวยการซูครับ ผมทำงานอยู่ในบริษัทต่อไปได้หรือยังครับ?!” โม่ฝานยักไหล่พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ชิลล์สบาย
เธอได้กำหมัดที่ขาวผ่องไว้แน่นๆ แม้เธอจะรู้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าไอ้หมอนี่ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่หลังจากที่ผ่านการประลองในเมื่อกี้นี้แล้ว เธอถึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าศักยภาพความสามารถของคนคนนี้มีมากล้นจนเธอไม่อาจคาดการณ์ได้
มู่ชิงเอ๋อร์ทำท่าเหมือนจะดันตัวเองลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ แต่หลังจากนั้นเธอก็ได้ค่อยๆทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง
เพราะตอนนี้ซูเยว่ได้ถอดรองเท้าส้นสูงของตัวเองออกแล้ว โดยส่วนใหญ่แล้วสถานการณ์แบบนี้ เป็นสถานการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่าซูเยว่กำลังจะระเบิดแตก
“ผู้….ผู้อำนวยการซู ได้แค่ไหนก็พอแค่นั้นเถอะ…..” มู่ชิงเอ๋อร์พูดด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวล
ก่อนหน้านี้ก็เคยมีผู้ชายคนนึงที่ทำให้ซูเยว่โกรธเกรี้ยวเช่นกัน สรุปวันต่อมาผู้ชายคนนั้นก็โดนกระทืบจนบาดเจ็บสาหัส และถูกวินิจฉัยให้จัดอยู่ในคนไข้พิการระดับสาม คาดว่าตอนนี้ผู้ชายคนนั้นน่าจะยังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอยู่
เมื่อโม่ฝานเห็นสภาพของเธอในตอนนี้แล้ว เขาจึงหัวเราะเบาๆอย่างรู้สึกสนใจ “น่าสนใจดีแฮะ ผู้หญิงคนนี้ร้อนแรงไม่เบาเลย ทำไมเมื่อคืนฉันถึงสังเกตไม่เห็นเลย?!”
“แกเป็นคนรนหาที่เองนะ!” ซูเยว่ถอดรองเท้าส้นสูงพลางพูด ตอนนี้เธอกำลังยืนเท้าเปล่าอยู่บนพื้น
หลังจากที่ถอดรองเท้าส้นสูงออกไปแล้ว ความสูงระหว่างซูเยว่และโม่ฝานจึงสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ความน่าเกรงขามภายนอกก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
แต่เมื่อเห็นท่าหมัดของซูเยว่แล้ว ก็ทำให้แววตาของโม่ฝานเป็นประกายขึ้นมา
“หมัดแปดระดับ?!”
ฟึ่บบ
ทันทีที่สิ้นเสียง เสียงหมัดอันเฉียบคมก็ได้พุ่งเข้ามา
โม่ฝานตีลังกา 360 องศา หลบการโจมตีของเธอไปได้ จากนั้นร่างกายของโม่ฝานก็ได้ร่วงตกลงมากดทับอยู่บนตัวเธอ กระโปรงที่ถูกลมพัดกำลังปลิวขึ้นลงๆ
ผู้เข้าสมัครคนอื่นที่เหลือที่ยืนอยู่ข้างๆต่างเลือดกำเดาไหลรัวๆ
“โอ๊ยย ให้ตายเถอะ สีชมพู….”
“เมื่อกี้ฉันมองไม่เห็น ไอ้บัดซบเอ๊ย!”
“แม่งเอ๊ย ทำไมคนที่กดทับอยู่บนตัวเธอไม่ใช่ฉันนะ!”
“.....”
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ซูเยว่ดิ้นไปมา โม่ฝานจับมือของเธอเอาไว้แน่นๆ และร่างกายเขาก็นอนครอมอยู่บนตัวเธอเช่นกัน
ท่าทางของพวกเขาทั้งสองคน มันดูอันนั้น…..เกินไปนะ…..
แม้กระทั่งมู่ชิงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนแท่นก็ทนดูต่อไปไม่ค่อยได้แล้ว ผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของจินซือหย่ากรุ๊ปกำลังถูกผู้ชายคนนึงนอนครอมอยู่ด้วยลักษณะท่าทางแบบนี้อย่างนั้นหรอ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ทั้งบริษัทจะไม่เดือดและปะทุออกมาเหมือนภูเขาไฟหรอกหรอ!
ภายนอกเหมือนจะไม่ได้แข็งแกร่งมากขนาดนั้น แต่กล้ามเนื้อทุกจุดของเขากลับเหมือนมีพลังอันมหาศาลซ่อนอยู่ยังไงอย่างนั้น โดยเฉพาะบาดแผลตามร่างกายของเขาในเมื่อคืนนี้ ทุกแผลล้วนดูตะลึงเป็นอย่างมาก
เขา มีเรื่องราวแบบไหนกันแน่!
เมื่อโม่ฝานเห็นว่าซูเยว่กำลังอ้าปากค้าง ตกใจจนใบหน้าบูดเบี้ยวไปหมด
เขาโยนหม้อปรุงยาที่อยู่ในมือขึ้น แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งมารับไว้
ทำเอาทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุถึงกับต้องซี๊ดปาก
เขาไม่เพียงสามารถยกได้ด้วยมือเดียว ครั้งนี้เขาถึงกับใช้นิ้วมือแค่ 2 นิ้วก็สามารถยกหม้อปรุงยาขนาดใหญ่ได้อยู่หมัดแล้ว
ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะทุกคนต่างเคยยกหม้อปรุงยานั่นมาก่อน พวกเขาต้องคิดว่าหม้อปรุงยานั่นทำมาจากพลาสติกแน่นอน
“ผู้อำนวยการซูครับ ผมทำแบบนี้แล้ว หรือว่ายังไม่ได้มาตรฐานอีกหรอครับ?!” โม่ฝานกำลังยิ้มอย่างทะเล้นพลางมองหน้าซูเยว่
แต่มู่ชิงเอ๋อร์กลับที่อยู่ข้างๆกลับนวดขมับตัวเอง ไหนบอกว่าไอ้หมอนี่มีไอคิวที่สูงกว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่ใช่หรอ?! ทำไมตอนนี้เขาถึงกลายเป็นยอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้ไปแล้วล่ะ!
ตอนนี้ซูเยว่ถึงจะดึงสติตัวเองกลับมาจากความช็อกได้ เมื่อเห็นว่าโม่ฝานสามารถยกหม้อปรุงยาได้ด้วยนิ้วมือเพียง 2 นิ้ว เธอในตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกตะลึงเหมือนเมื่อกี้นี้อีกแล้ว
“ผ่าน!” เธอตะคอกเสียงต่ำอย่างรู้สึกหงุดหงิด ต้องคิดหาวิธีไล่ไอ้หมอนี่ออกไปจากบริษัทให้ได้ ถ้าเกิดเขาเผลอหลุดปากพูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนออกมาละก็ อนาคตเธอคงไม่มีหน้าทำงานอยู่ในบริษัทแห่งนี้ต่อไปได้แล้วล่ะ
“ด่านต่อไป และเป็นด่านสุดท้ายเช่นกัน เป็นบททดสอบเรื่องสมรรถภาพทางร่างกาย ขอแค่สามารถต้านทานอยู่ภายใต้การโจมตีของฉันได้เกินสามนาที ก็จะถือว่าผ่าน!”
แววตาของทุกคนเป็นประกายขึ้นมาภายในพริบตา และเริ่มกวาดตามองซูเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“แหม่ๆ ขานั่นสมบูรณ์แบบเกินไปหรือเปล่า โดยเฉพาะเมื่อใส่ถุงน่องสีดำ ฉันว่าฉันคงอดทนได้ไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำ!”
“ฉันก็เหมือนกัน แค่ดูก็แทบจะเลือดกำเดาไหลตายแล้ว!”
“คิดไม่ถึงเลยว่าการมาเป็นรปภที่นี่ จะได้รับสวัสดิการแบบนี้อีก ฉันว่าครั้งนี้มาคุ้มแล้ว!”
“.....”
ใบหน้าของซูเยว่เยือกเย็นขึ้นมาถึงขั้นสุดภายในพริบตา เธอกำลังพูดถึงประลองศักยภาพด้านการต่อสู้ สมองของคนกลุ่มนี้กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่กันเนี่ย?!
“ใครจะเริ่มก่อน?!”
ชายหนุ่มที่เซ็ทผมมาอย่างเนี๊ยบคนหนึ่งยิ้มอย่างทะเล้นพลางเดินตรงเข้ามา “ผมยังหนุ่ม เรื่องดีๆแบบนี้ให้ผมเริ่มก่อนดีกว่าครับ! ไม่รู้ว่าผู้อำนวยการซูควร…..”
ปัง
เขายังไม่ทันได้พูดจบ เห็นเพียงซูเยว่ในถุงน่องสีดำได้กระโดดถีบออกไปก่อน
ชายหนุ่มคนนั้นกระเด็นออกไปไกล 3 เมตรเต็มๆ และเป็นลมคาที่
“ไร้ประโยชน์! คนต่อไป!” ซูเยว่ทำเสียงหึด้วยใบหน้าที่เย็นเยือก เธอไม่เคยออมมือให้กับพวกผู้ชายที่คิดเรื่องหื่นๆพวกนั้นต่อเธอ
ตอนนี้ทุกคนถึงจะรู้ว่าการที่ซูเยว่ได้รับฉายาว่ากุหลาบเปลวไฟนั้น มันมีที่มาที่ไปอยู่ ก่อนที่จะทำให้เสียงแซวล้อในเมื่อกี้นี้เงียบหายไปโดยสิ้นเชิง
ปังง
“คนต่อไป!”
“คน! ต่อ! ไป!”
“......”
ก่อนหน้านี้ซูเยว่บอกว่าขอแค่สามารถต้านทานอยู่ภายใต้การโจมตีของเธอได้ 3 นาทีก็จะถือว่าผ่านด่านนี้ แต่ตอนนี้ผ่านไปยังไม่ถึง 2 นาทีเลยด้วยซ้ำ พื้นห้องประชุมก็มีคนสี่ห้าคนนอนเกลื่อนอยู่ทั่วพื้นแล้ว
“พวกดูดีแค่เปลือกนอก แม้แต่ฉันที่เป็นผู้หญิงก็สู้ไม่ไหว แล้วจะฝากความปลอดภัยของบริษัทไว้ในมือพวกนายได้หรอ?!” ซูเยว่ใช้ส้นสูงย่ำพื้นพลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์
โม่ฝานยืดตัวบิดขี้เกียจพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ผมสามารถเข้ารอบโดยตรงได้เลยใช่ไหมครับ?!”
“ฝันไปเถอะ ถ้าฉลาดก็ล้มนอนลงไปซะ ไม่งั้นระวังฉันจะกระทืบให้นายร้องแม่เลย!”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วเขาก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา “จะร้องแม่หรือเปล่าผมไม่รู้ แต่เมื่อวานผมจำได้มีคนร้องแด๊ดดี้ด้วยแหละ!”
ใบหน้าของซูเยว่แดงเถือกไปถึงกกหู พวกนั้นเป็นแค่คำพูดเหลวไหลตอนเมา ตอนตื่นเต้นใครเขาจะควบคุมอารมณ์ได้บ้างล่ะ?!
“หุบปาก! อย่าคิดว่าแค่เอาชนะพวกนักเลงกระจอกๆได้แล้วจะมาทำตัวจองหองพองขนที่นี่ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าฉันแล้ว นายก็ยังอ่อนแอเกินไปอยู่ดี!!” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิด ก่อนจะพุ่งเข้ามากระโดดเตะโม่ฝาน
มู่ชิงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนแท่นขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมถึงรู้สึกว่าบทสนทนาของพวกเขาทั้งสองคนดูไม่ค่อยปกติเลย?! ช่างมันเถอะ รอซูเยว่อบรมสั่งสอนไอ้หมอนี่ดีๆจากนั้นค่อยไล่เขาออกไปจากบริษัท หึ! ยังคิดที่จะให้เจ๊ตกหลุมรักแกภายใน 1 เดือนงั้นหรอ ฝันไปเถอะ!”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในบรรดาผู้หญิงทั้งหมด พลังความสามารถของซูเยว่นั้นถือว่ามีค่อนข้างเยี่ยมเลย ใส่รองเท้าส้นสูงแต่กลับสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้ ถ้าเกิดเธอได้รับการฝึกฝนจากปีศาจสักสามสี่ปี ไม่แน่เธออาจจะสามารถทำให้มู่ชิงเอ๋อร์จริงจังขึ้นมาก็เป็นได้
ร่างกายของโม่ฝานเหมือนคันธนูอันใหญ่โต เงาร่างของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้สิ่งที่มองเห็นมีเพียงเศษเงาของเขาเท่านั้น
ชิ่วว
มีเงาดำร่างได้กระพริบผ่านตรงหน้าทุกคนไป ร่างกายของซูเยว่แข็งทื่ออยู่กับที่ไปภายในพริบตา แค่รู้สึกว่าขนหลังลุกขึ้นมาถึงหัว ก่อนที่เธอจะยกเท้าเตะไปข้างลำตัว
เธอสวมใส่รองเท้าส้นสูงหัวแหลมที่แข็งและคมมากๆ ถ้าโดนเตะเข้า มันก็จะไม่ต่างอะไรจากการโดนกระสุนยิงเข้าตัวตรงๆ
ตุบ
การเตะในครั้งนี้ได้ปะทะเข้ากับแขนของโม่ฝานที่ยกขึ้นมาบังอย่างเต็มเหนี่ยว
ซูเยว่รู้สึกเหมือนการโจมตีของตัวเองถูกพังทลายลงไปยังไงอย่างนั้น เธอรีบดึงขาตัวเองกลับมาและเซถอยหลังกลับไปหลายก้าว
การเตะในเมื่อกี้นี้เหมือนเตะเข้ากับแผ่นเหล็กชัดๆ ถ้าเกิดที่นี่ไม่มีคนอยู่ด้วยละก็ ซูเยว่คงต้องร้องโอ๊ยอย่างเจ็บปวดออกมาแน่ๆ
“ผู้อำนวยการซูครับ ผมทำงานอยู่ในบริษัทต่อไปได้หรือยังครับ?!” โม่ฝานยักไหล่พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ชิลล์สบาย
เธอได้กำหมัดที่ขาวผ่องไว้แน่นๆ แม้เธอจะรู้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าไอ้หมอนี่ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่หลังจากที่ผ่านการประลองในเมื่อกี้นี้แล้ว เธอถึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าศักยภาพความสามารถของคนคนนี้มีมากล้นจนเธอไม่อาจคาดการณ์ได้
มู่ชิงเอ๋อร์ทำท่าเหมือนจะดันตัวเองลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ แต่หลังจากนั้นเธอก็ได้ค่อยๆทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง
เพราะตอนนี้ซูเยว่ได้ถอดรองเท้าส้นสูงของตัวเองออกแล้ว โดยส่วนใหญ่แล้วสถานการณ์แบบนี้ เป็นสถานการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่าซูเยว่กำลังจะระเบิดแตก
“ผู้….ผู้อำนวยการซู ได้แค่ไหนก็พอแค่นั้นเถอะ…..” มู่ชิงเอ๋อร์พูดด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวล
ก่อนหน้านี้ก็เคยมีผู้ชายคนนึงที่ทำให้ซูเยว่โกรธเกรี้ยวเช่นกัน สรุปวันต่อมาผู้ชายคนนั้นก็โดนกระทืบจนบาดเจ็บสาหัส และถูกวินิจฉัยให้จัดอยู่ในคนไข้พิการระดับสาม คาดว่าตอนนี้ผู้ชายคนนั้นน่าจะยังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอยู่
เมื่อโม่ฝานเห็นสภาพของเธอในตอนนี้แล้ว เขาจึงหัวเราะเบาๆอย่างรู้สึกสนใจ “น่าสนใจดีแฮะ ผู้หญิงคนนี้ร้อนแรงไม่เบาเลย ทำไมเมื่อคืนฉันถึงสังเกตไม่เห็นเลย?!”
“แกเป็นคนรนหาที่เองนะ!” ซูเยว่ถอดรองเท้าส้นสูงพลางพูด ตอนนี้เธอกำลังยืนเท้าเปล่าอยู่บนพื้น
หลังจากที่ถอดรองเท้าส้นสูงออกไปแล้ว ความสูงระหว่างซูเยว่และโม่ฝานจึงสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ความน่าเกรงขามภายนอกก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
แต่เมื่อเห็นท่าหมัดของซูเยว่แล้ว ก็ทำให้แววตาของโม่ฝานเป็นประกายขึ้นมา
“หมัดแปดระดับ?!”
ฟึ่บบ
ทันทีที่สิ้นเสียง เสียงหมัดอันเฉียบคมก็ได้พุ่งเข้ามา
โม่ฝานตีลังกา 360 องศา หลบการโจมตีของเธอไปได้ จากนั้นร่างกายของโม่ฝานก็ได้ร่วงตกลงมากดทับอยู่บนตัวเธอ กระโปรงที่ถูกลมพัดกำลังปลิวขึ้นลงๆ
ผู้เข้าสมัครคนอื่นที่เหลือที่ยืนอยู่ข้างๆต่างเลือดกำเดาไหลรัวๆ
“โอ๊ยย ให้ตายเถอะ สีชมพู….”
“เมื่อกี้ฉันมองไม่เห็น ไอ้บัดซบเอ๊ย!”
“แม่งเอ๊ย ทำไมคนที่กดทับอยู่บนตัวเธอไม่ใช่ฉันนะ!”
“.....”
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ซูเยว่ดิ้นไปมา โม่ฝานจับมือของเธอเอาไว้แน่นๆ และร่างกายเขาก็นอนครอมอยู่บนตัวเธอเช่นกัน
ท่าทางของพวกเขาทั้งสองคน มันดูอันนั้น…..เกินไปนะ…..
แม้กระทั่งมู่ชิงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนแท่นก็ทนดูต่อไปไม่ค่อยได้แล้ว ผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของจินซือหย่ากรุ๊ปกำลังถูกผู้ชายคนนึงนอนครอมอยู่ด้วยลักษณะท่าทางแบบนี้อย่างนั้นหรอ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ทั้งบริษัทจะไม่เดือดและปะทุออกมาเหมือนภูเขาไฟหรอกหรอ!
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved