บทที่ 4 การสัมผัสใกล้ชิดกันครั้งแรก
by เป่ยชวน
10:56,Sep 27,2024
หลังจากครึ่งวัน ในที่สุดความทรงจำ2คนก็เริ่มพึ่งพากัน และจินเฟิงก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับร่างที่อาศัยนี้และสามารถวิเคราะห์ปัญหาได้อีกด้วย
ร่างที่อาศัยเคยได้ยินเกี่ยวกับแม่น้ำเหลือง แม่น้ำแยงซี และภูเขาไท่หางจากความทรงจำของเขา
การเขียน วัฒนธรรม ชื่อสถานที่ และชีวิตในอดีตนี้ไม่แตกต่างกัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่รู้แน่ชัด ประวัติศาสตร์จึงแตกต่างกันมาก
ตัวอย่างเช่น ราชวงศ์ต้าคังในปัจจุบันไม่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้ แต่ราชวงศ์ต้าคังได้รับการสืบทอดต่อมาในโลกนี้มานานกว่าสามร้อยปีแล้ว
ร่างที่อาศัยเติบโตขึ้นมาในซีเหอวาน และความเข้าใจโลกส่วนใหญ่ของเขามาจากคำสอนของครูในโรงเรียน มันก็แค่นั้น
เพื่อซื้อข้าว ต้องเข้าไปในเมือง ไปกลับมากกว่า 20 ไมล์ ถนนบนภูเขาก็เดินทางยากลำบาก เมื่อกลับมาถึงก็เป็นบ่ายแล้ว กวนเสี่ยวโหรวผู้เป็นเมียที่ขยันก็ได้ทำความสะอาดบ้าน ผ้าปูเตียงก็ซักและแขวนไว้หน้าบ้านแล้ว
พอเห็นจินเฟิงกลับมาแล้ว เธอก็วิ่งเข้าไปหาและหยิบถุงออกจากไหล่ของจินเฟิง
ในความเป็นจริง ไม่มีอะไรในถุง มีเพียงข้าวสาลีที่น้อยกว่าสิบปอนด์เท่านั้น ---เงินที่กวนเสี่ยวโหรวให้ เขาสามารถซื้อได้เท่านี้
“ทำไมมันเบาขนาดนี้”
กวนเสี่ยวโหรว ตกใจอยู่สักพัก จากนั้นเปิดกถุงแล้วเห็นว่ามีข้าวสาลีอยู่ข้างใน และเธอก็ทรุดลงไปราวกับใจตกไปอยู่ตาตุ่ม
เขาคิดว่าจินเฟิงจะซื้อข้าวเปลือกหรือข้าวฟ่างราคาถูก แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะซื้อข้าวสาลี
ข้าวสาลีแค่นิดเดียว ถึงจะกินแค่วันละมื้อก็พอสำหรับสองคนกินได้ไม่กี่วัน แล้ววันที่เหลือจะทำยังไง?
แม้ว่าเธอจะบ่นในใจเล็กน้อย แต่เธอไม่กล้าถามจินเฟิง และถือถุงไปที่ห้องครัวด้วยท่าทางเศร้าๆ
เมื่อเธอออกมา เธอไม่ลืมที่จะถือชามน้ำออกมาวางข้างหน้าให้จินเฟิง
หลังจากเดินมาเป็นเวลานาน จินเฟิงก็รู้สึกหิวน้ำมาก เขาหยิบน้ำและดื่มทันที
กวนเสี่ยวโหรวหยิบชามเปล่าแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวด้วยมืออีกข้างแล้วยื่นให้จินเฟิง
“เสี่ยวโหรว เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนี้”
จินเฟิงไม่คุ้นเคยกับการถูกดูแลอย่างดีแบบนี้
“ก่อนที่ข้ามาที่นี่ แม่บอกข้าหลายครั้งว่าถ้าใครยอมรับข้า ข้าต้องขยัน”
กวนเสี่ยวโหรวก้มหัวลงแล้วพูดว่า "จริงๆ แล้วที่หัวหน้าครอบครัวต้องการตัวข้านั้น ถือเป็นพรอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของข้ นี่คือสิ่งที่เสี่ยวโหรวควรทำ"
จินเฟิงรู้ว่าวิธีคิดแบบนี้นี้ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของกวนเสี่ยวโหรวมานานแล้ว และอาจเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนมันในช่วงเวลาสั้นๆ ดังนั้นเขาจึงหยุดและหันหลังกลับเข้าไปในร้านช่างตีเหล็กทางฝั่งตะวันตกของสนาม
ว่ากันว่าเป็นร้านค้า แต่จริงๆ แล้วเป็นเวิร์กช็อปเล็กๆ ที่มีพื้นที่ไม่ถึง 30 ตารางเมตร
จินเฟิงเปิดกล่องไม้ หยิบเหล็กหมูขนาดเท่ากำปั้นออกมา และมองดูมันด้วยความระมัดระวัง
ในความทรงจำของร่างที่อาศัย หลังจากที่ช่างตีเหล็กอาวุโสเสียชีวิต เขาถูกบังคับให้หาเลี้ยงตัวเองและพยายามทำเครื่องมือเหล็กหลายครั้ง แต่ทั้งหมดก็จบลงด้วยความล้มเหลว
ไม่ว่าจะเป็นมีดทำครัว ขวาน หรือเคียว มันก็หักอยู่ตลอดเวลา
เทคโนโลยีการสกัดโลหะจากแร่เป็นวิธีเก่าดั้งเดิมในสมัยต้าคัง วิธีการที่ใช้ในร้านตีเหล็กส่วนใหญ่ในการทำเครื่องมือเหล็กก็เป็นวิธีการดั้งเดิมเช่นกัน นั่นคือการนำชิ้นเหล็กหมูที่ซื้อมาไปตั้งบนเตาเพื่อทำให้เป็นสีแดง จากนั้นจึงตีซ้ำๆ เพื่อให้ได้รูปทรง
ด้วยกระบวนการง่ายๆ ร่างที่อาศัยจึงเติบโตขึ้นมาในร้านตีเหล็กและลอกเลียนแบบคัดลอกและทำซ้ำ ของที่เขาผลิตก็ไม่สวยงามเท่าของคนอื่น โดยปกติก็จะไม่มีปัญหาด้านคุณภาพ แต่ความพยายามหลายครั้งโดยร่างที่อาศัยในการสร้างมัน กลับจบลงด้วยความล้มเหลว จินเฟิงคาดการณ์ว่าอาจมีบางอย่างผิดปกติกับเหล็กหมูชุดสุดท้ายที่ช่างตีเหล็กคนเก่าซื้อมา
พอกลับมาตรวจก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
มีสิ่งเจือปนมากเกินไปในเหล็กหมูในกล่องไม้ เป็นเรื่องแปลก ขวานไม่แตกหรือหักเลยหลักจากแค่ตีมัน
อยากจะใช้เหล็กหมูชุดนี้ทำเครื่องใช้ที่มีประโยชน์ จะต้องปรับปรุงเตาเผาและเครื่องเป่าลมเพื่อให้อุณหภูมิสูงพอที่จะละลายสิ่งเจือปนออกไปได้
กวนเสี่ยวโหรวถือชามไปที่ครัวและตามจินเฟิงไปที่ร้าน หลังจากยืนเงียบๆ สักพัก เธอก็รวบรวมความกล้าที่จะพูดว่า "หัวหน้าครอบครัว ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า"
“มีเรื่องอะไร?” จินเฟิงเงยหน้าขึ้นแล้วถาม
“พรุ่งนี้ข้าอยากกลับไปบ้านพ่อแม่และขอให้พี่สะใภ้ยืมเครื่องทอผ้า…”
“ยืมเครื่องทอผ้ามาเหรอ?” เมื่อได้ยินแบบนั้น จินเฟิงก็เดาถึงความกังวลของกวนเสี่ยวโหรวได้คร่าวๆ
โยนชิ้นเหล็กกลับเข้าไปในกล่อง “มันจะมีเหตุผลอะไรให้เจ้ากลับไปบ้านพ่อแม่ เพื่อยืมอะไรสักอย่างหลังแต่งงานกันแค่วันแรก ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าอดตาย”
“หัวหน้าครอบครัว ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...อย่าโกรธข้านะ...”
กวนเสี่ยวโหรวเป็นเหมือนกวางที่กล้าๆกลัวๆ เธอพยายามอธิบาย
"ข้าไม่ได้โกรธหรอก
จินเฟิงตบไหล่ของเธอแล้วพูดอย่างมั่นใจว่า "เชื่อข้าเถอะ ชีวิตเราจะดีขึ้นเรื่อยๆ"
ในสมัยปัจจุบันตบไหล่เป็นการปลอบใจที่ง่ายดาย แต่ในใจของกวนเสี่ยวโหรว มันเป็นท่าทางที่ใกล้ชิดอย่างยิ่ง และเธอก็เขินเกินกว่าจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองจินเฟิง
เพราะเขินมาก ความกังวลของกวนเสี่ยวโหรวจึงหายไป เธอจึงก้มหัวลงแล้วถาม“การวางแผนในอนาคตของเจ้าเป็นยังไงหัวหน้าครอบครัว?”
“ข้าจะไปล่าสัตว์บนภูเขา”
"ล่าสัตว์?"
กวนเสี่ยวโหรวตกใจ
เธอไม่แปลกใจเลยที่ถ้าจินเฟิงจะตอบว่าอ่านหนังสือหรือตีเหล็ก แต่จินเฟิงบอกว่าต้องการไปล่าสัตว์?
“บล็อกเหล็กที่บ้านมีบางอย่างผิดปกติ จำเป็นต้องดัดแปลงเตาหลอมเพื่อละลายสิ่งเจือปน”
จินเฟิงชี้ไปที่เตาแล้วพูดว่า “ต้องใช้เวลาหลายวันในการปรับเปลี่ยนเตา ข้าต้องไปบนภูเขาเพื่อจับกระต่ายสองสามตัวและขายพวกมันเพื่อซื้ออาหารเพิ่ม”
กวนเสี่ยวโหรวมองไปที่ร่างเล็กๆ ของจินเฟิงและรู้สึกสงสัยในคำพูดของเขาอย่างมาก แต่เธอไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เธอแค่ก้มหัวลงและไม่พูดอะไรเลย
การล่าสัตว์ไม่ใช่ข้ออ้างของจินเฟิงที่จะปลอบกวนเสี่ยวโหรว แต่เป็นแผนการที่เขาคิดไว้ระหว่างทางกลับจากการขายข้าว
ซีเหอวานตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวน ห่างจากเจียนเหมิงกวนที่มีชื่อเสียงเพียง 100 ไมล์ ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงและมีสัตว์มากมาย การยิงหน้าไม้กระต่ายสองสามตัวไม่ใช่เรื่องยาก
มันก็จะเป็นแบบนี้แค่ช่วงนึงเท่านั้น และรอให้ปรับปรุงเตาและเครื่องเป่าลม หาเงินจะเป็นเรื่องที่ง่ายๆไม่ใช่หรอ
แต่จินเฟิงไม่ได้อธิบายอะไรมาก เขาผลักกวนเสี่ยวโหรวไปที่หน้าประตู
“เจ้าไม่รู้วิธีจะวางของไว้ที่นี่ยังไง ข้าทำความสะอาดที่นี่ เจ้าไปเก็บของที่อื่นก่อน”
"อืม"
กวนเสี่ยวโหรวพยักหน้าด้วยความเชื่อฟัง และไปทำความสะอาดเศษซากในสวนด้วยความกังวล
จินเฟิงเริ่มสร้างหน้าไม้
เมื่อตอนที่จินเฟิงยังเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในชาติที่แล้ว ครูของเขาเป็นคนที่ชอบหน้าไม้ ในช่วงสี่ปีที่เขาเรียนจบวิทยาลัย จินเฟิงมักจะไปกับครูที่สนามยิงปืนเพื่อฝึกซ้อม ทักษะการยิงธนูของเขาดีมาก และเขาก็เริ่มคุ้นเคยกับโครงสร้างของหน้าไม้และคันธนูเป็นอย่างดี
แต่เมื่อเขาเริ่มทำ จินเฟิงก็รู้สึกว่ามันยากกว่าที่เขาคาดไว้มาก
เครื่องมือในร้านช่างตีเหล็กนั้นมีความเก่ามาก แม้ว่าเขาจะเลือกสร้างหน้าไม้ที่ง่ายที่สุด ก็ต้องขัดตัวคันธนูให้เสร็จได้หลังจากช่วงบ่ายที่เท่านั้น
ในตอนเย็น จินเฟิงได้กินข้าวมื้อแรกในชาตินี้ ซึ่งเป็นงานเลี้ยงแต่งงานของเขาเองด้วย
ไม่มีพิธียุ่งยาก ไม่มีญาติหรือเพื่อนที่จะมาแสดงความยินดีกับเขา มีเพียงเขาและกวนเสี่ยวโหรว
กับข้าวก็ธรรมดา แม้ว่าจะหยาบก็ตา
โจ๊กข้าวสาลีชามเล็กและจานผักที่มีเกลือหยาบแค่นั้น
นั่นแหละ
โจ๊กข้าวสาลีไม่อร่อย และข้าวด้านนอกก็แทงปากทำให้ปากระคายเคือง ซึ่งทำให้จินเฟิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
แต่กวนเสี่ยวโหรวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย
เธอมักจะกินผักป่าและข้าวเปลือกที่บ้าน และบางครั้งก็กินข้าวฟ่างด้วย ถือว่าเป็นอาหารที่พิเศษแล้ว และโจ๊กข้าวสาลีก็เกือบจะเป็นอาหารที่หรูหราสำหรับเธอ
ตั้งแต่กลายเป็น "ตัวดูดเงิน" เธอก็ไม่เคยได้กินอีกเลย
ดังนั้นเธอเลยต้องอมข้าวแต่ละคำไว้ในปากเป็นเวลานานเพื่ออยากที่จะสัมผัสถึงความหวานของข้าวสาลี
หลังจากกินเสร็จ1ชาม กวนเสี่ยวโหรวก็วางชามและตะเกียบลง
ด้านข้างของชามก็ถูกขูดด้วยตะเกียบจนหมด ไม่ต้องพูดถึงเมล็ดข้าว ซุปก็ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
“กินสิ ทำไมไม่กินล่ะ”
จินเฟิงชี้ไปที่ชามข้าว
"ข้าอิ่มแล้ว"
กวนเสี่ยวโหรว ตอบอย่างเบาๆ
จินเฟิงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่ กวนเสี่ยวโหรวพูดในตอนเช้า เมื่อเธอขอร้องทุกคน: "...ข้าทอได้ แต่ข้ามีกินน้อยมาก..."
ด้วยความรู้สึกเจ็บช้ำใจ เขาจึงหยิบชามเปล่าของกวนเสี่ยวโหรว ตักโจ๊กข้าวสาลีเยอะๆ มาวางไว้ตรงหน้ากวนเสี่ยวโหรว
“ข้าอิ่มแล้วจริงๆ...”
“กินให้หมด!”
จินเฟิงขัดจังหวะคำพูดของกวนเสี่ยวโหรวอย่างเอาจริงเอาจัง และน้ำเสียงของเขาก็จริงจังขึ้นเล็กน้อย
"……ค่ะ"
กวนเสี่ยวโหรวตกใจกับคำพูดจินเฟิงและหยิบชามขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง
จินเฟิงหยิบตะเกียบคีบผักสีเขียวขึ้นมาแล้วใส่ลงในชามของกวนเสี่ยวโหรว "กินให้หมดด้วยกัน!"
กวนเสี่ยวโหรวตอบว่าอืมเบาๆ และหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะที่กวนเสี่ยวโหรวกินข้าวอยู่ น้ำตาก็เริ่มไหลลงมา
"เจ้าอย่าร้องไห้!"
จินเฟิงตื่นตระหนก “ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรตะโกนใส่เจ้าแบบนั้น ของร้องหล่ะหยุดร้องไห้ได้ไหม…”
“อย่า...อย่าพูดแบบนั้น เจ้าเป็นหัวหน้าครอบครัว ดังนั้นเจ้าควรตีและดุข้า”
กวนเสี่ยวโหรวสะอื้นและพูดว่า "ข้าร้องไห้เพราะนี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ข้าจำความได้ว่าข้าถูกบังคับให้กินข้าวมากขนาดนี้... แล้วยังเป็นโจ๊กข้าวสาลี..."
“สาวน้อย หลังจากนี้มันจะดีขึ้นเรื่อยๆ”
จินเฟิงถอนหายใจและเอื้อมมือไปแตะที่หัวของกวนเสี่ยวโหรว "เลิกร้องไห้แล้วกินให้เยอะๆ"
แม้ในยุคต่อๆมา การลูบหัวเมื่อหญิงสาวเศร้าไม่สามารถมองข้ามได้ นับประสาอะไรในยุคที่ล้าหลังล่ะ?
กวนเสี่ยวโหรวรู้สึกชาบนหัวของเธอ และจากนั้นความอบอุ่นก็ไหลเข้าสู่หัวใจของเธอ
แล้วน้ำตาก็ไหลอีก...
จินเฟิงกลัวว่าถ้าเขายังคงปลอบกวนเสี่ยวโหรวต่อไป เขาจะกินข้าวไม่เสร็จ ดังนั้นเขาจึงต้องแกล้งทำเป็นไม่เห็นอะไรและกินข้าวอย่างเงียบๆ
โชคดีที่กวนเสี่ยวโหรวเงียบลงอย่างรวดเร็ว และปาดน้ำตาแล้วกินต่อ
หลังจากล้างจานเสร็จแล้วทั้งสองคนก็นั่งตรงข้ามกัน แสงไฟดวงใหญ่ส่ายไปทางซ้ายและขวา บรรยากาศก็ดูเบาลง
กวนเสี่ยวโหรวก้มหัวลง จินเฟิงใช้มือทั้งสองจับมุมเสื้อของเธอโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าที่สวยงามของเธอแดงก่ำ และตัวของเธอสั่นเล็กน้อย
กวนเสี่ยวโหรวเล่าว่าเมื่อเธอเข้าร่วมงานแต่งงานครั้งแรกเมื่อสองปีที่แล้ว แม่ของเธอเล่าให้เธอฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป...
ร่างที่อาศัยเคยได้ยินเกี่ยวกับแม่น้ำเหลือง แม่น้ำแยงซี และภูเขาไท่หางจากความทรงจำของเขา
การเขียน วัฒนธรรม ชื่อสถานที่ และชีวิตในอดีตนี้ไม่แตกต่างกัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่รู้แน่ชัด ประวัติศาสตร์จึงแตกต่างกันมาก
ตัวอย่างเช่น ราชวงศ์ต้าคังในปัจจุบันไม่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้ แต่ราชวงศ์ต้าคังได้รับการสืบทอดต่อมาในโลกนี้มานานกว่าสามร้อยปีแล้ว
ร่างที่อาศัยเติบโตขึ้นมาในซีเหอวาน และความเข้าใจโลกส่วนใหญ่ของเขามาจากคำสอนของครูในโรงเรียน มันก็แค่นั้น
เพื่อซื้อข้าว ต้องเข้าไปในเมือง ไปกลับมากกว่า 20 ไมล์ ถนนบนภูเขาก็เดินทางยากลำบาก เมื่อกลับมาถึงก็เป็นบ่ายแล้ว กวนเสี่ยวโหรวผู้เป็นเมียที่ขยันก็ได้ทำความสะอาดบ้าน ผ้าปูเตียงก็ซักและแขวนไว้หน้าบ้านแล้ว
พอเห็นจินเฟิงกลับมาแล้ว เธอก็วิ่งเข้าไปหาและหยิบถุงออกจากไหล่ของจินเฟิง
ในความเป็นจริง ไม่มีอะไรในถุง มีเพียงข้าวสาลีที่น้อยกว่าสิบปอนด์เท่านั้น ---เงินที่กวนเสี่ยวโหรวให้ เขาสามารถซื้อได้เท่านี้
“ทำไมมันเบาขนาดนี้”
กวนเสี่ยวโหรว ตกใจอยู่สักพัก จากนั้นเปิดกถุงแล้วเห็นว่ามีข้าวสาลีอยู่ข้างใน และเธอก็ทรุดลงไปราวกับใจตกไปอยู่ตาตุ่ม
เขาคิดว่าจินเฟิงจะซื้อข้าวเปลือกหรือข้าวฟ่างราคาถูก แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะซื้อข้าวสาลี
ข้าวสาลีแค่นิดเดียว ถึงจะกินแค่วันละมื้อก็พอสำหรับสองคนกินได้ไม่กี่วัน แล้ววันที่เหลือจะทำยังไง?
แม้ว่าเธอจะบ่นในใจเล็กน้อย แต่เธอไม่กล้าถามจินเฟิง และถือถุงไปที่ห้องครัวด้วยท่าทางเศร้าๆ
เมื่อเธอออกมา เธอไม่ลืมที่จะถือชามน้ำออกมาวางข้างหน้าให้จินเฟิง
หลังจากเดินมาเป็นเวลานาน จินเฟิงก็รู้สึกหิวน้ำมาก เขาหยิบน้ำและดื่มทันที
กวนเสี่ยวโหรวหยิบชามเปล่าแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวด้วยมืออีกข้างแล้วยื่นให้จินเฟิง
“เสี่ยวโหรว เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนี้”
จินเฟิงไม่คุ้นเคยกับการถูกดูแลอย่างดีแบบนี้
“ก่อนที่ข้ามาที่นี่ แม่บอกข้าหลายครั้งว่าถ้าใครยอมรับข้า ข้าต้องขยัน”
กวนเสี่ยวโหรวก้มหัวลงแล้วพูดว่า "จริงๆ แล้วที่หัวหน้าครอบครัวต้องการตัวข้านั้น ถือเป็นพรอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของข้ นี่คือสิ่งที่เสี่ยวโหรวควรทำ"
จินเฟิงรู้ว่าวิธีคิดแบบนี้นี้ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของกวนเสี่ยวโหรวมานานแล้ว และอาจเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนมันในช่วงเวลาสั้นๆ ดังนั้นเขาจึงหยุดและหันหลังกลับเข้าไปในร้านช่างตีเหล็กทางฝั่งตะวันตกของสนาม
ว่ากันว่าเป็นร้านค้า แต่จริงๆ แล้วเป็นเวิร์กช็อปเล็กๆ ที่มีพื้นที่ไม่ถึง 30 ตารางเมตร
จินเฟิงเปิดกล่องไม้ หยิบเหล็กหมูขนาดเท่ากำปั้นออกมา และมองดูมันด้วยความระมัดระวัง
ในความทรงจำของร่างที่อาศัย หลังจากที่ช่างตีเหล็กอาวุโสเสียชีวิต เขาถูกบังคับให้หาเลี้ยงตัวเองและพยายามทำเครื่องมือเหล็กหลายครั้ง แต่ทั้งหมดก็จบลงด้วยความล้มเหลว
ไม่ว่าจะเป็นมีดทำครัว ขวาน หรือเคียว มันก็หักอยู่ตลอดเวลา
เทคโนโลยีการสกัดโลหะจากแร่เป็นวิธีเก่าดั้งเดิมในสมัยต้าคัง วิธีการที่ใช้ในร้านตีเหล็กส่วนใหญ่ในการทำเครื่องมือเหล็กก็เป็นวิธีการดั้งเดิมเช่นกัน นั่นคือการนำชิ้นเหล็กหมูที่ซื้อมาไปตั้งบนเตาเพื่อทำให้เป็นสีแดง จากนั้นจึงตีซ้ำๆ เพื่อให้ได้รูปทรง
ด้วยกระบวนการง่ายๆ ร่างที่อาศัยจึงเติบโตขึ้นมาในร้านตีเหล็กและลอกเลียนแบบคัดลอกและทำซ้ำ ของที่เขาผลิตก็ไม่สวยงามเท่าของคนอื่น โดยปกติก็จะไม่มีปัญหาด้านคุณภาพ แต่ความพยายามหลายครั้งโดยร่างที่อาศัยในการสร้างมัน กลับจบลงด้วยความล้มเหลว จินเฟิงคาดการณ์ว่าอาจมีบางอย่างผิดปกติกับเหล็กหมูชุดสุดท้ายที่ช่างตีเหล็กคนเก่าซื้อมา
พอกลับมาตรวจก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
มีสิ่งเจือปนมากเกินไปในเหล็กหมูในกล่องไม้ เป็นเรื่องแปลก ขวานไม่แตกหรือหักเลยหลักจากแค่ตีมัน
อยากจะใช้เหล็กหมูชุดนี้ทำเครื่องใช้ที่มีประโยชน์ จะต้องปรับปรุงเตาเผาและเครื่องเป่าลมเพื่อให้อุณหภูมิสูงพอที่จะละลายสิ่งเจือปนออกไปได้
กวนเสี่ยวโหรวถือชามไปที่ครัวและตามจินเฟิงไปที่ร้าน หลังจากยืนเงียบๆ สักพัก เธอก็รวบรวมความกล้าที่จะพูดว่า "หัวหน้าครอบครัว ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า"
“มีเรื่องอะไร?” จินเฟิงเงยหน้าขึ้นแล้วถาม
“พรุ่งนี้ข้าอยากกลับไปบ้านพ่อแม่และขอให้พี่สะใภ้ยืมเครื่องทอผ้า…”
“ยืมเครื่องทอผ้ามาเหรอ?” เมื่อได้ยินแบบนั้น จินเฟิงก็เดาถึงความกังวลของกวนเสี่ยวโหรวได้คร่าวๆ
โยนชิ้นเหล็กกลับเข้าไปในกล่อง “มันจะมีเหตุผลอะไรให้เจ้ากลับไปบ้านพ่อแม่ เพื่อยืมอะไรสักอย่างหลังแต่งงานกันแค่วันแรก ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าอดตาย”
“หัวหน้าครอบครัว ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...อย่าโกรธข้านะ...”
กวนเสี่ยวโหรวเป็นเหมือนกวางที่กล้าๆกลัวๆ เธอพยายามอธิบาย
"ข้าไม่ได้โกรธหรอก
จินเฟิงตบไหล่ของเธอแล้วพูดอย่างมั่นใจว่า "เชื่อข้าเถอะ ชีวิตเราจะดีขึ้นเรื่อยๆ"
ในสมัยปัจจุบันตบไหล่เป็นการปลอบใจที่ง่ายดาย แต่ในใจของกวนเสี่ยวโหรว มันเป็นท่าทางที่ใกล้ชิดอย่างยิ่ง และเธอก็เขินเกินกว่าจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองจินเฟิง
เพราะเขินมาก ความกังวลของกวนเสี่ยวโหรวจึงหายไป เธอจึงก้มหัวลงแล้วถาม“การวางแผนในอนาคตของเจ้าเป็นยังไงหัวหน้าครอบครัว?”
“ข้าจะไปล่าสัตว์บนภูเขา”
"ล่าสัตว์?"
กวนเสี่ยวโหรวตกใจ
เธอไม่แปลกใจเลยที่ถ้าจินเฟิงจะตอบว่าอ่านหนังสือหรือตีเหล็ก แต่จินเฟิงบอกว่าต้องการไปล่าสัตว์?
“บล็อกเหล็กที่บ้านมีบางอย่างผิดปกติ จำเป็นต้องดัดแปลงเตาหลอมเพื่อละลายสิ่งเจือปน”
จินเฟิงชี้ไปที่เตาแล้วพูดว่า “ต้องใช้เวลาหลายวันในการปรับเปลี่ยนเตา ข้าต้องไปบนภูเขาเพื่อจับกระต่ายสองสามตัวและขายพวกมันเพื่อซื้ออาหารเพิ่ม”
กวนเสี่ยวโหรวมองไปที่ร่างเล็กๆ ของจินเฟิงและรู้สึกสงสัยในคำพูดของเขาอย่างมาก แต่เธอไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เธอแค่ก้มหัวลงและไม่พูดอะไรเลย
การล่าสัตว์ไม่ใช่ข้ออ้างของจินเฟิงที่จะปลอบกวนเสี่ยวโหรว แต่เป็นแผนการที่เขาคิดไว้ระหว่างทางกลับจากการขายข้าว
ซีเหอวานตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวน ห่างจากเจียนเหมิงกวนที่มีชื่อเสียงเพียง 100 ไมล์ ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงและมีสัตว์มากมาย การยิงหน้าไม้กระต่ายสองสามตัวไม่ใช่เรื่องยาก
มันก็จะเป็นแบบนี้แค่ช่วงนึงเท่านั้น และรอให้ปรับปรุงเตาและเครื่องเป่าลม หาเงินจะเป็นเรื่องที่ง่ายๆไม่ใช่หรอ
แต่จินเฟิงไม่ได้อธิบายอะไรมาก เขาผลักกวนเสี่ยวโหรวไปที่หน้าประตู
“เจ้าไม่รู้วิธีจะวางของไว้ที่นี่ยังไง ข้าทำความสะอาดที่นี่ เจ้าไปเก็บของที่อื่นก่อน”
"อืม"
กวนเสี่ยวโหรวพยักหน้าด้วยความเชื่อฟัง และไปทำความสะอาดเศษซากในสวนด้วยความกังวล
จินเฟิงเริ่มสร้างหน้าไม้
เมื่อตอนที่จินเฟิงยังเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในชาติที่แล้ว ครูของเขาเป็นคนที่ชอบหน้าไม้ ในช่วงสี่ปีที่เขาเรียนจบวิทยาลัย จินเฟิงมักจะไปกับครูที่สนามยิงปืนเพื่อฝึกซ้อม ทักษะการยิงธนูของเขาดีมาก และเขาก็เริ่มคุ้นเคยกับโครงสร้างของหน้าไม้และคันธนูเป็นอย่างดี
แต่เมื่อเขาเริ่มทำ จินเฟิงก็รู้สึกว่ามันยากกว่าที่เขาคาดไว้มาก
เครื่องมือในร้านช่างตีเหล็กนั้นมีความเก่ามาก แม้ว่าเขาจะเลือกสร้างหน้าไม้ที่ง่ายที่สุด ก็ต้องขัดตัวคันธนูให้เสร็จได้หลังจากช่วงบ่ายที่เท่านั้น
ในตอนเย็น จินเฟิงได้กินข้าวมื้อแรกในชาตินี้ ซึ่งเป็นงานเลี้ยงแต่งงานของเขาเองด้วย
ไม่มีพิธียุ่งยาก ไม่มีญาติหรือเพื่อนที่จะมาแสดงความยินดีกับเขา มีเพียงเขาและกวนเสี่ยวโหรว
กับข้าวก็ธรรมดา แม้ว่าจะหยาบก็ตา
โจ๊กข้าวสาลีชามเล็กและจานผักที่มีเกลือหยาบแค่นั้น
นั่นแหละ
โจ๊กข้าวสาลีไม่อร่อย และข้าวด้านนอกก็แทงปากทำให้ปากระคายเคือง ซึ่งทำให้จินเฟิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
แต่กวนเสี่ยวโหรวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย
เธอมักจะกินผักป่าและข้าวเปลือกที่บ้าน และบางครั้งก็กินข้าวฟ่างด้วย ถือว่าเป็นอาหารที่พิเศษแล้ว และโจ๊กข้าวสาลีก็เกือบจะเป็นอาหารที่หรูหราสำหรับเธอ
ตั้งแต่กลายเป็น "ตัวดูดเงิน" เธอก็ไม่เคยได้กินอีกเลย
ดังนั้นเธอเลยต้องอมข้าวแต่ละคำไว้ในปากเป็นเวลานานเพื่ออยากที่จะสัมผัสถึงความหวานของข้าวสาลี
หลังจากกินเสร็จ1ชาม กวนเสี่ยวโหรวก็วางชามและตะเกียบลง
ด้านข้างของชามก็ถูกขูดด้วยตะเกียบจนหมด ไม่ต้องพูดถึงเมล็ดข้าว ซุปก็ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
“กินสิ ทำไมไม่กินล่ะ”
จินเฟิงชี้ไปที่ชามข้าว
"ข้าอิ่มแล้ว"
กวนเสี่ยวโหรว ตอบอย่างเบาๆ
จินเฟิงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่ กวนเสี่ยวโหรวพูดในตอนเช้า เมื่อเธอขอร้องทุกคน: "...ข้าทอได้ แต่ข้ามีกินน้อยมาก..."
ด้วยความรู้สึกเจ็บช้ำใจ เขาจึงหยิบชามเปล่าของกวนเสี่ยวโหรว ตักโจ๊กข้าวสาลีเยอะๆ มาวางไว้ตรงหน้ากวนเสี่ยวโหรว
“ข้าอิ่มแล้วจริงๆ...”
“กินให้หมด!”
จินเฟิงขัดจังหวะคำพูดของกวนเสี่ยวโหรวอย่างเอาจริงเอาจัง และน้ำเสียงของเขาก็จริงจังขึ้นเล็กน้อย
"……ค่ะ"
กวนเสี่ยวโหรวตกใจกับคำพูดจินเฟิงและหยิบชามขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง
จินเฟิงหยิบตะเกียบคีบผักสีเขียวขึ้นมาแล้วใส่ลงในชามของกวนเสี่ยวโหรว "กินให้หมดด้วยกัน!"
กวนเสี่ยวโหรวตอบว่าอืมเบาๆ และหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะที่กวนเสี่ยวโหรวกินข้าวอยู่ น้ำตาก็เริ่มไหลลงมา
"เจ้าอย่าร้องไห้!"
จินเฟิงตื่นตระหนก “ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรตะโกนใส่เจ้าแบบนั้น ของร้องหล่ะหยุดร้องไห้ได้ไหม…”
“อย่า...อย่าพูดแบบนั้น เจ้าเป็นหัวหน้าครอบครัว ดังนั้นเจ้าควรตีและดุข้า”
กวนเสี่ยวโหรวสะอื้นและพูดว่า "ข้าร้องไห้เพราะนี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ข้าจำความได้ว่าข้าถูกบังคับให้กินข้าวมากขนาดนี้... แล้วยังเป็นโจ๊กข้าวสาลี..."
“สาวน้อย หลังจากนี้มันจะดีขึ้นเรื่อยๆ”
จินเฟิงถอนหายใจและเอื้อมมือไปแตะที่หัวของกวนเสี่ยวโหรว "เลิกร้องไห้แล้วกินให้เยอะๆ"
แม้ในยุคต่อๆมา การลูบหัวเมื่อหญิงสาวเศร้าไม่สามารถมองข้ามได้ นับประสาอะไรในยุคที่ล้าหลังล่ะ?
กวนเสี่ยวโหรวรู้สึกชาบนหัวของเธอ และจากนั้นความอบอุ่นก็ไหลเข้าสู่หัวใจของเธอ
แล้วน้ำตาก็ไหลอีก...
จินเฟิงกลัวว่าถ้าเขายังคงปลอบกวนเสี่ยวโหรวต่อไป เขาจะกินข้าวไม่เสร็จ ดังนั้นเขาจึงต้องแกล้งทำเป็นไม่เห็นอะไรและกินข้าวอย่างเงียบๆ
โชคดีที่กวนเสี่ยวโหรวเงียบลงอย่างรวดเร็ว และปาดน้ำตาแล้วกินต่อ
หลังจากล้างจานเสร็จแล้วทั้งสองคนก็นั่งตรงข้ามกัน แสงไฟดวงใหญ่ส่ายไปทางซ้ายและขวา บรรยากาศก็ดูเบาลง
กวนเสี่ยวโหรวก้มหัวลง จินเฟิงใช้มือทั้งสองจับมุมเสื้อของเธอโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าที่สวยงามของเธอแดงก่ำ และตัวของเธอสั่นเล็กน้อย
กวนเสี่ยวโหรวเล่าว่าเมื่อเธอเข้าร่วมงานแต่งงานครั้งแรกเมื่อสองปีที่แล้ว แม่ของเธอเล่าให้เธอฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป...
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved