บทที่ 1 เมื่อความรักได้หายไป
by อีหูเหล่าเหนี่ยว
13:40,Dec 21,2020
ผมพยายามที่จะสะกดลมหายใจให้เป็นปกติและพยายามที่จะควบคุมมือที่สั่นของตัวเองไว้เพื่อที่จะได้เห็นข้อความในโทรศัพท์ได้ชัดเจน
นี่เป็นโทรศัพท์ของแฟนผม ถึงแม้ว่าพวกเรารักกันมาเจ็ดปีแล้วและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมแอบดูโทรศัพท์ของเธอ
ข้อความในโทรศัพท์เป็นบทสนทนาที่เธอคุยกับผู้ชายคนอื่น และในบทสนทนาก็เต็มไปด้วยคำว่า ฉันรักคุณ ฉันคิดถึงคุณ......
ฟางเฟยนอกใจผม! คล้ายท้องฟ้าที่สดใสในตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนเป็นสายฟ้าที่ผ่าลงกลางหัวใจของผม
ในขณะนั้น จิตใจของผมก็ว่างเปล่า ราวกับมีมีดมาแทงเข้ากลางใจของผมอย่างรุนแรงและเจ็บปวดทรมาน ยากเกินจะหายใจ
“เฉินเทา คุณเป็นอะไรไปหรอคะ”
ในมือของฟางเฟยกำลังถือผ้าเช็ดตัวอยู่ ยืนเปลือยร่างอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ และมองโทรศัพท์ในมือของผมอย่างตกใจ
ใบหน้าของเธอถึงแม้ว่าจะซีดเผือดแต่ก็ยังคงความสวยอยู่ แม้กระทั่งหุ่นที่เป๊ะและส่วนเว้าโค้งของเธอ
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ในหัวของผมก็ปรากฏภาพของเธอกับผู้ชายคนอื่นที่กำลังอยู่ด้วยกัน และเธอนอนเปลือยอยู่ในอ้อมแขนของคนอื่นอย่างแนบสนิท!
“เฉินเทา คุณ......”
“เขาเป็นใคร” ผมพูดตัดบทเธอออกไปก่อนที่เธอจะพูดจบ ความรู้สึกที่เจ็บปวดในหัวใจของผมนั้นทำให้เสียงของผมสั่นเหลือเกิน
ฟางเฟยรู้แน่ว่าผมได้อ่านข้อความทั้งหมดนั้นแล้ว ทันใดนั้นขาทั้งสองข้างของเธอก็อ่อนแรงและค่อย ๆ ล้มลงบนพื้นโดยที่มือของเธอถือผ้าเช็ดตัวอยู่ และแล้วเธอก้มศีรษะลงไปกับผ้าเช็ดตัวผืนนั้น
เธอไม่มีแม้แต่คำอธิบายอะไรเลย นั้นแหละที่ทำให้ผมหมดสิ้นความหวังในที่สุด!
ผมนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดอาลัยตายอยากแล้วถามเธอว่า “เรื่องคุณกับเขามันนานเท่าไหร่แล้ว”
“ครึ่งปีแล้วค่ะ” น้ำเสียงของฟางเฟยสะอื้นเล็กน้อย แต่ก่อนผมอาจจะมองว่าน้ำเสียงนี้ช่างน่าสงสารจับใจ แต่นับจากนี้ไปเสียงของเธอมันกลับน่ารำคาญเหลือเกิน
“โถ่โว้ย! นี่ผมโดนสวมเขามาถึงครึ่งปีงั้นหรอ”ผมหัวเราะแล้วทึ้งผมตัวเองแรง ๆ อยู่อย่างนั้น
“เขาหล่อกว่าผมหรือว่ารวยกว่าผมล่ะ”
ฟางเฟยหยุดสะอื้นไปชั่วครู่ เธอเงยหัวขึ้นมาและดวงตาที่บวมแดงของเธอมองมาที่ผม
“เขารู้จักที่จะใส่ใจฉันมากกว่าคุณค่ะ”
ประโยคนี้เหมือนกับท่อนไม้มหึมาทุบลงมาที่กลางใจของผมจนพูดไม่ออก
และผมก็ทราบในตอนนี้เองว่าเรื่องระหว่างผมกับเธอมันจบลงแล้ว!
นอกจากเรื่องหน้าตาแล้วนั้น ผมก็ไม่มีอะไรจะสู้เขาได้เลย ผมไม่ได้รวย ไม่ได้มีเงินมากมายอะไร ทรัพย์สินอย่างอื่นก็ไม่มี! แม้กระทั่งความห่วงใยจากคนอื่นที่มอบให้เธอผมยังเทียบไม่ได้เลย
แต่ว่าเธอจะไม่ทราบเลยว่าที่ผมต้องทำงานหนักทั้งชีวิต ต้องทำโอที ต้องเดินทางไกล ทั้งหมดที่ผมพยายามต่อสู้ดิ้นรนก็เพื่อที่จะทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น
ผมกำลังพยายามอ้าปากจะพูดอะไรกับเธอสักอย่างออกไป แต่มันก็พูดอะไรไม่ออกสักคำ
ครึ่งปีแล้วแล้วสินะ! ที่จริงหัวใจของเธอเป็นของคนอื่นไปตั้งครึ่งปีแล้ว พึ่งจะมาพูดเอาตอนนี้ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรหรือ
เวลานี้ไม่มีเสียงหลุดรอดออกมาจากใครทั้งนั้นนอกจากเสียงสะอื้นเบา ๆ ของเธอ ฟางเฟยก็บอกกับผมว่าผมไม่รักไม่เป็นห่วงเธอ ทุกประโยคที่เธอพูดออกมาทำให้หัวใจของผมชาหนึบ พูดอะไรไม่ออกแล้ว จนในที่สุดผมก็ทำได้เพียงเดินออกจากห้องไป ไปหาเพื่อนแล้วดื่มสุราย้อมใจจนเมาไม่มีสติ พอดึกแล้วผมก็นอนอยู่บนโซฟาที่บ้านเพื่อนเลยนั้นแหละ
ผมที่ตื่นขึ้นในรุ้งเช้าวันต่อมา เห็นข้อความบนโทรศัพท์ เพียงไม่กี่ตัวอักษรว่า ‘ขอโทษนะแต่ฉันขอไป’
ผมรีบวิ่งกลับไปที่บ้านเช่าของเราสองคนที่เช่าอยู่ด้วยกัน เธอไม่อยู่แล้ว เธอได้หายไปจากโลกของผมแล้วสินะ ไปจริง ๆ สินะ ความรักของเราถึงคราวที่จะต้องสลายหายไป
ผมเริ่มจมอยู่กับตัวเอง สุราและบุหรี่เป็นสิ่งที่ทำให้ตัวผมเองสงบ ความสำเร็จที่ค่อย ๆ สร้างมาก็เริ่มที่จะพังลงไม่เป็นท่า ไม่นานจากผู้จัดการธุรกิจก็ลงมาเป็นทำตำแหน่งผู้กระจายสินค้าของโกดังสินค้า และสุดท้ายก็กลายมาเป็นพนักงานยกกระเป๋าในที่สุด
ผมไม่ได้เกลียดฟางเฟย ผมทราบดีว่าทุกคนล้วนมีสิทธิ์ที่จะแสวงหาความรักที่ตัวเองปรารถนา หรืออาจจะพูดได้ว่า ผมเองไม่สามารถให้ในสิ่งที่เธอต้องการได้
ผ่านมาแล้วหนึ่งปีหลังจากที่ผมใช้ชีวิตมาแบบโง่เขลาและใช้เงินที่สั่งสมมานานจนหมดสิ้น และแล้วก็มีวันที่ผมลาออกจากงานในที่สุด ผมยืมเงินจากเพื่อนมาก้อนหนึ่ง ขึ้นรถไฟมายังเมืองปินไห่ที่ที่ไม่ผู้คนไม่รู้จักและคุ้นเคย
ผมยอมแพ้เรื่องเธอและเลือกที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่!
พอถึงปินไห่ ผมได้อาศัยอยู่ในบ้านเช่าเก่า ๆ บ้านหลังนี้มีเพียงสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น มีเตียงจัดไว้หกเตียง เตียงละสองชั้น และมีวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยความฝันทั้งสิบสองคนนอนเบียดเสียดกันในพื้นที่น้อยกว่าเจ็ดสิบตารางเมตร
พอตกเย็นผมไม่ได้เลือกที่จะไปดื่มเหล้าเช่นก่อน แต่กลับเลือกที่จะไปวิ่งออกกำลังกายตอนกลางคืน กีฬาทำให้ผมลืมความเจ็บปวดและความเศร้า สายลมยามค่ำคืนก็ทำให้จิตใจของผมสงบลงและรู้สึกสบายใจ ราวกลับว่าผมได้กลับไปเป็นตัวเองเมื่อสิบปีก่อนอีกครั้ง
ปินไห่เป็นเมืองที่ใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้หญิงที่นี่สวยราวกับนางฟ้า แม้ว่าถนนที่ผมวิ่งในตอนกลางคืนจะอยู่ห่างไกล แต่ก็ยังมีผู้หญิงสวย ๆ มาวิ่งที่นี่
ไม่นานผมก็หลงเสน่ห์ความงามของเธอจนได้
ขาที่เรียวและขาวราวหิมะ กางเกงที่รัดสัดส่วนสำหรับออกกำลังกาย ทั้งยังใส่เสื้อกล้ามที่รัดรูป และมีเหงื่อไหลตามใบหน้า
ผมก็ยังเป็นเพียงผู้ชายปกติทั่วไปที่ยังมีความรู้สึก ที่ต้องการความรักและต้องการผู้หญิงอยู่! ผมเองที่ไม่ได้ต้องตาต้องใจผู้หญิงมาเกือบหนึ่งปีแล้ว! ผู้หญิงที่มีร่างกายสมบูรณ์แบบตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกร้อนไปทั้งร่างกาย
ในเมื่อตอนนี้ผมมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ปินไห่แล้ว ผมก็ควรที่จะลืมเรื่องของฟางเฟย ความรู้สึกในตอนนั้นให้หมดสิ้น และเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือผมที่ควรจะเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่กับใครสักคนบ้าง
การเจอกันโดยบังเอิญไม่เท่าพรหมลิขิตบันดาล ผู้หญิงตรงหน้านี้ผมอดคิดถึงความรู้สึกพวกนั้นไม่ได้
ดังนั้นผมก็ไม่รอช้าที่จะวิ่งไปอยู่ข้างหลังและพยายามหาโอกาสที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับเธอ
แต่ทันใดนั้น เธอก็หยุดวิ่งแล้วหันมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก
ผมตกใจสะดุ้งตัว รีบหยุดวิ่งทันที ผมมองไปที่เธออย่างประหม่า
เธอสวยจนยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบ อายุน่าจะราว ๆ ยี่สิบห้าปี หน้าที่ดูเป็นธรรมชาติเพราะไม่ได้แต่งเติมอะไรเป็นพิเศษ ผิวขาวราวกับหยก ดวงตาที่กลมโตแต่กลับดูเย็นชาเป็นอย่างยิ่งนั่น เมื่อรวมกับบุคลิกร่างกายของเธอทำให้มองดูแล้วคล้ายกับหญิงงามที่สูงส่งจนยากจะเข้าถึงเธอ
“นายจะทำอะไร” เธอถามผมด้วยน้ำเสียงติดจะเย็นชา
ผมประหม่าเล็กน้อยแล้วตอบเธอไปว่า “เอ่อ...ผมแค่กำลังวิ่งอยู่ ไม่ได้จะทำอะไรคุณนะครับ”
“หึ! นายไม่รู้เลยเหรอไงว่าฉันเห็นนายมองมาที่ฉันตลอดอยู่แล้ว นายกล้ามาตามก่อกวนฉันงั้นสิ ฉันจะแจ้งความนาย!”
เมื่อผมโดนจับได้แบบแถบจะหมดเปลือก ผมก็ได้แต่ทำหน้าอึกอักและก้มหน้าอย่างยอมจำนน
และหญิงสาวก็มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียว
คือมันก็เป็นแค่การเข้าไปชวนคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งเองไม่ใช่หรือครับ ทำไมผมต้องโดนเธอโกรธเหมือนจะกินหัวผมขนาดนี้ด้วยล่ะนี้
พอคิดถึงตรงนี้แล้ว ผมยิ้มอย่างตรงไปตรงมาและมองขึ้นไปสบตาที่เย็นชาและหยิ่งผยองของเธอพร้อมกับกล่าวออกไปว่า “โอเคครับ...โอเค ผมตามคุณมาไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีนะครับ ผมแค่อยากรู้จักคุณและเป็นเพื่อนกับคุณเท่านั้นเอง”
หญิงสาวนิ่งไปไม่นาน ความจริงแล้วนั้นเธอไม่ได้เชื่อว่าผมต้องการแบบที่พูดออกไปหรอก
ในเวลานั้นเอง จู่ ๆ ก็มีชายคนหนึ่งท่าทางไม่น่าไว้ใจ แต่งตัวสกปรก และวิ่งออกมาจากพุ่มไม้ข้างถนน มันพุ่งตรงเข้ามาหาตัวหญิงสาว
“เฮ้ย!” เธอตกใจจนแทบจะประคองสติตัวเองไว้ไม่ได้
ฉันตกตะลึงไปในทันทีที่เห็นคนจรจัดรวบตัวหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนมัน เหมือนหมาป่าหิวโหยที่กระชากเหยื่อ มันกำลังลากเธอไปที่พุ่มดอกไม้ข้าง ๆ ถนน
ผมตกใจได้ไม่ได้ก็มีสติขึ้นมา ผมพุ่งตัวชกเข้าไปที่ใบหน้าของมัน จังหวะที่เห็นว่าคนจรจัดเซไปทางด้านหลัง ผมจึงรีบดึงตัวหญิงสาวมาไว้ในอ้อมแขนของผมแทน
ตรงนี้หญิงสาวตรงหน้าไร้ซึ่งความหยิ่งผยองใด ๆ ใบหน้าของเธอคงไว้แค่ความตระหนกตกใจกลัว ดวงตาเบิกกว้างนั่นมองมาที่ผม เวลานี้เองผมถึงได้สังเกตว่าดวงตาทั้งสองข้างของเธองานเหลือเกิน
ผมกอดเธอไว้ เวลานี้ผมไม่มีความคิดจะทำอะไรแย่ ๆ กับเธอเลยจริง ๆ ผมกล้าสาบานได้ ผมเพียงแค่ลูบหัวเธอเบา ๆ คล้ายกับปลอบเธอให้ใจเย็นลงและมีสติมากขึ้น
ทันใดนั้นสีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงจากความโกรธ เธอใช้แรงทั้งหมดที่มีฮึดสู้ดิ้นรนจากผม
ตอนนี้ผมก็พึ่งรู้ตัวว่ามือของผมวางอยู่ที่หน้าอกของเธอ ใหญ่มาก แถบยังนุ่มมากอีกด้วย!
“นาย......ไอ้โรคจิต!”
หญิงสาวตะโกนใส่ผมอย่างรุนแรง ใบหน้าที่สวยงามของเธอนั้นเต็มไปด้วยสีแดงราวกับว่าเธอกำลังจะระเบิดตัวเอง
ผมยิ้มอย่างขมขื่นในใจ ผมกำลังจะอธิบายให้เธอฟัง แต่ทันใดนั้นคนจรจัดก็ลุกขึ้นจากพื้นและพุ่งเข้าหาผมด้วยเสียงร้องแปลกประหลาด
ผมรีบผละตัวออกจากเธอ ผมกวักมือเรียกให้คนจรจัดมาสู้อย่างตัวต่อตัวกับผม ในระหว่างที่ผมกับมันต่อสู้กันอยู่นั้น ผมเห็นด้วยหางตาว่าหญิงสาววิ่งเอาชีวิตรอดหนีออกไปแล้ว เธอไปถึงสี่แยกและวิ่งหายลับไปจากสายตาของผม
ไม่นานก็มีคนที่วิ่งกลางคืนอยู่บริเวณแถวนั้น แล้วพวกเขาก็ช่วยกันและดึงผมออกจากคนจรจัด และแล้วตำรวจก็มาถึง
ผมไม่ได้แก้ตัวเอะไรออกไป ตำรวจพาผมไปที่สถานีตำรวจชุมชนในทันที นอกจากผมแล้วก็ไม่มีใครเห็นหญิงสาวที่ถูกทำร้ายโดยคนจรจัด และตอนนี้ตัวเธอเองก็หายไปแล้วด้วย
มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ ที่คนจรจัดจะบ้าคลั่งและทำร้ายผู้ที่สัญจรไปมา แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในจุดที่ไม่มีใครสามารถมองเห็น คุณตำรวจบอกผมว่า พวกเขาจะหาหญิงสาวให้พบและจะขอให้เธอมาเป็นพยานให้ผมที่สถานีตำรวจแห่งนี้
มิฉะนั้นผมก็จะต้องถูกตั้งข้อหาทะเลาะวิวาทในที่สาธารณะ ผมอาจจะโดนตั้งข้อหา ต้องติดคุก และชดใช้ค่าปรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมคงเป็นคนที่ซวยเอามาก ๆ ผมนั่งรออย่างเบื่อหน่ายอยู่บนโซฟาของสถานีตำรวจ พอถึงกลางดึกก็มีเสียงเครื่องยนต์อยู่นอกหน้าต่างสำนักงานตำรวจ ผมชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว และเห็นรถสองคันจอดอยู่ด้านนอก รถคันแรกคือ Land Rover และรถคันต่อมาคือ Mercedes Benz
ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง และอีกคนคือหญิงสาวที่สวมหน้ากากนั่งอยู่บนรถเบนซ์
แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากอยู่ก็ตาม แต่ผมก็ยังจำเธอได้แม่นทีเดียว เธอคือหญิงสาวที่ได้รับการช่วยเหลือจากผม ผู้หญิงที่มีดวงตาที่งดงามคนนั้นเอง!
ชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่ขนาบข้างมากับสาวสวยอีกคนก็ลงมาจากรถแลนด์โรเวอร์เช่นกัน
เมื่อผมได้เห็นใบหน้าที่งดงามนั่น หัวใจของผมก็เต้นในอกอย่างรุนแรง ฟางเฟย! เธอคือฟางเฟยแฟนเก่าของผม!
นี่เป็นโทรศัพท์ของแฟนผม ถึงแม้ว่าพวกเรารักกันมาเจ็ดปีแล้วและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมแอบดูโทรศัพท์ของเธอ
ข้อความในโทรศัพท์เป็นบทสนทนาที่เธอคุยกับผู้ชายคนอื่น และในบทสนทนาก็เต็มไปด้วยคำว่า ฉันรักคุณ ฉันคิดถึงคุณ......
ฟางเฟยนอกใจผม! คล้ายท้องฟ้าที่สดใสในตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนเป็นสายฟ้าที่ผ่าลงกลางหัวใจของผม
ในขณะนั้น จิตใจของผมก็ว่างเปล่า ราวกับมีมีดมาแทงเข้ากลางใจของผมอย่างรุนแรงและเจ็บปวดทรมาน ยากเกินจะหายใจ
“เฉินเทา คุณเป็นอะไรไปหรอคะ”
ในมือของฟางเฟยกำลังถือผ้าเช็ดตัวอยู่ ยืนเปลือยร่างอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ และมองโทรศัพท์ในมือของผมอย่างตกใจ
ใบหน้าของเธอถึงแม้ว่าจะซีดเผือดแต่ก็ยังคงความสวยอยู่ แม้กระทั่งหุ่นที่เป๊ะและส่วนเว้าโค้งของเธอ
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ในหัวของผมก็ปรากฏภาพของเธอกับผู้ชายคนอื่นที่กำลังอยู่ด้วยกัน และเธอนอนเปลือยอยู่ในอ้อมแขนของคนอื่นอย่างแนบสนิท!
“เฉินเทา คุณ......”
“เขาเป็นใคร” ผมพูดตัดบทเธอออกไปก่อนที่เธอจะพูดจบ ความรู้สึกที่เจ็บปวดในหัวใจของผมนั้นทำให้เสียงของผมสั่นเหลือเกิน
ฟางเฟยรู้แน่ว่าผมได้อ่านข้อความทั้งหมดนั้นแล้ว ทันใดนั้นขาทั้งสองข้างของเธอก็อ่อนแรงและค่อย ๆ ล้มลงบนพื้นโดยที่มือของเธอถือผ้าเช็ดตัวอยู่ และแล้วเธอก้มศีรษะลงไปกับผ้าเช็ดตัวผืนนั้น
เธอไม่มีแม้แต่คำอธิบายอะไรเลย นั้นแหละที่ทำให้ผมหมดสิ้นความหวังในที่สุด!
ผมนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดอาลัยตายอยากแล้วถามเธอว่า “เรื่องคุณกับเขามันนานเท่าไหร่แล้ว”
“ครึ่งปีแล้วค่ะ” น้ำเสียงของฟางเฟยสะอื้นเล็กน้อย แต่ก่อนผมอาจจะมองว่าน้ำเสียงนี้ช่างน่าสงสารจับใจ แต่นับจากนี้ไปเสียงของเธอมันกลับน่ารำคาญเหลือเกิน
“โถ่โว้ย! นี่ผมโดนสวมเขามาถึงครึ่งปีงั้นหรอ”ผมหัวเราะแล้วทึ้งผมตัวเองแรง ๆ อยู่อย่างนั้น
“เขาหล่อกว่าผมหรือว่ารวยกว่าผมล่ะ”
ฟางเฟยหยุดสะอื้นไปชั่วครู่ เธอเงยหัวขึ้นมาและดวงตาที่บวมแดงของเธอมองมาที่ผม
“เขารู้จักที่จะใส่ใจฉันมากกว่าคุณค่ะ”
ประโยคนี้เหมือนกับท่อนไม้มหึมาทุบลงมาที่กลางใจของผมจนพูดไม่ออก
และผมก็ทราบในตอนนี้เองว่าเรื่องระหว่างผมกับเธอมันจบลงแล้ว!
นอกจากเรื่องหน้าตาแล้วนั้น ผมก็ไม่มีอะไรจะสู้เขาได้เลย ผมไม่ได้รวย ไม่ได้มีเงินมากมายอะไร ทรัพย์สินอย่างอื่นก็ไม่มี! แม้กระทั่งความห่วงใยจากคนอื่นที่มอบให้เธอผมยังเทียบไม่ได้เลย
แต่ว่าเธอจะไม่ทราบเลยว่าที่ผมต้องทำงานหนักทั้งชีวิต ต้องทำโอที ต้องเดินทางไกล ทั้งหมดที่ผมพยายามต่อสู้ดิ้นรนก็เพื่อที่จะทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น
ผมกำลังพยายามอ้าปากจะพูดอะไรกับเธอสักอย่างออกไป แต่มันก็พูดอะไรไม่ออกสักคำ
ครึ่งปีแล้วแล้วสินะ! ที่จริงหัวใจของเธอเป็นของคนอื่นไปตั้งครึ่งปีแล้ว พึ่งจะมาพูดเอาตอนนี้ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรหรือ
เวลานี้ไม่มีเสียงหลุดรอดออกมาจากใครทั้งนั้นนอกจากเสียงสะอื้นเบา ๆ ของเธอ ฟางเฟยก็บอกกับผมว่าผมไม่รักไม่เป็นห่วงเธอ ทุกประโยคที่เธอพูดออกมาทำให้หัวใจของผมชาหนึบ พูดอะไรไม่ออกแล้ว จนในที่สุดผมก็ทำได้เพียงเดินออกจากห้องไป ไปหาเพื่อนแล้วดื่มสุราย้อมใจจนเมาไม่มีสติ พอดึกแล้วผมก็นอนอยู่บนโซฟาที่บ้านเพื่อนเลยนั้นแหละ
ผมที่ตื่นขึ้นในรุ้งเช้าวันต่อมา เห็นข้อความบนโทรศัพท์ เพียงไม่กี่ตัวอักษรว่า ‘ขอโทษนะแต่ฉันขอไป’
ผมรีบวิ่งกลับไปที่บ้านเช่าของเราสองคนที่เช่าอยู่ด้วยกัน เธอไม่อยู่แล้ว เธอได้หายไปจากโลกของผมแล้วสินะ ไปจริง ๆ สินะ ความรักของเราถึงคราวที่จะต้องสลายหายไป
ผมเริ่มจมอยู่กับตัวเอง สุราและบุหรี่เป็นสิ่งที่ทำให้ตัวผมเองสงบ ความสำเร็จที่ค่อย ๆ สร้างมาก็เริ่มที่จะพังลงไม่เป็นท่า ไม่นานจากผู้จัดการธุรกิจก็ลงมาเป็นทำตำแหน่งผู้กระจายสินค้าของโกดังสินค้า และสุดท้ายก็กลายมาเป็นพนักงานยกกระเป๋าในที่สุด
ผมไม่ได้เกลียดฟางเฟย ผมทราบดีว่าทุกคนล้วนมีสิทธิ์ที่จะแสวงหาความรักที่ตัวเองปรารถนา หรืออาจจะพูดได้ว่า ผมเองไม่สามารถให้ในสิ่งที่เธอต้องการได้
ผ่านมาแล้วหนึ่งปีหลังจากที่ผมใช้ชีวิตมาแบบโง่เขลาและใช้เงินที่สั่งสมมานานจนหมดสิ้น และแล้วก็มีวันที่ผมลาออกจากงานในที่สุด ผมยืมเงินจากเพื่อนมาก้อนหนึ่ง ขึ้นรถไฟมายังเมืองปินไห่ที่ที่ไม่ผู้คนไม่รู้จักและคุ้นเคย
ผมยอมแพ้เรื่องเธอและเลือกที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่!
พอถึงปินไห่ ผมได้อาศัยอยู่ในบ้านเช่าเก่า ๆ บ้านหลังนี้มีเพียงสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น มีเตียงจัดไว้หกเตียง เตียงละสองชั้น และมีวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยความฝันทั้งสิบสองคนนอนเบียดเสียดกันในพื้นที่น้อยกว่าเจ็ดสิบตารางเมตร
พอตกเย็นผมไม่ได้เลือกที่จะไปดื่มเหล้าเช่นก่อน แต่กลับเลือกที่จะไปวิ่งออกกำลังกายตอนกลางคืน กีฬาทำให้ผมลืมความเจ็บปวดและความเศร้า สายลมยามค่ำคืนก็ทำให้จิตใจของผมสงบลงและรู้สึกสบายใจ ราวกลับว่าผมได้กลับไปเป็นตัวเองเมื่อสิบปีก่อนอีกครั้ง
ปินไห่เป็นเมืองที่ใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้หญิงที่นี่สวยราวกับนางฟ้า แม้ว่าถนนที่ผมวิ่งในตอนกลางคืนจะอยู่ห่างไกล แต่ก็ยังมีผู้หญิงสวย ๆ มาวิ่งที่นี่
ไม่นานผมก็หลงเสน่ห์ความงามของเธอจนได้
ขาที่เรียวและขาวราวหิมะ กางเกงที่รัดสัดส่วนสำหรับออกกำลังกาย ทั้งยังใส่เสื้อกล้ามที่รัดรูป และมีเหงื่อไหลตามใบหน้า
ผมก็ยังเป็นเพียงผู้ชายปกติทั่วไปที่ยังมีความรู้สึก ที่ต้องการความรักและต้องการผู้หญิงอยู่! ผมเองที่ไม่ได้ต้องตาต้องใจผู้หญิงมาเกือบหนึ่งปีแล้ว! ผู้หญิงที่มีร่างกายสมบูรณ์แบบตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกร้อนไปทั้งร่างกาย
ในเมื่อตอนนี้ผมมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ปินไห่แล้ว ผมก็ควรที่จะลืมเรื่องของฟางเฟย ความรู้สึกในตอนนั้นให้หมดสิ้น และเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือผมที่ควรจะเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่กับใครสักคนบ้าง
การเจอกันโดยบังเอิญไม่เท่าพรหมลิขิตบันดาล ผู้หญิงตรงหน้านี้ผมอดคิดถึงความรู้สึกพวกนั้นไม่ได้
ดังนั้นผมก็ไม่รอช้าที่จะวิ่งไปอยู่ข้างหลังและพยายามหาโอกาสที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับเธอ
แต่ทันใดนั้น เธอก็หยุดวิ่งแล้วหันมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก
ผมตกใจสะดุ้งตัว รีบหยุดวิ่งทันที ผมมองไปที่เธออย่างประหม่า
เธอสวยจนยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบ อายุน่าจะราว ๆ ยี่สิบห้าปี หน้าที่ดูเป็นธรรมชาติเพราะไม่ได้แต่งเติมอะไรเป็นพิเศษ ผิวขาวราวกับหยก ดวงตาที่กลมโตแต่กลับดูเย็นชาเป็นอย่างยิ่งนั่น เมื่อรวมกับบุคลิกร่างกายของเธอทำให้มองดูแล้วคล้ายกับหญิงงามที่สูงส่งจนยากจะเข้าถึงเธอ
“นายจะทำอะไร” เธอถามผมด้วยน้ำเสียงติดจะเย็นชา
ผมประหม่าเล็กน้อยแล้วตอบเธอไปว่า “เอ่อ...ผมแค่กำลังวิ่งอยู่ ไม่ได้จะทำอะไรคุณนะครับ”
“หึ! นายไม่รู้เลยเหรอไงว่าฉันเห็นนายมองมาที่ฉันตลอดอยู่แล้ว นายกล้ามาตามก่อกวนฉันงั้นสิ ฉันจะแจ้งความนาย!”
เมื่อผมโดนจับได้แบบแถบจะหมดเปลือก ผมก็ได้แต่ทำหน้าอึกอักและก้มหน้าอย่างยอมจำนน
และหญิงสาวก็มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียว
คือมันก็เป็นแค่การเข้าไปชวนคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งเองไม่ใช่หรือครับ ทำไมผมต้องโดนเธอโกรธเหมือนจะกินหัวผมขนาดนี้ด้วยล่ะนี้
พอคิดถึงตรงนี้แล้ว ผมยิ้มอย่างตรงไปตรงมาและมองขึ้นไปสบตาที่เย็นชาและหยิ่งผยองของเธอพร้อมกับกล่าวออกไปว่า “โอเคครับ...โอเค ผมตามคุณมาไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีนะครับ ผมแค่อยากรู้จักคุณและเป็นเพื่อนกับคุณเท่านั้นเอง”
หญิงสาวนิ่งไปไม่นาน ความจริงแล้วนั้นเธอไม่ได้เชื่อว่าผมต้องการแบบที่พูดออกไปหรอก
ในเวลานั้นเอง จู่ ๆ ก็มีชายคนหนึ่งท่าทางไม่น่าไว้ใจ แต่งตัวสกปรก และวิ่งออกมาจากพุ่มไม้ข้างถนน มันพุ่งตรงเข้ามาหาตัวหญิงสาว
“เฮ้ย!” เธอตกใจจนแทบจะประคองสติตัวเองไว้ไม่ได้
ฉันตกตะลึงไปในทันทีที่เห็นคนจรจัดรวบตัวหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนมัน เหมือนหมาป่าหิวโหยที่กระชากเหยื่อ มันกำลังลากเธอไปที่พุ่มดอกไม้ข้าง ๆ ถนน
ผมตกใจได้ไม่ได้ก็มีสติขึ้นมา ผมพุ่งตัวชกเข้าไปที่ใบหน้าของมัน จังหวะที่เห็นว่าคนจรจัดเซไปทางด้านหลัง ผมจึงรีบดึงตัวหญิงสาวมาไว้ในอ้อมแขนของผมแทน
ตรงนี้หญิงสาวตรงหน้าไร้ซึ่งความหยิ่งผยองใด ๆ ใบหน้าของเธอคงไว้แค่ความตระหนกตกใจกลัว ดวงตาเบิกกว้างนั่นมองมาที่ผม เวลานี้เองผมถึงได้สังเกตว่าดวงตาทั้งสองข้างของเธองานเหลือเกิน
ผมกอดเธอไว้ เวลานี้ผมไม่มีความคิดจะทำอะไรแย่ ๆ กับเธอเลยจริง ๆ ผมกล้าสาบานได้ ผมเพียงแค่ลูบหัวเธอเบา ๆ คล้ายกับปลอบเธอให้ใจเย็นลงและมีสติมากขึ้น
ทันใดนั้นสีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงจากความโกรธ เธอใช้แรงทั้งหมดที่มีฮึดสู้ดิ้นรนจากผม
ตอนนี้ผมก็พึ่งรู้ตัวว่ามือของผมวางอยู่ที่หน้าอกของเธอ ใหญ่มาก แถบยังนุ่มมากอีกด้วย!
“นาย......ไอ้โรคจิต!”
หญิงสาวตะโกนใส่ผมอย่างรุนแรง ใบหน้าที่สวยงามของเธอนั้นเต็มไปด้วยสีแดงราวกับว่าเธอกำลังจะระเบิดตัวเอง
ผมยิ้มอย่างขมขื่นในใจ ผมกำลังจะอธิบายให้เธอฟัง แต่ทันใดนั้นคนจรจัดก็ลุกขึ้นจากพื้นและพุ่งเข้าหาผมด้วยเสียงร้องแปลกประหลาด
ผมรีบผละตัวออกจากเธอ ผมกวักมือเรียกให้คนจรจัดมาสู้อย่างตัวต่อตัวกับผม ในระหว่างที่ผมกับมันต่อสู้กันอยู่นั้น ผมเห็นด้วยหางตาว่าหญิงสาววิ่งเอาชีวิตรอดหนีออกไปแล้ว เธอไปถึงสี่แยกและวิ่งหายลับไปจากสายตาของผม
ไม่นานก็มีคนที่วิ่งกลางคืนอยู่บริเวณแถวนั้น แล้วพวกเขาก็ช่วยกันและดึงผมออกจากคนจรจัด และแล้วตำรวจก็มาถึง
ผมไม่ได้แก้ตัวเอะไรออกไป ตำรวจพาผมไปที่สถานีตำรวจชุมชนในทันที นอกจากผมแล้วก็ไม่มีใครเห็นหญิงสาวที่ถูกทำร้ายโดยคนจรจัด และตอนนี้ตัวเธอเองก็หายไปแล้วด้วย
มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ ที่คนจรจัดจะบ้าคลั่งและทำร้ายผู้ที่สัญจรไปมา แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในจุดที่ไม่มีใครสามารถมองเห็น คุณตำรวจบอกผมว่า พวกเขาจะหาหญิงสาวให้พบและจะขอให้เธอมาเป็นพยานให้ผมที่สถานีตำรวจแห่งนี้
มิฉะนั้นผมก็จะต้องถูกตั้งข้อหาทะเลาะวิวาทในที่สาธารณะ ผมอาจจะโดนตั้งข้อหา ต้องติดคุก และชดใช้ค่าปรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมคงเป็นคนที่ซวยเอามาก ๆ ผมนั่งรออย่างเบื่อหน่ายอยู่บนโซฟาของสถานีตำรวจ พอถึงกลางดึกก็มีเสียงเครื่องยนต์อยู่นอกหน้าต่างสำนักงานตำรวจ ผมชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว และเห็นรถสองคันจอดอยู่ด้านนอก รถคันแรกคือ Land Rover และรถคันต่อมาคือ Mercedes Benz
ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง และอีกคนคือหญิงสาวที่สวมหน้ากากนั่งอยู่บนรถเบนซ์
แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากอยู่ก็ตาม แต่ผมก็ยังจำเธอได้แม่นทีเดียว เธอคือหญิงสาวที่ได้รับการช่วยเหลือจากผม ผู้หญิงที่มีดวงตาที่งดงามคนนั้นเอง!
ชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่ขนาบข้างมากับสาวสวยอีกคนก็ลงมาจากรถแลนด์โรเวอร์เช่นกัน
เมื่อผมได้เห็นใบหน้าที่งดงามนั่น หัวใจของผมก็เต้นในอกอย่างรุนแรง ฟางเฟย! เธอคือฟางเฟยแฟนเก่าของผม!
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.webreadapp.com All rights reserved