บทที่ 9 ไร้ความเมตตาปราณี

เมื่อผมมาถึงหน้าห้องทำงานของเซี้ยหยุน ผมเคาะประตูอย่างมีมารยาทสองถึงสามครั้ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาอยากรวดเร็วว่า “เข้ามาได้”

ผมผลักประตูเข้าไป รีบหันกลับไปปิดประตู แล้วมองกลับมาที่เซี้ยหยุนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ผมพูดกับเธอยิ้ม ๆ ว่า “ประธานเซี้ยพร้อมหรือยังครับ”

เซี้ยหยุนนิ่งไป เธอกล่าวกับผมว่า “พร้อมอะไรของนาย”

“พร้อมจะเป็นแฟนของไอ้บ้ากามคนนี้ยังไงล่ะครับ”

ผมมองไปที่เธอแบบเล่นหูเล่นตาไปด้วย หลังจากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ที่ข้าง ๆ โซฟา มือของผมที่ถือถุงโจ๊กและผลไม้หลายอย่างก็นำมันว่างไว้ที่โต๊ะด้วย ผมพูดต่อว่า “ผมซื้อโจ๊กกับผลไม้มาฝากครับ คุณรีบมาทานเร็ว ช้าไปเดี๋ยวไม่ร้อนไม่รู้ด้วยนะครับ”

เซี้ยหยุนมีท่าทีตกใจ เธอมองไปที่ถุงอาหารและผลไม้พวกนั้น จากนั้นก็เลื่อนสายตามามองที่ผม

ผมนั่งลงบนโซฟา “แฟนที่มีคุณภาพแบบนี้ ทั้งซื้อข้าวซื้อผลไม้มาให้ มีอะไรที่น่าแปลกใจหรือครับ”

“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันยังไม่ได้ทานอะไร” เซี้ยหยุนลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่เธอนั่งแล้วค่อย ๆ เดินมาใกล้โซฟา

ผมอดคุ้นเคยที่จะเชยชมร่างกายที่สมบูรณ์แบบของเธอไม่ได้และรีบตอบกลับไปว่า “ผมเดาเอาหนะครับ”

เซี้ยหยุนนั่งลงบนโซฟา เธอกระชับต้นขาขาวราวกับหิมะให้แนบสนิท จากนั้นก็ดึงกระโปรงร่นลงอีกหน่อย

ผมสายหัว “พร้อมแล้วหรือครับ”

“หึ” เซี้ยหยุนยิ้มเล็กน้อย เธอไม่ได้กังวลเรื่องนั้นเลย แถมยังพูดต่อว่า “รอให้นายได้งานนั้นมาก่อนค่อยว่ากันไม่ดีกว่าเหรอไง”

ผมทราบดี เพราะเธอมั่นใจว่ายังไงผมก็ไม่สามารถจัดการเรื่องของหูคุนได้

เธอไม่รอให้ผมตอบ เธอยืดตัวขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า “เฉินเทา ฉันของถามนายหน่อย เมื่อครู่ที่โรงอาหาร นายหมายความว่ายังไงที่พูดว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ของฝ่ายการตลาดหยู่เฟยมีข้อผิดพลาด”

และแล้วเซี้ยหยุนก็พูดสิ่งที่เธอกังวลออกมา ผมตอบกลับเธออย่างไม่ได้สนใจมากนักว่า “ผมก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยหนะครับ ประธานเซี้ยอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย”

“เหอะ ฉันรู้ว่านายไม่ได้พูดไปเรื่อยเปื่อย นายต้องมีความคิดอะไรบ้างอย่าง ในฐานะพนักงานบริษัทคนหนึ่ง ถ้านายไม่ยอมบอกความคิดของนายก็แสดงว่านายไม่ได้อยากอุทิศตนเพื่อบริษัทของเรางั้นสิ”

“หึ” ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ประธานเซี้ยให้เกียรติผมเป็นพนักงานคนหนึ่งของบริษัทหยู่เฟยแล้วหรือครับ”

“หึหึ ผมเข้ามาทำงานที่บริษัทได้ก็หลายวันแล้วนะ ไหนล่ะรายชื่อผม แล้วไหนล่ะบัตรพนักงานผม”

ผมไม่คิดจะไว้หน้าเธออีกต่อไป ผมพูดต่อว่า “เดิมทีคุณก็ไม่อยากให้ผมทำงานที่หยู่เฟยอยู่แล้ว อยากจากไล่ให้ผมไปให้พ้น ๆ จากสายตาคุณ ยิ่งไกลก็ยิ่งดี แต่ก็เกรงว่าผมจะทำให้คุณเดือดร้อน เพราะคุณไม่อยากจะไล่ผมออกหรอกถ้ามันจะเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีและหน้าที่การงานของคุณ”

"ดังนั้นคุณจึงจงใจขุดหลุมพรางให้ผมรับงาน ทำตามคำสั่งของบริษัทเกมส์อัจฉริยะ เพื่อรอไม่กี่วัน เพียงรอให้หูคุนทนไม่ไหวแล้วเลือกที่จะตกลงที่จะซื้อสินค้าจากบริษัทอื่นนั่น แล้วจากนั้นผมก็ถูกไล่ออกจากหยู่เฟย คุณว่าผมพูดถูกมั้ยครับ"

เซี้ยหยุนไม่มีอะไรจะพูดตอบโต้กับผม หันหน้ามาไม่กล้าสบตามองดวงตาทั้งสองข้างของผม นั้นก็แสดงว่าเธอยอมรับการคาดเดาของผม

ถึงแม้ว่าผมจะทายออกได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็นั้นแหละที่ทำให้ผมกลับรู้สึกเจ็บปวดใจมากยิ่งขึ้นอีก

ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเพ้อฝันในตัวของเซี้ยหยุน เธอสวยมากจนไม่สามารถบรรยายออกมาได้ จนผมจินตนาการไปถึงวันที่หมาวัดอย่างผมจะได้ครอบครองนางฟ้า

เมื่อละทิ้งจิตนาการทั้งหมดแล้วมองมาที่ความจริง ผมก็อยากจะมีเพื่อน มีคนที่เข้าใจผม ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือ ถึงแม้ว่าจะได้เป็นแค่เพื่อนกับเซี้ยหยุนนั้นก็ไม่เลวสำหรับผมเลยด้วยซ้ำ

แต่ทว่าเธอกลับคิดแต่จะไล่ผมไปไกล ๆ จากเธอ ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ผมกับเธอเป็นแต่ก็เพียงแค่คนที่ไม่ควรอาศัยอยู่บนโลกเดียวกันด้วยซ้ำ ผมไม่ควรจะรบกวนอะไรเธออีก

บางที่อาจเป็นเพราะว่าไม่กี่วันมานี้ที่ผมทนรับกับพฤติกรรมต่าง ๆ จากคนรอบตัวมากเกินไป ทั้งที่จริงแล้วในใจของผมมันกับเรียกร้องขอความเห็นใจอยู่ลึก ๆ จนกระทั้งตอนนี้ผมกลับรู้สึกหมดหวังและเสียใจเป็นอย่างมาก

อดไม่ได้ที่จะคิดถึงฟางเฟย เธอทิ้งผมไปอย่างไร้ความปราณี ตอนนี้เซี้ยหยุนก็ต้องการขับไล่ผมอย่างเย็นชาเช่นกัน

บนโลกใบนี้ก็เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและไร้ซึ่งเมตตา ผมก็คงเหมือนกับขยะ ขยะที่โลกใบนี้ยังต้องการทิ้งผมไปไกล ๆ

อาจเป็นเพราะว่าเซี้ยหยุนเห็นว่าความรู้สึกของผมดิ่งลงมากแค่ไหน เธอถึงรีบพูดอย่างรู้สึกผิดต่อผมว่า “คือฉัน...ที่จริงแล้วไม่ได้เกลียดคุณขนาดนั้น เพียงแต่ว่า......”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วหละครับ” ผมตัดบทเธอ ผมหยิบบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่งหลังจากนั้นก็ถามเธอว่า “คุณไม่ถือสาที่ผมสูบบุหรี่ที่นี่ใช่ไหมครับ”

เซี้ยหยุนส่ายหัวไปมา เธอเลื่อนที่เขี่ยบุหรี่จากโต๊ะมาไว้ตรงหน้าของผม

ผมสูดเอาควันจากบุหรี่เข้าไปเต็มปอด แล้วคุยกับเธอต่อว่า “คุณเรียกผมมา ไม่ใช่เพราะว่าอยากจะขอโทษผมแต่เพราะว่าอยากจะถามผมเรื่องผลิตภัณฑ์ใหม่แค่นั้นเองหรือครับ”

“ผมไม่จำเป็นต้องสนใจกับแค่ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่แล้ว ถ้าคุณอยากรู้ว่าผมมีความคิดยังไงกับผลิตภัณฑ์ขนาดนั้น ผมบอกคุณก็ได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ”

พอได้ฟังแบบนี้ เซี้ยหยุนก็ดูจะมีชีวิตชีวาขึ้น เธอแล้วมองมาที่ผม

ผมมองใบหน้าที่สวยงามผ่านควันที่ลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “อย่างที่เราทุกคนทราบกันดีว่าการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐและองค์กรเป็นเรื่องที่หวานหมูที่สุดสำหรับผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาโดยตลอด และทิศทางหลักของหยุ่เฟยก็ถูกต้องดีอยู่แล้ว”

“เพียงแต่ว่าตอนนี้ตลาดของพวกเครื่องจักรสำเร็จรูปครบวงจรมันเติบโตและแข่งขันกันสูงมากเกินไป ไม่ว่าจะกี่แบรนด์ที่แข่งขันกันในการจัดซื้อจัดจ้างร่วมกับภาครัฐ แล้วก็มีตั้งหลายแบรนด์ที่คุณภาพราคาหรือแม้กระทั่งชื่อเสียงที่มีต่อองค์กรรัฐบาลก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้ผลิตของอย่างบริษัทหยู่เฟย ฉะนั้นสิ่งนี้คุณเซี้ยหยุนน่าจะเข้าใจดีกว่าผมอยู่แล้วนะครับ”

“ตอนนี้หยู่เฟยพึ่งจะออกผลิตภัณฑ์เครื่องจักรครบวงจรออกมา นั้นก็แสดงว่าเราช้ากว่าบริษัทอื่นอยู่หลายก้าวทีเดียว หลังจากที่เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ประธานเซี้ยคิดว่าหยู่เฟยจะชนะแบรนด์อื่น ๆ หรือไม่ล่ะครับ”

เซี้ยหยุนขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เห็นด้วยกับความคิดของผม เธอพูดว่า “หยู่เฟยช้ากว่าก็จริง และไม่มีความได้เปรียบต่อข้อต่อรองของรัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ แต่เราสามารถชดเชยข้อบกพร่องเหล่านี้ได้ด้วยการดำเนินการส่งเสริมให้ดีที่สุด”

“พวกเราสามารถเป็นบริษัทที่มีบริการหลังการขายที่ดีที่สุดได้ สามารถหาราคาตรงกลางที่ดีที่สุดได้ สามารถให้อัตรากำไรที่สูงกว่าบริษัทที่คล้ายกันเพื่อดึงดูดบริษัทที่แข็งแกร่งที่สุดในอุตสาหกรรมจากเมืองต่าง ๆ ให้มาเป็นตัวแทนผลิตภัณฑ์ของเรา แต่โดยทั่วไปแล้วตัวแทนที่แข็งแกร่งเหล่านี้มักมีพื้นฐานทางความสัมพันธ์และเป็นองค์กรที่มีแบ็คหลังที่เข้มแข็ง พวกเขาก็มักจะมีการโปรโมตของพวกเขาในตลาดที่เข้มแข็งอยู่เดิมแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาก็สามารถเปิดตัวอยู่ในตลาดได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน”

ผมส่ายหัวแล้วยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อว่า “ความคิดแบบนี้ของประธานเซี้ยก็เป็นแนวทางของบริษัทคู่แข่งหลาย ๆ บริษัทนั่นแหละครับ ผู้ผลิตทุกรายต่างก็ทำเช่นเดียวกันกับบริษัทหยู่เฟย ดังนั้นหยู่เฟยก็ทำได้เช่นกัน แต่ผมไม่คิดว่ามันจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”

ผมเคาะขี้บุหรี่และพูดต่อว่า “ผมเคยทำงานให้กับบริษัทเอเจนซี่ท้องถิ่นรายใหญ่ที่สุดในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ เป็นตัวแทนที่มีทั้งสามแบรนด์อันดับต้น ๆ และมีทั้งยอดขายเยอะมาก แต่ผลกำไรที่ก็ไม่นับว่าสูง ถ้าแบรนด์ไม่แข็งแกร่งจริงก็อยู่ไม่รอด กลับกันกับผลิตภัณฑ์จากบริษัทขนาดเล็กแต่กลับทำกำไรได้ดีมาก”

“และแบรนด์ของหยู่เฟย ไม่เคยติดอันดับหนึ่งในสาม มากที่สุดก็จะจัดอยู่ในระดับกลางของสิบอันดับแรกเท่านั้น และยิ่งไปกว่านี้ ตัวแทนในพื้นที่ก็ไม่ชอบผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มากที่สุด เพราะยอดขายที่ไม่สูงหรือต่ำและกำไรก็ได้แค่กลาง ๆ เท่านั้นเอง”

“อีกอย่างบริษัทเอเจนซี่รายใหญ่ได้รับตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรแบบสำเร็จรูปจากแบรนด์ใหญ่ ๆ ตั้งแต่เนิ่น ๆ และหากไม่มีปัญหาที่แก้ไม่ตกจริง ๆ ก็จะไม่เปลี่ยนรูปแบบงานง่าย ๆ ดังนั้นผมคิดว่าปัญหาแรกที่ต้องเผชิญกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของหยู่เฟยคือการหาตัวแทนครับ”

เซี้ยหยุนยังคงขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวว่า “จุดนี้ฉันกับเพื่อนร่วมงานของฉันได้พิจารณาเรื่องนี้มาก่อนแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นมันจะต้องขึ้นอยู่กับความสามารถผู้จัดการฝ่ายขายของเรา ว่าจะสามารถเอาชนะตัวแทนรายใหญ่ได้หรือไม่”

“หึ” ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ดังนั้นผมถึงได้บอกว่าการวางตำแหน่งทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ใหม่นี้มีปัญหาไงล่ะครับ”

ฟังถึงตรงนี้ ตาของเซี้ยหยุนดูเหมือนจะเป็นประกายขึ้นมา เธอพูดกับผมด้วยเสียงมุ่งมั่นว่า “พูดต่อสิ”

“ตลาดสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม และผู้ค้าทั่วไปมีขนาดใหญ่มากเพียงใด ฝ่ายการตลาดก็จะควรศึกษาข้อมูลบางอย่างอย่างถี่ถ้วนเท่านั้น ผมจะไม่พูดเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่ผมต้องการจะพูดก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวแทนในเมืองต่าง ๆ หรือแม้แต่ในเมืองระดับกลางและระดับบนของตัวแทนเกือบทั้งหมด นักธุรกิจระดับนั้นเขามีความมุทะลุมากกว่าบริษัทแบรนด์ใหญ่ ๆ นะครับ”

ผมพูดต่อว่า “แต่พวกเขาไม่สามารถได้รับสิทธิ์แบรนด์เอเจนซี่ที่ดีนัก และพวกเขาขาดแบ็คที่จะคอยช่วยเหลือเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐและองค์กร ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดค้าปลีกรวมถึงองค์กรขนาดเล็ก ขนาดกลาง และร้านค้าที่ผมกำลังพูดถึงไงล่ะครับ”

“หากหยู่เฟยวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดให้เหมาะสมสำหรับผู้ซื้อ ทำการส่งเสริมการขายที่ดี และหาตัวแทนเชิงรุกเข้ามาครอบครองตลาดของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมก็จะไม่ใช่เรื่องยากเลย”

“สำหรับข้อดีข้อเสียของการจัดซื้อจัดจ้างร่วมกับภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ประธานเซี้ยจะต้องวิเคราะห์ร่วมกับฝ่ายการตลาดเอานะครับ”

พูดถึงตรงนี้ ผมดับบุหรี่ในมือ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดว่า “ผมรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยแล้วล่ะครับ ถ้าประธานเซี้ยไม่มีเรื่องอื่น ๆ ที่จะต้องคุยกับผมแล้ว งั้นผมไปพักแล้วนะครับ”

“อืม” เซี้ยหยุนดูเหมือนจะยังไม่ตอบสนองกับคำพูดของผม เธอยังคงขมวดคิ้วและคิดไตร่ตรองอย่างหนัก ตอบกลับมาเพียงแค่เสียงเบา ๆ ในลำคอโดยไม่รู้ตัว

ผมไม่ได้อยากสนใจเธอต่อ จากนั้นผมทำเพียงแค่เดินตรงไปที่ประตูและชำเลืองมองเธอก่อนที่จะเดินออกไป

“ประธานเซี้ยทานอะไรก่อนดีกว่านะครับ ถ้าไม่ทานมื้อกลางวันจะไม่ดีต่อสุขภาพเอาได้นะ”

เมื่อเห็นว่าเซี่ยหยุนรู้สึกตัวขึ้นมา ผมก็เดินออกจากห้องทำงานของเธอและปิดประตูอย่างเบามือ

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

404