บทที่ 8 สิ่งล้ำค่า

ผมแปลกใจอยู่มาก บริษัทมีร้านอาหารสุดพิเศษสำหรับระดับผู้บริหารระดับสูง แล้วระดับผู้อำนวยการอย่างเซี้ยหยุน ก็ควรทานอาหารในร้านอาหารสุดพิเศษถึงจะถูกต้อง ทำไมจะต้องมาที่โรงอาหารของพนักงานธรรมดา ๆ ด้วยล่ะ

ในความแปลกใจที่มีอยู่ ผมไม่สนใจสายตาโกรธเกรี้ยวของพ่อหนุ่มแว่นคนนั้น ผมเพียงแค่เหลือบไปมองร่างของเซี้ยหยุนโดยไม่รู้ตัว กระโปร่งหรูหราที่เธอใส่นั้นทำให้เธอสวยอย่างที่สุด ขาขาว ๆ ที่ยาวทั้งสองข้างช่างชวนตื่นตาเป็นพิเศษ

“ไอ้ชั่ว!” อยู่ ๆ ไอ้หนุ่มแว่นก็ตะโกนออกมาด้วยความโมโห

ทำให้ทุกคนในโรงอาหารตกใจกันหมด ทุกคนต่างมองมาที่ตรงนี้เป็นจุดเดียวกัน หลังจากมองเห็นประธานเซี้ยหยุนกับไอหนุ่มแว่น ทุกอย่างรอบตัวผมก็เงียบสนิท

“นายทำงานอยู่แผนกไหน ทำไมไม่ใส่ป้ายชื่อ” ไอ้หนุ่มแว่นยื่นมือชี้มาที่ผมแล้วถามด้วยเสียงสูง

ด้วยท่าทีที่เย่อหยิ่งและน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะตำหนิสุดนี้ แสดงว่าไอ้หนุ่มแว่นคนนี้น่าจะเป็นถึงระดับผู้บริหาร

แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของผมเลยด้วยซ้ำ ตัวผมเองกรอกตามองออกไปข้างนอก กลับมาถึงที่ทำงานแล้วยังต้องถูกรังแกอีกหรือ

อีกอย่างก็คือหยู่เฟยไม่ยอมรับผมเป็นพนักงานของบริษัทนี้ด้วยซ้ำ เขามีเหตุผลอะไรถึงได้มาจับผิดผมกันล่ะ

ผมอดกลั้นที่จะโมโหออกไป คิ้วก็ขมวดเข้าหากันจนเป็นปมมองไปที่ไอ้หนุ่มแว่นแล้วพูดน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “ผมเฉินเทา เป็นพนักงานฝ่ายขาย ผมไม่มีป้ายชื่อหรอกครับ ถ้าจะถามถึงสาเหตุ ผมว่าคุณถามประธานเซี้ยจะดีกว่าครับ”

ผมมีท่าทีที่นิ่งสงบต่อไอ้หนุ่มแว่นหน้าจืดอย่างเหนือความคาดหมาย มันดูมีสีหน้าที่ตกใจขึ้นมาเล็กน้อยและมองไปที่เซี้ยหยุนทันที

เซี้ยหยุนยังคงไม่พูดไม่จา เพียงแต่ขมวดคิ้วเล็ก ๆ ดูเหมือนว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่าง

“หึ” ไอ้หนุ่มแว่นตะคอกอย่างเย็นชา “นายมันก็แค่พนักงานขายกระจอก ๆ มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินตำแหน่งทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ใหม่ในบริษัท”

ผมยังคงมองเขาอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดว่า “ถ้าพนักงานของหยู่เฟยไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดคุยออกความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งการตลาดหรือว่าจะเป็นแผนการโปรโมตของบริษัท ถ้างั้นนับว่าพวกเราเป็นพนักงานไหม หรือว่าในสายตาของคุณ พนักงานก็เป็นแค่หุ่นเชิดรอฟังคำสั่งเท่านั้น”

“นาย...” ไอ้หนุ่มแว่นไม่อะไรจะพูดแล้ว เลือดขึ้นหน้าด้วยความโมโหอย่างที่สุด และเริ่มหายใจเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

ดูเหมือนว่าหน้าขาว ๆ ของไอ้หนุ่มแว่นคนนี้จะเติบโตขึ้นมาแบบเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ดีแต่อยู่บนกองเงินกองทอง ไม่เคยต้องพบเจอกับโลกภายนอกที่มันโหดร้ายเลยสินะ ถึงขนาดที่ว่าน่าจะไม่เคยเจอพนักงานที่ขัดแย้งกับเขาเสียด้วยซ้ำ ไม่งั้นคงไม่โกรธขนาดผมนี้

เดิมทีผมไม่ได้อยากจะไว้หน้าเขาด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่ว่าผมยังอยากที่จะประสบความสำเร็จและชนะพนันกับเซี้ยหยุน บางทีผมอาจจะยืนขึ้นแล้วทำให้เขาอับอายไปตั้งนานแล้ว

ทำให้เบื้องบนไม่พอใจแล้วยังไง อย่างมากก็แค่ถูกตีก้นแล้วไล่ออกล่ะมั้ง

เมื่อก่อนผมอยากที่จะทำงานอยู่ฝ่ายเทคโนโลยีของหยู่เฟยมาก แต่พอเข้ามาทำในบริษัทไม่กี่วันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง

ทุกคนในโรงอาหารยืนเป็นผู้รับชมอย่างเงียบ ๆ ที่แปลกก็คือเซี้ยหยุนไม่พูดเลยสักคำ เพียงแต่ขมวดคิ้วและเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

ไอหนุ่มแว่นหายใจเข้าลึก ๆ อยู่หลายรอบเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวลงได้แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกชิ้นสร้างโดยน้ำพักน้ำแรงจากฝ่ายวางแผนของเรา พวกเขาทุ่มเทอย่างหนัก และทุก ๆ แผนงานเป็นผลมาจากการทำงานอย่างหนักของเพื่อนร่วมงานของนาย แล้วนายมีสิทธิ์อะไรมาพูดว่าแผนการขายนี้มันไม่ถูกต้อง”

ผมขี้เกียจที่จะต่อปากต่อคำกับเขา ผมยักไหล่สองสามครั้งแล้วพูดว่า “ก็ได้ครับ ผมมันก็แค่คนพูดไร้สาระ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แผนการขายนี้มันวิเศษที่สุดแล้วครับ”

พอพูดถึงตรงนี้ผมก็เลื่อนสายตาไปมองที่เซี้ยหยุนแล้วพูดอีกว่า “ท่านหัวหน้าทั้งสอง พวกเราจะรับประทานอาหารกันต่อแล้ว ขอประทานโทษด้วยนะครับ”

พูดจบผมก็หันกลับตัวกลับมาไม่สนใจพวกเขาสองคนอีก มือก็คีบเนื้อในถ้วยเข้าปาก เคี้ยวอย่างละเอียดเพื่อลิ้มรสชาติของมัน

พนักงานรอบข้างก็ยังคงมองมาที่พวกเราอย่างนิ่ง ๆ เงียบ ๆ มีเพียงแต่เสียงตักข้าวของเสี่ยวเป้ยอยู่ข้าง ๆ ที่กำลังก้มหน้าอยู่ และเสียงหายใจเร็ว ๆ ของไอหนุ่มแว่นที่อยู่ด้านหลังของผม

เห็นได้ชัดว่าเขาเก็บความโกรธไว้ได้ไม่ดีเลย

“เฉินเทา” ทันใดนั้นเสียงเซี้ยหยุนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“ประธานเซี้ยมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” ผมหันหน้าไปและยิ้มให้เธออย่างสดใส

“นายมาพบฉันที่ห้องทำงาน” เซี้ยหยุนพูดจบ เธอไม่ได้รอคำตอบของผมแต่กลับหันหน้าเดินออกไป

“เฮ้อ! ประธานเซี้ย ผมกำลังกินข้าวนะครับ”

“กินข้าวเสร็จก็รีบตามมา”

“แต่ว่า ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานนะครับ...”

“สรุปนายจะมาไม่มา!” เซี้ยหยุนหันหลังกลับมาถามผมด้วยสายตาที่โกรธเกรี้ยว

“ไปครับไป!” ผมพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิด ผมไม่เคยรู้สึกพ่ายแพ้ใครเท่านี้มาก่อนเลยจริง ๆ

เซี้ยหยุนเห็นผมมีท่าทางแบบนั้น ทันใดนั้นรอยยิ้มที่ดูจะประสบความสำเร็จก็ปรากฎขึ้นมาในแววตาของเธอ จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินต่อด้วยส้นสูงออกไป

นายหน้าขาวคนนั้นมองผมด้วยสายตาที่โกรธเคือง “นายชื่อเฉินเทาสินะ เก็บข้าวของแล้วเตรียมตัวออกไปซะ หึ!”

พูดจบ ชายหน้าขาวนั่นก็หันหลังรีบเดินตามเซี้ยหยุนไป

ผมหยักไหล่อย่างไม่สนใจแล้วคีบหมูเข้าปากต่อ

“เฮ่อ......” อยู่ ๆ เสี่ยวเป้ยที่อยู่ข้าง ๆ ผมก็ถอนหายใจอย่างแรงและตบไปที่หน้าอกตัวเอง “น่ากลัวมาก น่ากลัวจริง ๆ ! เกือบจะทำให้ฉันเครียดตายแล้ว!”

“เฉินเทาคุณรู้ไหมผู้ชายคนเมื่อกี้เขาคือใคร คุณไม่กลัวเขาจะไล่ออกเลยหรือไงคะ”

ผมส่ายหัวแล้วกินข้าวต่อไป “สนใจทำไมว่าเขาเป็นใคร ไล่ออกก็ไล่ออกสิ”

“ว้าว......” อยู่ ๆ รอบข้างผมก็มีเสียงขึ้นมา ผู้ที่อยู่ในสถานการณ์เมื่อกี้เริ่มกระซิบแล้วมองมาที่ผมอย่างสงสัย

“น้องชาย...นายนี่มันสุดยอดจริง ๆ !” อยู่ ๆ ก็มีชายคนหนึ่งถือจานข้าวมาด้านหน้าแล้วยกนิ้วให้ผม

“นายชื่อเฉินเทาใช่มั้ย ผมชื่อเฉิงเหรินเจี๋ย ยินดีที่ได้รู้จัก” หนุ่มตรงหน้าผมคนนี้ท่าทางไม่ค่อยดีแต่ปากกลับพูดอย่างฉับไว พูดไปด้วยแล้วก็ดึงมือของผมขึ้นมาเชคแฮนด์

ผมตกใจไปชั่วขณะ เขาต้องทราบเรื่องที่ผมล่วงเกินหัวหน้าระดับสูงแล้วแน่ ๆ ถึงได้ตั้งใจเข้ามาทำความรู้จักกับผม งั้นก็แสดงว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้เหมือนกับพวกที่ชอบประจบเอาใจผู้มีอำนาจล่ะมั้ง ผมลองเดา...

ปฏิกิริยาและท่าทีที่ตอบกลับมาทำให้ผมรีบที่จะเชคแอนด์กับเขา ผมยิ้มแล้วพูดว่า “ชื่อคุณผมได้ยินมามากแล้วล่ะครับ”

เฉิงเหรินเจี๋ยดูเหมือนจะคุ้นเคยกับมันมานานแล้วยิ้มอย่างมีชัย ต่อมาเขาก็เริ่มจะแนะนำไอ้หนุ่มแว่นหน้าตี๋เมื่อกี้ให้ผมฟัง

เสี่ยวเป้ยก็คันปากจนอดที่จะนั่งเงียบโดยที่ไม่พูดอะไรไม่ได้ ทั้งสองต่างช่วยกันเล่าวีรกรรมของไอ้หนุ่มแว่นให้ผมฟัง

ที่แท้ไอ้หนุ่มแว่นมีชื่อว่า ‘หลิวเทียนหยาง’ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนของบริษัทหยู่เฟย แม้ว่าเขาจะไม่มีอำนาจในการบริหารแต่เขาก็เป็นผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น หลิวเทียนหยาางคนนี้มีภูมิหลังที่ดีมาก พ่อของเขาเป็นผู้อำนวยการของกลุ่มบริษัทหวนหยู่ที่อยู่เบื้องหลังหยู่เฟยอีกที จุดประสงค์ของเขาที่มาทีหยู่เฟยก็เพื่อที่จะฝึกฝนตนเองก่อนที่ต่อไปในอนาคตจะได้เข้ามาเป็นบุคคลากรของกลุ่มบริษัทหวนหยู่

หลิวเทียนหยางก็เป็นหนึ่งในคนที่กำลังจีบเซี้ยหยุนอยู่เหมือนกัน เล่ากันว่าเขาจบมาจากต่างประเทศได้ไม่กี่ปี เป็นคนเต็มไปด้วยความสามารถ ทั้งด้านดนตรีและด้านวรรณกรรมต่างประเทศ คล้ายกับเซี้ยหยุนที่เปรียบเสมือนสิ่งล้ำค่าของหยู่เฟย

เฉิงเหรินเจี๋ยและเสี่ยวเป้ยเป็นคนชอบติดตามพวกข่าวซุบซิบในบริษัท พอเฉิงเหรินเจี๋ยพูดจบ เขาก็พูดต่อว่าพวกคนที่ตามจีบเซี้ยหยุนมีกี่คนแล้วใครบ้าง......

พอผมที่ได้ฟังเรื่องราวก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ทุกคนที่ตามจีบเซี้ยหยุนนั้นล้วนเป็นคนที่มีพรสวรรค์หรือไม่ก็มีภูมิหลังที่ดีมาก นอกเสียจากหูคุนเจ้าของบริษัทเกมส์อัจฉริยะที่ทั้งหยาบคายและนอกจากมีเงินก็ไม่มีอะไรดีเลยนั่น

คิดมาถึงขั้นนี้ อยู่ ๆ ผมก็คิดวิธีที่จะรับมือกับเสี่ยหูคุนนั้นได้

หลังจากคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ผมอดที่จะยิ้มให้กับความฉลาดของตัวเองไม่ได้ เพราะว่าวิธีนี้มันมีโอกาสที่จะสำเร็จสูงมาก

“หึหึ!” ผมลุกขึ้นยืน ไม่อยากนั่งทานข้าวต่อแล้ว หันไปหัวเราะให้เสี่ยวเป้ยกับเฉิงเหรินเจี๋ยแล้วพูดว่า “พวกคุณค่อย ๆ กินข้าวไปนะ ผมจะไปที่ห้องทำงานของประธานเซี้ยก่อน”

เสี่ยวเป้ยกับเหรินเจี๋ยมองผมอย่างงง ๆ ที่อยู่ดี ๆ ผมก็หัวเราะขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ผมไม่สนใจพวกเขาหรอก แล้วเดินออกไปด้วยอาการขำค้างของตัวเอง

เดินไปได้ครึ่งทาง อยู่ ๆ ก็คิดขึ้นมาว่าเซี้ยหยุนจะต้องรอผมอยู่ที่ห้องทำงานแล้วก็จะต้องยังไม่ได้กินอะไรแน่ ทันใดนั้นผมก็เดินไปสั่งคุณป้าร้านโจ๊กให้ห่อโจ๊กพร้อมกับเครื่องเคียงแสนอร่อยไปให้เธอด้วย

แล้วก็ผลไม้อีกนิดหน่อย จากนั้นผมก็เดินไปที่ลิฟต์อย่างมีความสุข

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

404