บทที่ 5 ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิมยกเว้นคน

อากาศเริ่มหนาวเย็นลง

ชู่หยวนฟงยืนพิงอยู่ใต้ต้นเมเปิ้ลพร้อมกับหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอย่างช้าๆรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก

ก่อนหน้านี้ในสมองเขาคิดวิธีที่จะทำให้ซูมู่ชิงสองแม่ยอมรับในตัวเขาเป็นหมื่นวิธีถึงขั้นทำใจยอมรับกันถูกด่าถูกกล่าวว่าและถึงขั้นยอมรับการถูกเกลียดชัง

แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือเมื่อเจอพวกเธอสองแม่ลูกเขาจริงเขากลับไม่กล้าที่จะยอมรับมัน!

ซูมู่ชิงเป็นคนที่ฉลาดเป็นคนที่อ่อนโยนเพื่อลูกสาวของตัวเองเธอยอมเฝ้าห้องนอนที่ว่างเปล่ามานานห้าปีถึงขั้นไม่เสียใจที่ถูกไล่ออกจากตระกูลและแตกแยกกับตระกูลของตัวเอง

และยิ่งไปกว่านั้นโต๋โต๋จินตนาการว่าพ่อที่ไม่เคยเจอมาก่อนของตัวเองเป็นฮีโร่ เธอชื่นชมในตัวเขาเป็นอย่างมากในใจของเธอเขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ

แต่เขาจะสามารถแบกรับความคาดหวังนี้ได้หรือ? จะสามารถคู่ควรกับสองแม่ลูกนี้หรือ?

ห้าปีที่ไม่เคยได้รับความรักจากชู่หยวนฟงแล้วเขาจะมีหน้าไปยืนอยู่ต่อหน้าพวกเธอสองแม่ลูกแล้วรวมกันเป็นครอบครัวได้หรือ?

“ผมติดค้างพวกคุณสองแม่ลูกมากเกินไป อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นสามีของคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นพ่อคนหนึ่ง!” ชู่หยวนฟงมองไปข้างหน้าแล้วถอนหายใจยาว

“ยังก่อนดีกว่าอย่าเพิ่งไปยอมรับ”

“ฉันจะคอยยืนอยู่ข้างกายพวกเธอสองแม่ลูก ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องพวกเธอและชดเชยให้กับพวกเธอ จนกว่าฉันจะคิดว่าฉันมีสิทธิ์มองพวกเธอด้วยตัวตนของฉัน”

แต่ฉันจะใช้วิธีอะไรจะใช้ฐานะอะไรที่จะอยู่ข้างกายของพวกเธอถึงจะปกปิดตัวตนอย่างราบรื่นและไม่ทำให้พวกเธอสองแม่ลูกสงสัยล่ะ?

ชู่หยวนฟงตอนนี้เขารู้สึกว่าคิดยังไงก็คิดไม่ออกจนปวดหัวไปหมด

เขาดับก้นบุหรี่แล้วเดินออกจากชุมชนพร้อมกับคิดหาวิธีไปด้วย

“หัวหน้ามังกรคุณกลับมาแล้ว?”

หลัวกังที่จอดรถรออยู่ข้างทางรีบลงมาจากรถยึดหลังตรงใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพ

“อืม” ชู่หยวนฟงพยักหน้าแล้วก้าวขึ้นไปบนรถ

“หัวหน้ามังกรมีคนทำร้ายคุณ?” หลัวกังขมวดคิ้วที่คมเข้มของเขาในฐานะทหารด้วยกันเขาสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของศัตรูที่อยู่บนตัวชู่หยวนฟงได้

“จะให้ผมไปฆ่าพวกมันหรือเปล่า”

แม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าชู่หยวนฟงซึ่งเป็นเทพแห่งสงครามที่เขาเคารพเหมือนกับอาจารย์แต่อร่าแห่งการสังหารก็ควบแน่นระหว่างคิ้วของหลัวกัง

แต่ในขณะเดียวกันในเจียงหลินเขาก็มีอำนาจมากมายและถือว่าเป็นคนที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง

อย่างน้อยเขาก็สามารถทำให้ตระกูลซูและตระกูลหลี่ขอร้องอ้อนวอนคุกเข่าต่อหน้าเขาได้

“พวกปลาซิวปลาสร้อยช่างเถอะ”

ชู่หยวนฟงที่นั่งอยู่ในรถโบกมืออย่างเกียจคร้านพร้อมกับดวงตาที่วูบไหว

ตระกูลซูอย่างน้อยก็เป็นญาติของซูมู่ชิง เธอเป็นผู้หญิงที่ใจอ่อนยังคงให้ความสำคัญกับครอบครัว เขาไม่อยากทำอะไรที่มันเกินไปจนทำให้ผู้หญิงคนนี้ต้องเสียใจ

แต่ถ้าหากพวกเขายังไม่ยอมเลิกราคิดจะทดสอบขีดจำกัดของเขา ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะไม่ลังเลที่จะส่งพวกเขาไปลงนรกด้วยมือตัวเอง

“ครับ” หลัวกังพยักหน้าแล้วพูดใบหน้าของเขาไม่มีความคิดและอารมณ์ใดๆแฝงอยู่นี่แหละคือหน้าที่ของทหารที่ต้องเชื่อฟังคำสั่ง

“หัวหน้ามังกรแล้วจากนี้พวกเราจะไปไหนต่อ?”

ไปไหน?

ชู่หยวนฟงมองไปที่การจราจรที่พลุกพล่านบนท้องถนนผ่านหน้าต่างรถดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความระลึกถึง

เมื่อเจียงหลินในฐานะที่เป็นหลังที่สองของเขามีความทรงจำที่ดีและผิดหวังมากมายในวัยเด็กของเขา

อย่างเช่นพ่อแม่บุญธรรมของเขา

โจวเลี่ยสองสามีภรรยาที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขาแต่กลับปฏิบัติกับเขาเป็นอย่างดี

และยังมียัยตัวน้อยโจวอิ๋งที่ชอบตามรังควานเขา ชอบใส่กระโปรงลายดอกไม้ เปียผมห่างม้าและเรียกเขาพี่หยวนฟงไม่หยุดปาก

ตั้งแต่คืนนั้นที่เขาจากไปกับกองทัพโดยไม่บอกกล่าวตอนนี้ก็ผ่านมาสิบปีแล้ว

“ สิบปีแล้วพวกเขาคงจะแก่ลงไปมากแล้ว ควรกลับเยี่ยมพวกเขาหน่อย….”

ดวงตาของชู่หยวนฟงแสดงออกถึงความรู้สึกโหยหาและระลึกถึงอย่างลึกซึ้ง อย่างไรก็ตามเรื่องของซูมู่ชิงและโต๋โต๋ตอนนี้ยังไม่รีบถ้าอย่างนั้นก็กลับไปเยี่ยมผู้อาวุโสทั้งสองท่านเป็นลูกที่กตัญญูหน่อยก็แล้วกัน

“หลัวกังกลับบ้านก่อนดีกว่า”

“กลับบ้าน? หัวหน้ามังกรคุณจะกลับเมืองหลวง?” หลัวกังรู้สึกตกใจเล็กน้อยหลังจากที่เขาพูดออกไปก็แอบคิดในใจว่าแย่แล้ว

นี่เป็นข้อห้ามของหัวหน้ามังกร

“หลังกังฉันจะขอพูดแค่ครั้งเดียว”

“ฉันชู่หยวนฟงมีเพียงบ้านแห่งเดียวที่เมืองเจียงหลิน ฉันกับตระกูลชู่ที่เมืองหลวงและกับอ๋องชู่ที่อยู่เหนือคนนับหมื่นคนนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”

“นายฟังเข้าใจหรือยัง?”

ชู่หยวนฟงพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยและดวงตาที่สงบนิ่งแต่มันกลับมีความกดดันอย่างหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออก

“เข้า...เข้าใจแล้วครับหัวหน้ามังกร” หัวใจของหลัวกังอ้อยอิ่งและเขารู้สึกตื่นตระหนกจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว

ชู่หยวนฟงพยักหน้าจากนั้นเอนกายพิงเบาะแล้วหลับตาสงบสติอารมณ์

“ออกรถเถอะถึงแล้วค่อยเรียกฉัน”

※※※※※※※※※※

เมืองตงหยางหมู่บ้านซิงหัว

พ่อบุญธรรมของชู่หยวนฟงตั้งรกรากอยู่ที่นี่

สำหรับชู่หยวนฟงสถานที่นี้คุ้นเคยกับเขามานานแล้ว

แม้ในช่วงสิบปีของการเป็นทหารเขาก็กลับมาที่นี่ในความฝันนับครั้งไม่ถ้วนและกลับไปที่บ้านหลังเล็กที่อบอุ่นหลังนั้น

สิบปีผ่านไปทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด

ชู่หยวนฟงเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยหลายคนแก่ตัวลงและใบหน้าที่เพิ่งเกิดใหม่และแปลกหน้ามากมาย

ไร่นาในความทรงจำของเขาก็กลายเป็นโรงงานและอาคารที่ทันสมัยไม่หลงเหลือความรู้สึกเมื่อก่อนอีกแล้ว

เคยจำได้ว่าเมื่อตอนยังเด็กเขาชอบเล่นว่าว จับจิ้งหรีดในทุ่ง ขโมยแตงและตกปลาในฤดูร้อน จับนกและดูหิมะในฤดูหนาว

ทุกต้นฤดูใบไม้ผลิดอกแอปริคอทจะมีอยู่ทั่วไปเหมือนทะเลดอกไม้สวยงามมาก

โจวเลี่ยที่ชอบดื่มเหล้าจะให้เงินก้อนหนึ่งกับตัวเองในเวลานี้ทุกปีเพื่อไปซื้อเหล้าดอกแอปริคอตที่หมักด้วยภูมิปัญญาของชาวบ้านหนึ่งขวดส่วนเงินทอนที่เหลือถูกเขาและโจวอิ๋งใช้ซื้อลูกกวาด ขนมเส้นรสเผ็ด หนังสติ๊กและอื่นๆ....

วัยเด็กเป็นสิ่งที่สวยงามจริงๆ

“สิบปีแล้ว ฉันกลับมาแล้ว”

ซู่หยวนฟงจัดการกับอารมณ์ของตัวเองแล้วหัวเราะฮ่าๆๆ

ชู่หยวนฟงลงจากรถที่อยู่ห่างไม่ไกลจากบ้านโจวเลี่ย

หลัวกังขับรถออกไปโดยอัตโนมัติเพื่อไม่รบกวนการรวมตัวของครอบครัวชู่หยวนฟง

เขาเดินไปหยุดไปประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นชู่หยวนฟงก็มาถึงหน้าตระกูลบ้านโจว

ในขณะนี้ประตูบ้านของตระกูลโจวเปิดอยู่และในลานบ้านเต็มไปด้วยแขกไปมาดูคึกคักมาก

ดูเหมือนจะมีการจัดงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง

“พวกคุณคุยกันไปก่อนฉันจะไปต้อนรับญาติคนอื่น”

“แบบนี้ไม่ได้นะวันนี้เป็นงานหมั้นของอิ๋งอิ๋งพวกเธอต้องดื่มให้มากๆเหล้าก็มีเนื้อก็พร้อม”

ในขณะนั้นเองหญิงสาวในวัยสี่สิบกว่าทักทายอย่างกระตือรือร้น เธอเดินออกจากลานบ้านด้วยใบหน้าสีแดงและเธอก็ผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นชู่หยวนฟงอยู่ตรงหน้าเธอ

“เธอคือ….”

“แม่” ชู่หยวนฟงมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าแล้วเรียกเบาๆพร้อมกับพูดอย่างปวดใจ “แม่มีริ้วรอยที่มากขึ้นและผมหงอกแล้วนะ”

ผู้หญิงคนนี้คือแม่บุญธรรมของเขาหลิวหมิงหลาน

“เด็กน้อยจะเรียกส่งเดชแบบนี้ไม่ได้นะ...” หลิวหมิงหลานรู้สึกอึ้งเล็กน้อยแล้วโบกมือ “ฉันมีลูกชายที่โตขนาดนี้สักที่ไหนล่ะฉันมีแค่ลูกสาวคนเดียว”

“แม่ผมไปแค่ไม่กี่ปีแม่ก็จะไม่ยอมรับลูกชายคนนี้แล้วหรอ?”

ชู่หยวนฟงยิ้มแล้วก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับจับมือที่เหี่ยวย่นคู่นั้นของเธอแล้วพูดว่า “กำไลหยกที่ผมมอบให้แม่แม่ยังใส่มันอยู่เลย ตอนนั้นเพื่อที่จะซื้อมันผมแบกของหนักครึ่งเดือนจนไหล่ของผมแทบจะหลด”

“เธอคือเสี่ยวฟง!”

หลิวหมิงหลานใช้มือกุมปากพร้อมกับจ้องมองขาวแล้วน้ำตาเม็ดใหญ่เท่าถั่วเขียวก็ไหลออกมา

“ไอ้เด็กบ้ายังรู้จักกลับบ้านอีกเหรอจากไปตั้งสิบปีไปอยู่ไหนมา” หลิวหมิงหลานตบหน้าอกของชู่หยวนฟงด้วยความรักและความโกรธ “แม่คิดถึงลูกแทบแย่”

ที่มุมปากของชู่หยวนฟงเผยให้เห็นรอยยิ้มเขายืนอยู่กับที่ด้วยร่างกายที่กำยำไม่ขยับรู้สึกพึงพอใจและมีความสุขมาก

“แม่ผมก็กลับมาแล้วนี่ไง”

เขามองลานบ้านที่คุ้นเคยแล้วถาม “แม่ทำไมในบ้านถึงคึกคักขนาดนี้? มีเรื่องดีอะไร?”

หลิวหมิงหลานเช็ดน้ำตาแล้วพูดด้วยความตื่นเต้นและดีใจ “แน่นอนสิ อิ๋งอิ๋งเด็กคนนั้นกำลังจะแต่งงานวันนี้เป็นพิธีหมั้น!”

“วันนี้ลูกสาวของฉันแต่งงานลูกชายกลับบ้านช่างเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ!”

ที่มุมปากของชู่หยวนฟงเผยให้เห็นรอยยิ้ม ใช้แล้วยัยอิ๋งอิ๋งนั่นปีนี้ก็น่าจะอายุยี่สิบแล้วกำลังจะแต่งงานแล้วด้วย!

เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน

ถึงแม้ตอนสมัยเด็กโจวเลี่ยจะเคยจับคู่เขากับโจวอิ๋งอยากจะเพิ่มความสัมพันธ์ทางครอบครัวให้มากขึ้น ความรักของทั้งสองในวัยเด็กถูกเพื่อนๆและญาติๆพูดถึงบ่อยครั้งแต่เขาเห็นโจวอิ๋งเป็นแค่น้องสาวคนหนึ่ง

โจวเลี่ยที่เข้าใจชู่หยวนฟงจึงได้ปล่อยผ่านไป

“เร็วเสี่ยวฟงเข้าบ้านก่อน!” หลิวหมิงหลานจับมือของชู่หยวนฟงแล้วตะโกนออกมา

“อิ๋งอิ๋งรีบมาดูเร็วว่าใครมา พี่ชาย...พี่ชายของเธอกลับมาแล้ว”

เพื่อนๆและญาติญาติในลานบ้านต่างพากันพูดถึง จากนั้นไม่นานหญิงสาวที่สวยงามน่ารักคนหนึ่งก็เดินออกมาจากในบ้าน ยัยตัวน้อยที่เมื่อก่อนคอยตามหลังเขาตอนนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่และกำลังจะแต่งงานแล้ว

“อิ๋งอิ๋งไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ชู่หยวนฟงก้าวไปข้างหน้าแล้วพูด

“อืม”

โจวอิ๋งแค่พยักหน้ารับใบหน้าที่สวยงามของเธอดูไม่แยแสราวกับว่าชู่หยวนฟงเป็นแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้กระทั่งในสายตาของเธอยังแฝงไปด้วยความเกลียดชังและระแวง

ราวกับเขาที่เป็นพี่ชายคนนี้เป็นแค่ส่วนเกิน

คำอวยพรนับพันนับหมื่นที่อยู่ในใจของชู่หยวนฟงหายไปอย่างกะทันหัน

จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าโจวอิ๋งที่อยู่ตรงหน้าทำตัวเหมือนคนแปลกหน้าและห่างเหินมาก

“อิ๋งอิ๋งลูกเป็นอะไรไป” หลิวหมิงหลานพูดอย่างไม่เข้าใจ “พี่ชายของเธอกลับมาทำไมถึงทำกิริยาแบบนี้”

“แล้วหนูควรจะทำยังไงล่ะ?” โจวอิ๋งมองไปที่ชู่หยวนฟงอย่างรำคาญแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “สิบปีก่อนเขาจากไปโดยไม่บอกกันสักคำ ตอนนี้ก็กลับมาโดยไม่บอกสักคำ เขาคิดว่าบ้านเป็นอะไรเป็นโรงแรมหรอ?”

“หรือว่าหนูต้องจัดขบวนเกี้ยวตีกลองอย่างมีความสุขเพื่อต้อนรับเขากลับมา?”

โจวอิ๋งจ้องไปที่ชู่หยวนฟงด้วยความรังเกียจจากนั้นก็หันหลังและจากไปด้วยความเย็นชา

เธอรู้สึกคิดไมตก ไอ้ผู้ชายคนนี้มาเมื่อไหร่ไม่มาแต่กลับมาตอนที่เธอกำลังจะแต่งงานเขาหมายความว่ายังไง?

ถ้าหากเขากลับบ้านเกิดมาพร้อมกับความภาคภูมิใจก็ช่างเถอะแต่นี่กลับมาในสภาพแบบนี้

ความไม่จริงใจของเขาทำให้เธอรู้สึกปิดกั้นตัวเองหรือเขาต้องการจะให้เธอรู้สึกอับอาย?

“เจ้า...เจ้าเด็กคนนี้….” หลิวหมิงหลานโกรธมาก

แต่ชู่หยวนฟงกลับยิ้มแล้วประคองหลิวหมิงหลานแล้วพูดว่า “แม่ช่างเถอะ หลายปีก่อนที่ผมจะไปมันเป็นความผิดของผม อิ๋งอิ๋งจะโทษผมมันก็สมควรแล้ว”

หลิวหมิงหลานเพียงแค่ถอนหายใจเบาๆและไม่รู้ควรจะพูดอะไร

ชู่หยวนฟงมองไปที่โจวอิ๋งที่กำลังพูดคุยกับกลุ่มญาติๆและเพื่อนฝูงที่อยู่ห่างจากไม่ไกลอย่างอรรถรส

เธอยังเป็นยัยตัวน้อยที่เมื่อก่อนรู้จักแต่คอยตามต้อยๆอยู่ข้างหลังเขาเมื่อพูดคุยกับเด็กผู้ชายก็จะหน้าแดงทันทีคนนั้นหรือเปล่า?

ชู่หยวนฟงถอนหายใจยังอธิบายไม่ถูก

“ทุกสิ่งยังคงเป็นเหมือนเดิมยกเว้นคนเท่านั้นที่เปลี่ยนไป”

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

463