บทที่ 13 พ่อกับลูก

ในตอนเช้าฤดูใบไม้ร่วงอากาศปลอดโปร่งและไม่มีเมฆบนท้องฟ้า

ในขณะคนส่วนใหญ่ยังคงดิ้นรนและลังเลอยู่บนเตียงอันแสนสบายและพยายามต่อสู้กับ ‘พระเจ้าขี้เกียจ’ ชู่หยวนฟงได้เริ่มออกกำลังกายตอนเช้าชกมวยออกกำลังกายและวิ่งในสวนสาธารณะของภูเขาไห่ถัง

สิบปีในกองทัพการออกกำลังกายตอนเช้าแทบจะเป็นการบ้านประจำวัน

หลัวกังก็ทำตามวิธีการของชู่หยวนฟงในยุคที่เต็มไปด้วยผู้คนที่อ่อนแอเป็นเรื่องยากที่จะเห็นผู้ชายสองคนที่มีกลิ่นอายของผู้ชายที่แข็งแกร่ง ทั้งสองเป็นเหมือนทิวทัศน์ที่สวยงามสองเส้นค่อยดึงดูดความสนใจจากผู้คน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งชู่หยวนฟงที่รูปร่างสูงและกำยำเต็มไปด้วยความหล่อเหลา ดวงตาที่ลึกล้ำและสดใสราวกับอัญมณีในคืนที่มืดมิดเต็มไปด้วยพลังเวทย์มนตร์ ผู้คนอดไม่ได้ที่จะเข้าหาเขาและสอดแนมเขาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์

ระหว่างทางมีเด็กสาวหน้าตาดีหลายคนที่มักมองไปที่พวกเขาด้วยแล้วแสดงท่าทีของผีสางเทวดาออกมา

“หล่อจัง เท่จัง ไม่รู้ว่าสุดหล่อคนนี้มีแฟนหรือยังหรือว่าแต่งงานหรือยังนะ”

“ฉันขอแนะนำว่าให้เธอตัดใจเสียเถอะไม่เห็นหรือว่าคนอื่นเขาออกมาจากเขตคฤหาสน์บนภูเขาไห่ถาง มีคนไหนบ้างที่ไม่ใช่คนที่มีความสามารถและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน? คิดว่าเขาจะมองเธอเหรอ…..”

“เหอๆ แล้วคิดว่าเขาจะมองเธอหรือยังไงฉันเป็นผู้หญิงที่ขาวสวยหุ่นดีขายาวใครจะเหมือนเธอเจ้าหญิงข้างถนน….”

“เธอ เธอพูดจาไร้สาระอะไรคันปากหรือยังไง”

“จี๊ดจิ๊ดจ๊าดจ๊าด...”

เด็กสาวสองคนในฤดูใบไม้ผลิหัวเราะและทะเลาะหยอกล้อกันทำให้สัมผัสถึงความมีชีวิตชีวาของฤดูใบไม้ร่วงที่เย็นสบาย เมื่อทอดสายตาไปที่ถนนและดวงตาของพวกเธอเบิกกว้าง

ชู่หยวนฟงเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากจากนั้นวิ่งต่อไปโดยไม่ได้มองพวกเธอด้วยซ้ำ

ตอนนี้หัวใจของเขามีเพียงซูมู่ชิงและโต๋โต๋สองแม่ลูกเท่านั้นมันไม่สามารถเพิ่มใครเข้ามาได้อีกแล้ว

เพียงแค่วันเดียวที่ไม่ได้เจอหน้าลูกสาวตัวเองเขาก็รู้สึกกระวนกระวายและทรมานมาก

เพียงแค่คิดถึงรอยยิ้มที่น่ารักและไร้เดียงสาของโต๋โต๋เจ้าตัวน้อยนั่นหัวใจของเขาก็แทบจะละลายแล้ว

ลูกสาวเป็นเหมือนชีวิตของเขาและยิ่งแรงผลักดันและเป็นความหวังที่เขาจะต้องอยู่ต่อ

“กินอาหารเช้าก่อนแล้วค่อยไปเยี่ยมสองแม่ลูก”

ชู่หยวนฟงคิดในใจ เขาและหลัวกังมาถึงร้านอาหารร้านหนึ่งแล้วนั่งลงไป

เต้าหู้นึ่งร้อนๆและแท่งแป้งทอดสีทอง เสี่ยวหลงเปาที่เพิ่งเสิร์ฟส่งกลิ่นหอมอบอวลจนทำให้คนเริ่มอยากกิน

คิดไม่ถึงที่เจียงหลินจะมีอาหารเช้าดั้งเดิมแบบนี้ มันทำให้ชู่หยวนฟงที่เป็นคนเหนือรู้สึกพึงพอใจมาก

“ติงริงริง….”

ในขณะนั้นเองโทรศัพท์ก็ดังขึ้นโจวเลี่ยเป็นคนโทรมา

ชู่หยวนฟงรับสาย “พ่อ...”

“อย่ามาเรียกฉันว่าพ่อฉันไม่ใช่พ่อแก!”

เขาพูดไม่ทันจบโจวเลี่ยก็พูดตัดบทเขาด้วยความโกรธ

ชู่หยวนฟงหัวเราะแห้งๆแล้วตักเต้าหู้ขึ้นมากินพร้อมกับพูด “พ่อกินยาผิดตั้งแต่เช้าหรือยังไง โกรธขนาดนี้ตั้งแต่เช้าใครทำให้พ่อไม่พอใจอีกแล้ว?”

“ยังจะมีใครอีกก็แกไง! ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าแกกล้าไปที่สมาคมการค้าซือไห่ก็ถือว่าฉันไม่มีลูกอย่างแก? แกบอกฉันมาตามตรงเดี๋ยวนี้ว่าแกไปหาหม่าซานหยวนใช่หรือเปล่า?”

ถึงแม้คำพูดของโจวเลี่ยจะไม่ค่อยน่าฟังแต่ก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “บาดแผลของหม่าซานหยวนแกเป็นคนทำใช่หรือเปล่า? ไอ้ตัวเหม็นบอกฉันมาตามตรงว่าแกได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”

“พ่อผมไม่เป็นอะไร” ชู่หยวนฟงตอบกลับ ดูเหมือนเมื่อคืนตอนที่หม่าซานหยวนไปขอโทษที่ตระกูลโจวจะทำให้โจวเลี่ยพอรู้อะไรบ้าง

“ดูเหมือนแกจะเป็นคนทำจริงๆด้วย”

โจวเลี่ยเงียบไปหลายวินาทีจากนั้นหัวเราะฮ่าๆแล้วพูด “ไอ้ตัวเหม็นแกนี่มันมีความสามารถจริงๆ สามารถทำให้หม่าซานหยวนของสมาคมซือไห่มาคุกเข่าขอโทษและคืนที่ดินให้ฉัน เก่งจริงๆสมแล้วที่ฉันเป็นคนเลี้ยงมากับมือ….”

“ฮ่าๆในที่สุดความแค้นที่เก็บไว้ในใจของฉันมาสิบปีก็ถูกปลดปล่อย ไอ้เด็กน้อยถ้ามีเวลาว่างก็กลับมาที่บ้านตบ้างพวกเราสองพ่อลูกจะได้ดื่มชาด้วยกัน”

ที่มุมปากของชู่หยวนฟงเคยให้เห็นรอยยิ้ม ในขณะที่กินอาหารเช้าเขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “อะไรก็ปิดพ่อไม่อยู่จริงๆ ก็ได้ถึงเวลานั้นผมจะเอาเหล้าอย่างดีกลับไปด้วย”

ฝั่งของโจวเลี่ยก็หัวเราะอย่างพออกพอใจขึ้นมา “มันแน่อยู่แล้วพ่อแกเป็นถึงทหารเกียรตินิยมของหน่วยสอดแนม ไอ้กับแค่แผนการของแกมันจะปิดฉันอยู่ได้ยังไง?ฮ่าๆๆ”

“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลายปีก่อนที่ตอนที่อ๋องชู่หามโล่ง พาทหารสามแสนนายออกเดินทางไปโจมตีโลวหลานฉันก็เป็นรุ่นบุกเบิกเหมือนกันเด็กน้อย….

เดิมทีเป็นบทสนทนาที่อบอุ่นแต่เมื่อชู่หยวนฟงได้ยินชื่ออ๋องชู่มือที่จับตะเกียบของเขาแข็งทื่อและอารมณ์ของเขาเคร่งขรึมลงทันที

“พ่อผมยังมีธุระต้องวางแล้ว มีเวลาจะกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่”

“เห้อไอ้ตัวเหม็นนี่….”

ตูดๆๆๆ...

ชู่หยวนฟงวางสายทันทีจากนั้นมองไปที่อาหารที่เต็มโต๊ะเขารู้สึกว่าจู่ๆก็ไม่อยากกินขึ้นมา

“พี่ฟง….”

หลัวกังมองออกว่าชู่หยวนฟงกำลังอารมณ์ไม่ดีจึงพูดยังลังเลด้วยน้ำเสียงที่เคารพ “ความจริง ความจริงอ๋องชู่ก็เป็นเหมือนเสาหลักของบ้านเมืองและยังเป็นวีรบุรุษแต่แล้วทำไมคุณต้องใส่ใจขนาดนั้น”

ตระกูลชูเต็มไปด้วยความภักดี เสียงนั้นดังสั่นสะเทือนไปทั่วท้องฟ้า

อ๋องชู่มีกองกำลังคนขนาดอยู่ในอยู่ในมือเรียกได้ว่าเป็นเรียกได้ว่าอยู่สูงกว่าคนนับหมื่นและอยู่ใต้คนแค่เพียงคนเดียว

เมื่อยี่สิบปีก่อนกษัตริย์อ๋องชู่แบกโลงศพออกเดินทางพร้อมกับทหารเสือแปดแสนนายและทหารถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม ในระหว่างการสู้รบครั้งนั้นทำให้กิตติศักดิ์ของตงหัวได้แผ่ขยายไปทั่วประเทศและทำให้ชนกลุ่มน้อยและพวกป่าเถื่อนไม่กล้าที่จะบุกเข้ามาในเขตแดนและสามารถรักษาเขตที่ราบตอนกลางของคังหนิงไว้เป็นเวลายี่สิบปีปี

ทุกครั้งที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ชาวตงหัวทุกคนจะรู้สึกเลือดพลุกพล่าน

ตั้งแต่คนแก่จนถึงเด็กน้อยมีใครบ้างที่ไม่รู้สึกขอบคุณต่อความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของอ๋องชู่และมีใครบ้างที่ไม่ชื่นชมความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของอ๋องชู่

พูดอย่างตรงไปตรงมาอ๋องชู่เป็นเหมือนเสาหลักทางจิตวิญญาณในหัวใจของชาวตงหัวหลายร้อยล้านคนและเป็นเหมือนเทพผู้ปกป้องดินแดนแห่งนี้ไว้!!

“ฉันไม่เคยยอมรับเขาเป็นวีรบุรุษมาก่อน”

ชู่หยวนฟงวังค่าอาหารเช้าลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกับพูดเบาๆ “และเขาไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้ชายคนหนึ่ง”

‘และยิ่งไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อ’

ชู่หยวนฟงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาในใจแล้วออกจากร้านอาหารไป

หลัวกังมองแผ่นหลังที่จากไปของชู่หยวนฟงอย่างตระลึงเขาถอนหายใจพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสน

“พ่อลูกด้วยกันแต่ทำไมต้องเป็นแบบนี้….”

※※※※※※※※※※※※※※※

ตลอดทางชู่หยวนฟงจัดการกับความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงในใจของเขา ทำให้อารมณ์ของตัวเองดีขึ้นแล้วไปพบโต๋โต๋ลูกสาวของเขา

แต่ว่าตอนที่เขาไปถึงชุมชนของซูมู่ชิงก็มีรายงานว่าโต๋โต๋ไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาลแล้วทั้งสองแม่ลูกเพิ่งออกไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้

ชู่หยวนฟงมองนาฬิกาของตัวเอง หกโมงสี่สิบนาที

เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เช้าขนาดนี้ก็ต้องไปโรงเรียนอนุบาลแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตื่นมาล้างกินข้าวตั้งแต่หกโมงหรือ?”

“หกโมงฟ้ายังไม่สว่างด้วยซ้ำโต๋โต๋กำลังอยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโตเวลาแค่นี้ไม่เพียงพอสำหรับการพักผ่อนหรอก ไอ้พวกกระทรวงศึกษาธิการคิดอะไรอยู่ น้ำเข้าสมองหรือเปล่า? ”

ลูกๆของพวกเขามีครูสอนโดยเฉพาะและโรงเรียนโดยเฉพาะและพวกเขาก็เดินทางอย่างมีความสุขทุกวัน

แต่ลูกสาวของเขากลับต้องลำบากทุกวันคอยเบียดเสียดบนรถบัสเบียดเสียดบนรถไฟใต้ดินเพราะอะไร?

ชู่หยวนฟงที่เดิมทีอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้วเมื่อคิดถึงลูกสาวของตัวเองต้องลำบากแค่ไหนเมื่อถูกจากเตียงตั้งแต่เช้าจึงทำให้เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์นักกับหลัวกัง “ส่งจดหมายไปให้กระทรวงศึกษาธิการหนึ่งฉบับในนามของชื่อฉัน ให้ทั่วประเทศเลื่อนเวลาเรียนออกไปหนึ่งชั่วโมง”

“ใครที่ทำไม่ได้ก็ลาออกไปด้วยตัวเองซะ”

หลัวกังพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ครับ”

ไม่มีใครคิดว่าเป็นประโยคง่ายๆของชู่หยวนฟงจะทำให้กระทรวงศึกษาธิการที่เคยวางเฉยต่อมาตรการต่างๆในตอนแรกเหมือนเจอเข้ากับศัตรูตัวใหญ่และต้องตื่นตระหนกตลอดทั้งวัน

จนกระทั่งทำให้ทั้งประเทศเกิดการปฏิรูปการศึกษาที่เรียกว่าบีบอัดการศึกษาขึ้น จนกระทั่งทำให้กระทรวงศึกษาธิการต้องเฉือนเนื้อตัวเองออกหนึ่งในสี่ส่วน ไม่ว่าจะเป็นพวกคอยดูแลซึ่งกันและเพื่อความสัมพันธ์หรือเพื่อเงินแม้กระทั่งพวกที่อยู่ไปวันๆก็ถูกไล่ออกจนหมด ทำให้ผู้คนต่างปรบมือและโห่ร้องด้วยความดีใจ

พวกเขาถูกยกย่องว่าในที่สุดคนเหล่านี้ก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับประชาชน

แต่มีเพียงหลัวกังเท่านั้นที่รู้ว่าที่มาของทั้งหมดนี้เป็นเพียงเพราะชูหยวนฟงซึ่งเป็นเทพเจ้าสงครามที่ไม่มีใครเทียบได้ต้องการให้ลูกสาวของเขานอนหลับยังพอเพียง

ก็เพื่อสิ่งนี้เท่านั้น….

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

463