บทที่ 7 เข้าวัง

by มิถุนายน 11:10,Sep 22,2021
กล่องเล็กๆนั้นมีขนาดประมาณครึ่งกำปั้น มันไม่ใช่อย่างอื่นเลยมันคือกล่องยาของนางที่หายไป

เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? ทำไมกล่องยาถึงหดเล็กลงและมาซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของนาง?

ร่างกายที่ชาของหยวนชิงหลิงขนลุกซู่ขึ้นมา

มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังของนาง นางจึงรีบยัดกล่องยาจิ๋วกลับเข้าไปในแขนเสื้อ

"ข้าจะไปส่งพระชายาเจ้าค่ะ" ลู่หยาพยุงนาง "เดี๋ยวข้าจะขอความเมตตาจากท่านอ๋องให้ทรงอนุญาติให้ข้าตามท่านเข้าวังไปด้วย"

หยวนชิงหลิงจิตใจสับสนวุ่นวาย ไม่รู้เลยว่าลู่หยาพูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าเอออออย่างขอไปทีแล้วจึงตามนางออกไป

ลอดผ่านซุ้มประตูหลายบาน ไปตามทางเดินแล้วเดินไปสักพักก่อนจะถึงประตูทางเข้าหน้าจวน

รถม้าพร้อมรออยู่ที่ประตู อวี่เหวินฮ่าวไม่ได้นั่งในรถม้า แต่อยู่บนหลังม้างามสีดำ

เขาสวมชุดสีม่วงและครอบผมหยกทอง ใบหน้าบึ้งตึงของเขามืดมนเหมือนสภาพอากาศมืดครึ้ม เมื่อเห็นนางมา สายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธอย่างที่อดรนทนไม่ไหว เพียงชำเลืองมองอย่างเฉยเมยและจากนั้นก็พูดอย่างเย็นชา "เตรียมออกเดินทาง"

"ท่านอ๋อง ต้องการให้ข้าตามเข้าวังไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?" ลู่หยารวบรวมความกล้าถามขึ้น

อวี่เหวินฮ่าวมองไปที่ลู่หยาและกล่าวว่า "ก็ดี หากไทเฮาถามเรื่องเข้าหอขึ้นมา เจ้าจะได้เป็นพยานได้"

มีคนรับใช้เกือบสิบคนส่งเข้าวังอยู่ที่หน้าประตูจวน ทังหยางก็อยู่ที่นั่นด้วย อวี่เหวินฮ่าวพูดแบบนี้ต่อหน้าพวกเขาโดยไม่สนใจว่าหยวนชิงหลิงจะต้องอับอายแค่ไหน

หยวนชิงหลิงไม่ได้มีการแสดงออกใดๆ กล้ามเนื้อของนางแข็งมาก ไม่ว่าจะอับอายแค่ไหนนางก็ไม่สามารถแสดงออกได้ว่านางรู้สึกอับอาย

ลู่หยาช่วยประคองนางขึ้นในรถม้า ในชั่วขณะที่ม่านปิดลง นางก็ช้อนตาขึ้นและเห็นดวงตาที่แสดงความเกลียดชังของอวี่เหวินฮ่าวและสายตาซ้ำเติมของเหล่าคนรับใช้

นางหลับตาลงหายใจเข้าลึกๆ ประโยคนั้นของอวี่เหวินฮ่าวดังขึ้นข้างหูของนาง

หยวนชิงหลิงเจ้าของร่างเดิมหน้าตาสะสวยมาก อวี่เหวินฮ่าวต้องเกลียดนางมากแค่ไหนกันจึงต้องใช้ยาเพื่อเข้าหอกับนาง?

สำหรับเจ้าของร่างเดิมแล้ว นี่เป็นความขายหน้าเพียงใดกัน?

ไม่น่าแปลกใจที่นางจะเลือกหนทางแสวงหาความตาย

นางพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้จิตใจมั่นคงและค่อยๆทำความเข้าใจกับความทรงจำของเจ้าของเดิม

เป็นเวลาอยู่นานกว่านางจะถอนหายใจออกมาเบาๆและลืมตาขึ้น

ที่แท้ที่อวี่เหวินฮ่าวเกลียดนางขนาดนี้ก็มีเหตุผล

เจ้าของร่างเดิมนั้นหากใช้คำว่าหมกมุ่นและดื้อด้านก็คงไม่ได้เกินเลยไปนัก เมื่อได้พบอวี่เหวินฮ่าวตอนนางอายุได้สิบสามปี นางก็สาบานว่าจะแต่งงานกับเขาให้ได้ หากทั้งสองรักกันมันก็คงจะเป็นเรื่องสวยงาม แต่คนที่อวี่เหวินฮ่าวชอบกลับเป็นฉู่หมิงฉู่ยแห่งตระกูลฉู่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเจ้าของร่างเดิมวางแผนใส่ร้ายว่าอวี่เหวินฮ่าวล่างเกินนางในงานเลี้ยงวันเกิดขององค์หญิง ชื่อเสียงของลูกผู้หญิงสำคัญกว่าทุกสิ่ง องค์หญิงไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องรายงานเรื่องนี้ต่อองค์ฮ่องเต้ ฉู่อ๋องถูกประณามว่าเป็นคนหื่นกาม ทั้งยังต้องละทิ้งนางผู้เป็นที่รักและมาแต่งงานกับนาง

ในตอนที่รัชทายาทยังไม่ได้ถูกสถาปนา อวี่เหวินฮ่าวมีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่อายุยังน้อยแล้วยังเคยทำความดีความชอบในการสงคราม เดิมทีจักรพรรดิให้ความสำคัญกับเขามาก ตอนนี้ชื่อเสียงของเขาถูกทำลายและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะได้เป็นรัชทายาท

ทำลายอนาคตและความรักของคนอื่นจะไม่ใช่ความผิดมหันต์ได้อย่างไร? ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะเกลียดนางเข้ากระดูกดำและทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้นางอับอาย

หยวนชิงหลิง ความทุกข์ทรมานของเจ้าล้วนเป็นผลมาจากตัวเจ้าเอง

ด้วยเสียงเกือกม้าดังเข้ามาในหูของนาง หยวนชิงหลิงเพียงรู้สึกชาวาบในหัวใจ การเกิดใหม่ในอีกโลกหนึ่งทำให้นางเจ็บปวดซ้ำๆและนางไม่รู้ว่านางจะต้องทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ

นางล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อและลูบกล่องยาที่จู่ๆก็เล็กลง ในใจก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมา

ลมแรงมากจนผ้าม่านสะบัด นางเห็นด้านหลังของอวี่เหวินฮ่าวที่กำลังขี่ม้า แข็งแกร่งและมุ่งมั่น ผมสีเข้มและปิ่นหยกทองส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงตะวัน

คนๆนั้น อย่างน้อยในเวลาสั้นๆจะเป็นดังฝันร้ายของนาง

นางค่อยๆกำหมัดแน่น หากนางไม่สามารถทำให้ตนเองหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้ก็คงมีแต่ทางตัน ดังนั้นนางจะอ่อนแอและความตื่นตระหนกไม่ได้

รถม้าแล่นตรงเข้าไปในประตูวังภายใต้การนำขบวนของอวี่เหวินฮ่าว หยวนชิงหลิงไม่มีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับพระราชวังเลยแม้แต่น้อย นางเพียงมองลอดผ่านผ้าม่านที่ปลิวขึ้นและเห็นเพียงถนนในวังที่ยาวและกำแพงวังอิฐสีแดงเท่านั้น

ไม่สามารถมองระยะไกล บางครั้งมีศาลาทรงสูงลอดผ่านคลองสายตาเข้ามาหยกและทองระยิบระยับดูสว่างไสวและงดงาม หลังคากระเบื้องเคลือบสะท้อนแสงแดด

รถม้าหยุดลง หยวนชิงหลิงหายใจเข้าลึกและได้รับความช่วยเหลือจากลู่หยาให้ลงจากรถม้า

ดวงอาทิตย์สาดแสงลงบนกำแพงวังสีแดง กระเบื้องเคลือบสีทองในระยะไกลสะท้อนแสงพราว นางเป็นเหมือนผีที่มองไม่เห็นแสงสว่าง โดยไม่รู้ตัวนางเอื้อมมือออกไปเพื่อบังแดดที่สะท้อนเข้าตา

อวี่เหวินฮ่าวก็ลงจากหลังม้า ม้าและรถม้าถูกผูกไว้ที่นี่และต้องเดินต่อไป

เมื่อมาถึงด้านนอกตำหนักเซียวหยุน ลู่หยาก็กระซิบเสียงเบา "พระชายา ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเจ้าค่ะ ท่านเดินระวังๆหน่อยนะเจ้าคะ"

หยวนชิงหลิงรู้ว่าตำหนักเซียวหยุนเป็นวังที่อดีตจักรพรรดิทรงประทับอยู่ ข้างนอกมีบ่าวรับใช้จากจวนต่างๆอยู่เต็มไปหมด นางหายใจเข้าลึกและเดิมตามอวี่เหวินฮ่าวเข้าไปข้างใน

ผ่านสวนเขียวชอุ่มเข้ามาในตำหนักใหญ่ ในนั้นมีคนจำนวนมากยืนอยู่ข้างใน หยวนชิงหลิงชำเลืองมอง พวกเขาทั้งหมดต่างสวมเสื้อผ้าหรูหราและมีใบหน้าเศร้าหมอง

คนเหล่านี้ ที่นางจำได้ส่วนใหญ่ก็อาศัยความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมที่หลงเหลืออยู่

ผู้ที่สวมชุดผ้าไหมสีเขียว สีหน้าเคร่งขรึมคือจี้อ๋องอวี่เหวินจวิน บุตรชายคนโตของจักรพรรดิหมิงหยวนตี้ อายุสามสิบปี เป็นบุตรชายที่เกิดกับสนมฉิน สมรสกับบุตรีของหม่าโหว นางหม่าและสนมฉินต่างก็ยืนอยู่ข้างเขาแล้วยังมีเด็กน้อยอีกสองคน

เว่ยอ๋องอวี่เหวินเว่ย ซุนอ๋องอวี่เหวินตู้ โจวอ๋องอวี่เหวินอันต่างก็อยู่ที่นั่นและพวกเขาก็พาพระชายาและลูกๆเข้าวัง

เหล่าองค์ชายเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดคุยอะไรกันและบรรยากาศหนักอึ้งมาก

หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าอวี่เหวินฮ่าวที่ยืนอยู่ข้างๆนางร่างกายเกร็งขึ้นอย่างกะทันหันและสายตาหลุกหลิก ตัวของเขาแข็งทื่อดูอึดอัดไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย

หยวนชิงหลิงมองไปที่ประตูและเห็นคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งเดินเข้ามา

ชายคนนี้อายุประมาณสิบแปดหรือสิบเก้าปี มีคิ้วเฉียงคล้ายดาบ ท่าทางองอาจสง่างามราวกิ่งหยกลู่ลม ชุดผ้าแพรสีขาวทำให้เขาดูไม่ธรรมดา

มือของเขาจับมือของหญิงสาวข้างกายแน่น นางเกล้าผมเป็นมวยเมฆมงคลปักด้วยปิ่นผีเสื้อสีมรกตและสวมชุดผ้าไหมสีฟ้าครามปักลายกระโปรงด้วยรูปดอกทับทิม ที่เท้าของนางสวมรองเท้าผ้าไหมปลายเชิดประดับมุก

ใบหน้าของนางสวยราวกับดอกชบา ต่างหูปะการังสีแดงบนติ่งหูของนางแกว่งไปมาตามจังหวะฝีเท้าของนางช่างดูมีเสน่ห์เย้ายวนแต่ก็ไม่ทำให้ความสง่างามของนางลดลง

ทันทีที่นางเดินเข้าประตูมาก็ทำให้รู้สึกว่าหญิงอื่นในตำหนักล้วนดูเหมือนเป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้น

ความทรงจำที่เหลืออยู่ในสมองของหยวนชิงหลิงบอกนางว่า สองคนนี้คือฉีอ๋องอวี่เหวินชิงและชายาของเขาฉู่หมิงฉุ่ย

ฉู่หมิงฉุ่ยก็คือสตรีที่ฉู่อ๋องอวี่เหวินฮ่าวหลงรัก หนึ่งปีที่แล้วหลังจากที่อวี่เหวินฮ่าวแต่งงานกับหยวนชิงหลิงแล้ว นางก็ได้แต่งงานไปเป็นพระชายาของฉีอ๋อง

หลังจากที่นางเข้ามา สายตาของนางก็สบเข้ากับอวี่เหวินฮ่าว สายตานั้นทั้งกระจ่างใส สงบและเย้ายวนแต่แฝงไปด้วยความสมเพชเล็กน้อย

ร่างกายของอวี่เหวินฮ่าวแข็งเกร็ง เขาหายใจถี่และเบนสายตาออกไปอย่างยากลำบาก กวาดมองทั่วใบหน้าของหยวนชิงหลิงด้วยความไม่พอใจและเกลียดชัง

หยวนชิงหลิงหลุบสายตาลงช้าๆ

ไม่มีใครสังเกตเห็นเหตุการณ์เพียงชั่วขณะนี้ แม้แต่ฉีอ๋องก็ไม่สังเกตเห็น หลังจากที่เขาพยักหน้าทักทายเหล่านางสนมและองค์ชายแล้วเขาก็ยืนอยู่ด้านข้างและมองไปที่ม่านของตำหนักด้านใน

หยวนชิงหลิงเริ่มรู้สึกเวียนหัว นางพยายามทำให้อารมณ์ขอนางคงที่ แต่เมื่ออาการวิงเวียนศีรษะเข้ามาจู่โจม นางจึงจับมือของอวี่เหวินฮ่าวไว้โดยไม่รู้ตัวและเขาก็สะบัดมือนางออกไปโดยไม่คิด นางเดินเซพยายามที่จะทรงตัวอย่างยากลำบากและยังรู้สึกอับอายมาก

สายตาของหลายคนกวาดไปทั่วใบหน้าของนางต่างก็เป็นสายตาดูหมิ่นเหยียดหยาม

มีมือข้างหนึ่งประคองนางอย่างนุ่มนวล กลิ่นหอมของไม้กฤษณาในถุงหอมล่องลอยเข้ามาในสมองนางพร้อมกับเสียงนุ่มนวลชวนให้ลุ่มหลง "เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่? เจ้าไม่สบายหรือเปล่า?"

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

1392