บทที่ 17 เผชิญหน้า

by อาช้าย 09:17,Mar 19,2022
เฟิ่งชิงเฉินพลันมองไปยัง "ศพ" ที่นอนอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าวันนี้จะเป็นอย่างไร คงต้องได้ช่วยคนที่อยู่ตรงหน้า ให้ฟื้นขึ้นมาให้ได้ ไม่เช่นนั้น นางได้เจอเรื่องยุ่งยากอย่างแน่นอน

เฮ้อ ด้วยนิสัยของนางในยุคนี้ บางทีมันอาจจะทำให้นางเกิดปัญหาขึ้นมาในอนาคตได้

ทว่า นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว!

ถึงแม้ว่า นางจะรู้ว่า มันจักต้องมีเรื่องยุ่งยากตามมาา หากแต่นางก็ยังต้องการที่จะลองชนกับมันดูสักตั้ง

ในฐานะที่นางเป็นหมอ นางไม่สามารถเห็นคนตายอยู่ตรงหน้าโดยไม่ช่วยอะไรได้ อีกทั้งนางยังไม่อาจทำใจเย็นชามองได้อีกเช่นกัน ในเมื่อพวกเขามีโอกาสที่จะรอด แต่กลับต้องมาตายอยู่ตรงหน้านางเช่นนี้

ความเฉยเมยของแพทย์ ก็ไม่ต่างอะไรกับการฆาตกรรมพวกเขาเช่นกัน

ไม่ว่าผู้อื่นจะคิดเช่นไร แต่นาง เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจทำใจนิ่งดูดายได้แน่

นางรักในชีวิตของตนเอง แต่ก็รักในการช่วยชีวิตของผู้อื่นเช่นกัน

เฟิ่งชิงเฉินพลันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามที่จะปัดเรื่องราวที่กำลังตีรวนอยู่ในหัวออกไปให้หมด

นางเป็นหมอ นางจะต้องพยายามที่จะช่วยชีวิตคนไข้ให้ได้ คนอื่นอาจจะคิดยอมแพ้ที่จะปล่อนคนไข้ไป แต่ในฐานะหมอคนหนึ่ง พวกเขาไม่อาจปลดปล่อยคนไข้ไปได้ โดยมิได้พยายามช่วยจนถึงที่สุด

ลมหายใจที่แผ่วเบา พร้อมกับชีพจรที่หยุดเต้นลง เครื่องมือซีพีอาร์ที่ไม่อาจนำมาช่วยได้ เช่นนั้น นางก็จะใช้วิธีดั้งเดิม

ถึงแม้ว่า วิธีนี้จะไม่ค่อยดีมากนัก ชีวิตของตนเองก็ยากที่จะรักษาเอาไว้แล้ว แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน

เฟิ่งชิงเฉินพลันยื่นมืออกไปวางไว้บนหัวใจข้างซ้ายของ "ศพ" พร้อมทั้งกดลงไปเล็กน้อย เมื่อจับตำแหน่งได้แล้ว นางก็ใช้แรงกดไปที่มืออย่างเต็มแรง

ท่าทางเช่นนั้น หาได้เหมือนเป็นการช่วยชีวิตคนไม่

อย่างน้อย ในสายตาของซูเหวินชิงก็เป็นเช่นนั้น

"พลัก" เสียงที่ดังออกมา "ศพ" ที่อยู่ตรงหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันกระเด้งตัวขึ้นมาในทันที พร้อมทั้งค่อย ๆ ตกลงไปตามท่านอนเช่นเดิม

ซูเหวินชิง พลันเบิกตากว้างมองตรงมา

พลัก พลัก พลัก เสียงที่ตีรัวพลันดังขึ้นมาไม่หยุด "ศพ" ก็กระเด้งตัวตามขึ้นมาเสียหลายครั้ง ท่าทางเช่นนี้ มันใช่ท่าที่ช่วยชีวิตคนหรือ ท่าทางเช่นนั้นเหมือนกำลังทุบตีศพยิ่งนัก

เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ต่างพากันปาดเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลออกมาอย่างช้า ๆ

คุณหนูเฟิ่งผู้นั้น คงมิใช่ว่า ทำการตี "ศพ" เพื่อให้รับรู้ถึงความเจ็บปวด แล้ว "ศพ" มันจะฟื้นคืนขึ้นมาใช่หรือไม่?

เจ้าหน้าที่ต่างพากันหัวเราะให้กับท่าทางการช่วยชีวิตคนของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ ที่พวกเขาหลงเหลือเพียงแค่ความชื่นชมนางเล็กน้อยเท่านั้น

สตรีอย่างไรก็เป็นแค่สตรี พวกนางมีหน้าที่เพียงแค่อยู่แต่เย้าแค่เรือน เพื่อเย็บปักถักร้อยรออยู่บ้านเท่านั้น อย่าได้ตั้งความหวังกับพวกนางให้มากไปนัก

พูดได้อย่างไรว่าไม่ตายกัน มันเป็นเพียงแค่ เรื่องที่น่าอัศจรรย์เท่านั้นแหละ

ในยามนี้ เรื่องราวก็ค่อย ๆ ถูกเปิดเผยแล้ว

เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ต่างก็พากันแอบหัวเราะเยาะให้กับท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินเสียอยู่หลายครั้ง ภายในใจพวกเขายังแอบคิดว่า จะนำเรื่องของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ กลับไปบอกเล่านินทาให้กับฮูหยินของตนเองที่อยู่ที่บ้าน เพื่อให้พวกนางอยู่ห่าง ๆ เฟิ่งชิงเฉิน

ซูเหวินชิงมีความคิดที่อยากจะก้าวเข้าไปข้างหน้าอยู่บ่อยครั้ง เพื่อที่จะลากเฟิ่งชิงเฉินออกมา หากแต่เขาก็ไม่กล้าลงมือเช่นกัน เนื่องจากว่า เขาสัมผัสได้ถึงท่าทางของเฟิ่งชิงเฉิน ที่เต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและดูน่าศรัทธายิ่งนัก!

ในทุก ๆ ครั้งที่เฟิ่งชิงเฉินกดมือลงไป ล้วนแต่เป็นการใช้แรงกายทั้งหมด ซูเหวินชิงที่ยืนดูอยู่ด้านหลังนั้น จึงได้แต่เห็นเพียงท่าทางที่กระฉับกระเฉงของนาง

ทว่า หากซูเหวินชิงมายืนที่ด้านหน้าของเฟิ่งชิงเฉินนั้น เขาก็จะพบกับอาการเหนื่อยหอบของเฟิ่งชิงเฉินได้เป็นอย่างดี

พร้อมกับประกายแสงไฟในแววตาของนางที่ค่อย ๆ สว่างขึ้น เนื่องจากว่า เฟิ่งชิงเฉินรับรู้ได้ถึง สัญญาณชีพจรจาก"ศพ" ที่กำลังค่อย ๆ ฟื้นคืนขึ้นมาแล้ว บางทีการพยายามของนางในครั้งนี้ อาจจะเป็นผลสำเร็จก็ได้

"พลัก"

การลงแรงไปในครั้งนี้ เฟิ่งชิงเฉินใช้แรงทั้งหมดในร่างกายไปกับการช่วยปั๊มหัวใจในครั้งสุดท้าย "ศพ" พลันกระแด้งตัวขึ้นมา พร้อมกับเสียงไอ

"แค่ก ๆ "

แม้จะเป็นเพียงเสียงเล็ก ๆ ที่ส่งออกมา หากแต่ผู้คนภายในห้องเก็บศพล้วนแต่ได้ยินโดยทั่วกัน พวกเขามั่นใจว่า ตนเองได้ยินไม่ผิดแน่ ซูเหวินชิงหาได้สนใจท่าทางอันสูงส่งไม่ พลันก้าวเข้าไปผลักเฟิ่งชิงเฉินให้ออกมาในทันที

"เหวินหาง เหวินหาง " ซูเหวินชิงพลันเข้าไปสวมกอดเด็กชาย ด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลนองหน้า

ม่านหมอกในแววตาของซูเหวินชิง พลันจางหายไปในทันที

ฟื้นแล้ว น้องชายของเขามีชีวิตแล้ว มีชีวิตจริงๆ !

ในบรรดาหมอทุกคน ล้วนแต่คิดไปว่าเหวินหางตายไปแล้ว แม้แต่หมอที่ดีที่สุด เขาก็ได้ไปเชิญมาตรวจดูอาการ เพื่ออยากจะหาสาเหตุการตายของน้องชายของตน

เขาไม่เชื่อ เหวินหางที่ร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด จู่ ๆ จะต้องมาตกตายไปเช่นนี้

มันต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแน่!

เขาไม่สนใจถึงแรงต่อต้านภายในตระกูล ยืนกร่านที่จะให้กรมพิสูจน์หลักฐาน ผ่าพิสูจน์สาเหตุการตายของน้องชายของตน แต่เขามิได้คิดเลยว่า การกระทำในครานี้ จะทำให้เหวินหางมีชีวิตรอดขึ้นมาจริง ๆ

"แค่ก ๆ " แพขนตาของเด็กชายตัวน้อยค่อย ๆ กระพริบถี่ขึ้น พร้อมทั้งพยายามที่จะลืมตาขึ้นมา ใบหน้าที่ค่อย ๆ ขึ้นสี จากอาการที่ซีดเผือดดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสับสนพลันค่อย ๆ มีสติขึ้นมา

"พี่ใหญ่"

"เหวินหาง เจ้ายังไม่ตาย เจ้ายังไม่ตายจริง ๆ " ซูเหวินชิงกอดน้องชายของตนเองเอาไว้ ด้วยท่าทีที่ตื่นเต้น

"แค่ก ๆ พี่ใหญ่ ปล่อย ปล่อยมือ"

เมื่อถูกซูเหวินชิงผลักออกมานั้น เฟิ่งชิงเฉินพลันก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่นางจะสามารถทรงตัวให้มั่นคงได้ นางเหนื่อยเสียจนหอบหายใจไม่หยุด เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เห็นซูเหวินชิงสวมกอดด้วยความแน่นนั้น น้ำเสียงพลันเย็นชาลงไปสามสามส่วน

"กอดแน่นถึงเพียงนั้น เจ้าอยากให้เขาตายอีกรอบหรืออย่างไร? ยังไม่รีบพาเขาไปหาหมออีก พาเขาไปให้หมอตรวจดูเสียหน่อย ว่ามีอาการบาดเจ็บที่ใดอีกหรือไม่"

ซูเหวิงชิงพลันรีบผละเด็กชายออกห่างในทันที พร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า "คุณหนูเฟิ่ง เจ้าไม่ใช่หมอหรือ?"

"ข้าไม่ใช่ รีบพาเขาไปหาหมอเสีย หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก ข้าคงไม่อาจรับประกันได้"

เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าวออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ความสามารถในด้านการแพทย์ทางศาสตร์ตะวันตกของนาง ไม่อาจะเทียบเท่าทักษะแพทย์แผนจีนที่มีความละเอียดและลึกซึ้งมากนัก ใ

ห้นางใช้มีด รักษาอาการฉุกเฉินต่าง ๆ นางสามารถทำได้ หากแต่ให้นางมาสังเกตุการรักษาไปตามขั้นตอน นางไม่อาจทำได้

"ห้ะ"

สามารถชุบชีวิตคนตายขึ้นมาได้ ยังไม่อาจเรียกตนเองว่าเป็นหมอ ถ้าอย่างนั้น ต้องเป็นคนเช่นไรถึงสามารถเรียกว่าหมอได้กัน?

"รีบ ๆ ไปเสีย ร่างกายของเขาอ่อนแอมากนัก"

เฟิ่งชิงเฉินพลันถลึงตามองด้วยความเย็นชา ท่าทางเช่นนั้น ดูเสมือนเป็นคำขู่ยิ่งนัก ซูเหวินชิงพลันรีบร้อนพยักหน้าในทันที แล้วรีบอุ้มเด็กชายออกไปด้วยความเร็วไว เสมือนกับสายลมที่พัดผ่าน พร้อมกับหายออกไปจากห้องเก็บศพในทันที

เมื่อซูเหวินชิงจากไปแล้ว แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ที่ตามซูเหวินชิงเข้ามา ก็ออกไปพร้อม ๆ กับพวกเขาเช่นกัน ภายในห้องเก็บศพจึงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ที่พาเฟิ่งชิงเฉินเข้ามา พลันก้าวเข้ามาด้านหน้า เพื่อที่จะแสดงความยินดีและประจบสอพลอนางในทันที

"คุณหนูเฟิ่ง?"

เฟิ่งชิงเฉินพลันส่งเสียงตอบออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย สายตาพลันไปตกอยู่ที่ร่างที่ไร้ลมหายใจของสาวใช้ข้างกาย จากนั้น นางจึงคลำไปที่กระเป๋าของตนเอง พร้อมกับหยิบเหรียญตำลึงเงินขึ้นมาเก้าเหรียญ ยื่นส่งไปให้เจ้าหน้าที่ทั้งสองคน

"ข้ามีเพียงเท่านี้ พวกเจ้านำมันไปซื้อโลงศพฟังนางเถิด หากเงินไม่พอ ถือว่าข้าติดหนี้พวกเจ้าไปเสียครั้งหนึ่งแล้วกัน"

เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่นึกละอายใจเลยแม้แต่น้อย

ไม่มีเงินหาใช่เรื่องน่าอายไม่ แต่มันจะน่าอายยิ่งกว่า หากไม่คิดที่จะพยายามหาเงิน

ถึงแม้ว่าจะกล่าวออกมาเช่นนั้น แต่นางมีทักษะอยู่ในมือเช่นนี้ เกรงว่าการหาเงินคงมิใช่เรื่องยากแต่เท่าใด

ทักษะของนาง อาจจะไม่เหมาะกับการไปแย่งอาชีพหากินของบรรดาหมอคนอื่น ๆ ได้ แต่หากเป็นเรื่องรอยคมมีดดาบ รอยถูกยิงธนูเช่นนี้ นางมีความสามารถของกระเป๋าทางแพทย์อยู่ในมือ คงมิใช่เรื่องที่ยากเย็นเกินไปที่จะหาเงินนัก

การหาเงินเป็นเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น

"พอ พอขอรับ คุณหนูเฟิ่งวางใจได้ขอรับ พวกกระหม่อมจะไปจัดการซื้อโลงศพและทำการฝังนางให้เอง" เจ้าหน้าที่ทั้งสองหาใช่คนโง่เง่าไม่ เมื่อพวกเขาเห็นฝีมือของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้แล้วนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่า ไม่อาจรังแกเฟิ่งชิงเฉินได้ง่ายนัก แม้ว่าด้วยทักษะของนางเช่นนี้ แต่นางก็กังวลถึงเรื่องเงิน ผู้ใดที่ไม่เคยมีโรคภัยไข้เจ็บ ผู้นั้นก็ไม่สมควรไปรังแกคนที่เป็นหมอ

"ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอตัวก่อน หากไม่พอ ให้ไปเอาเงินที่จวนเฟิ่งได้เลย"

เฟิ่งชิงเฉินพลันลากร่างกายที่เหนื่อยล้าของตนเดินกลับจวนไป

เมื่อเดินออกมา พลันพบว่า ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ตกดินเสียแล้ว กว่านางจะรู้ตัวอีกที นางก็ใช้เวลาอยู่ภายในห้องเก็บศพมาถึงครึ่งค่อนวัน

แสงดวงอาทิตย์ที่ส่องมากระทบไปยังทั่วร่างของนาง พลัน ค่อย ๆ ปัดเป่าความชื้นที่อยู่ภายในห้องเก็บศพให้จางหายไป เฟิ่งชิงเฉินพลันหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับการชื่นชมแสงของดวงอาทิตย์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น ก็ลากร่างกายของตนเองที่ทั้งเหนื่อยทั้งกระหายน้ำกลับจวนไปในทันที

ยามที่นางเดินทางมา ล้วนแต่มีผู้คนให้ความสนใจโดยตลอด หากแต่หนทางกำลังจะเดินทางกลับ กับไม่มีผู้ใดให้ความสนใจนางเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ในยามที่เฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปรวมกับฝูงชน ก็หาได้มีผู้ใดสังเกตุเห็นนางไม่

เมื่อเดินผ่านถนนมาได้ถึงสามสาย ก็มาถึงทางแยกของถนนเส้นพระราชวังในทันที เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

เพียงแค่เดินผ่านถนนเส้นนี้ไป นางก็จะถึงจวนเฟิ่งเสียที

สองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังพูดคุยหัวเราะกันและกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเสียมากมาย เฟิ่งชิงเฉินกลับชะลอฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว

เมื่อได้ช่วยชีวิตคนไว้ได้หนึ่งคนนั้น อารมณ์ของนางพลันรู้สึกดีขึ้นมา พร้อมกับความคาดหวังในชีวิตของนางในอนาคตข้างหน้า

ยามที่เดินไป ก็วาดฝันอนาคตของตนเองไปเรื่อย ว่าต่อไปในภายภาคหน้า นางควรจะจัดการเช่นไรต่อดี

อาหารภายในจวนเฟิ่งมีไม่มากนัก อีกทั้งเงินก็ไม่มีแล้วด้วย เป็นไปได้หรือไม่ ที่นางจะขายทรัพย์สินเสื้อผ้าอาภรณ์มากมายภายในจวนเฟิ่งเพื่อมาแลกเป็นเงิน?

ไม่ได้ ไม่ได้ นางจำได้ว่าภายในจวนเฟิ่งมีเครื่องดนตรีฉินอยู่ เช่นนั้น นางควรจะขายมันไปดีหรือไม่

ในขณะที่เฟิ้งชิงเฉินกำลังขบคิดถึงเรื่องนี้อยู่นั้น จู่ ๆ ก็พลันมีรถม้าวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วไว พร้อมกับทหารยามที่คอยอารักขารถม้า วิ่งเข้ามาทั้งสองทาง

"หลบ หลบไป ยังไม่รีบหลีกทางไปอีก นี่เป็นรถม้าขององค์หญิงอันผิง รีบหลบไปเสีย!"

หากชนตายไม่รับผิดชอบ!

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

1453