บทที่ 3 รอฟังข่าวดี

by ชิงเฉิง 08:01,Jul 13,2023
นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีถูกบีบให้ต้องล่าถอย ตอนนี้เขาพิงกำแพงอยู่ เขาไม่ตอบสนอง เขาตกใจในคำพูดของเซียวเฉวียนจนพูดอะไรไม่ออก

เสียงดังของเซียวเฉวียนเข้มแข็งและทรงพลัง ด้วยบรรยากาศอันเคร่งขรึม นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีและลูกน้องของตระกูลฉีต่างตกตะลึง

ฉินปาฟางที่เซียวเฉวียนพูดถึง มีใครบ้างจะไม่รู้จัก? ฉินปาฟางมีเกียรติยศไม่เป็นสองรองใคร ลูกชายของเขาฉินเซิงมีความสามารถยิ่งน่าตกใจ ได้รับขนาดนั้นว่าจอมขุนพลตั้งแต่อายุน้อย ตระกูลฉีเป็นเพียงเจ้าของที่ดินตัวเล็ก ๆ เทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บของจวนฉินด้วยซ้ำ!

นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีตื่นตระหนกจนหัวใจเต้นแรง!

แต่นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉียังคงกัดฟัน เขารู้จักกับลูกชายคนโตของตระกูลฉิน ฉินเฟิง มานานหลายปี ถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดี เขาต้องกลัวลูกเขยจอมอวดดีที่เพิ่งแต่เข้าไปผู้นี้อย่างนั้นหรือ?

นึกถึงตรงนี้ นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีก็กล่าวออกมาด้วยความกล้าของเขา “ข้า......ข้าไม่เคยเห็นใครที่แต่งเข้าไปเป็นเขยบ้านคนอื่นแล้วภูมิในใจตัวเองเยี่ยงเจ้ามาก่อน! ใครก็รู้ เมื่อคืนเจ้าไม่ได้แม้แต่เข้าไปในห้องของคุณหนูใหญ่! นอนในห้องคนรับใช้ นอนในหัวครัว! เรื่องพวกนี้ลือกันไปทั่วเมืองหลวง! เจ้ายังเรียกตัวเองว่าลูกเขยอยู่งั้นหรือ! แม้แต่หมาเจ้ายังเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”

เวลานี้สีหน้าของแม่เซียวก็เปลี่ยนไป

เซียวเฉวียนหัวเราะอย่างเยือกเย็น หัวเราะจนทำให้หัวใจของนายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีสั่นไหว

เซียวเฉวียนประสานมือของเขา ท่าทางแห่งความรุนแรงของเขาไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย แสงในดวงตาของเขาราวกับทิ่มแทงเข้าไปในดวงตาของนายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉี “นินทาหรือพูดถึงเรื่องของขุนนางในพระราชวัง อาจจะถูกตัดลิ้นและส่งเข้าไปในคุก! ในกรณีที่ร้ายแรง พวกเจ้าอาจถูกส่งตัวไปเป็นทาสตามชายแดน! และดึงลิ้นของคนในตระกูลฉีทุกคน! ต่อให้เจ้าจะมีสักกี่ชีวิตก็คงอยู่ไม่ถึงวันที่เจ้าไปถึงชายแดน!”

นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีตัวสั่น คำพูดนี้ทำให้เหล่าชาวบ้านที่กำลังดูความสนุกอยู่ด้านนอกต่างพากันเงียบปาก

ฉี่ของนายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีกำลังจะไหลออกมา เขามองมาที่เซียวเฉวียน “เจ้า......เจ้ารอข้าก่อน......หลังจากเจ้าสอบระดับชนบทเรียบร้อย ข้าจำมารับเงิน เจ้าหนุ่ม เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”

ลูกน้องของเขาตัวสั่นเล็กน้อย กล่าวออกมาด้วยความลำบากใจ “นายน้อยเลิกพูดได้แล้ว พวกเราไปกันเถอะ!”

ตระกูลฉีไม่สามารถรุกรานได้นั้นเป็นเรื่องจริง หากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปถึงหูของตระกูลฉิน เกรงว่าตระกูลฉีอาจต้องคุกเข่าลงพื้นเพื่อชดใช้

นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีกุมใบหน้าที่ถูกตอบและตะโกนด้วยความโกรธ “เมื่อถึงเวลา! หากเจ้าไม่มอบเงินจำนวนสามร้อยตำลึงให้ข้า ข้าจะทำให้ทุกคนในเมืองหลวงได้รู้ว่าเจ้าทำให้ตระกูลฉินต้องอับอายมากแค่ไหน!”

เซียวเฉวียนตะโกนออกไป “ไสหัวไปซะ! ไม่เช่นนั้นข้าจะโบกเจ้าอีกสักครั้ง!”

นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว รีบวิ่งออกมาจากบ้าน การประสบอุปสรรคครั้งแรกของเขา ทำให้นายน้อยโกรธเป็นอย่างมาก ทำลายข้าวของในสวนจนวอดวาย ระบายความโกรธก่อนจะเดินจากไป

“ลูก เจ้าได้รับความอัปยศเช่นนี้ในตระกูลฉินอย่างนั้นหรือ?” แม่เซียวถามเสียงสั่นออกมา

เซียวเฉวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความหวาดกลัวยังหลงเหลืออยู่ คิดไม่ถึงว่าอันธพาลพวกนี้จะจากไปโดยไม่สำนึกผิด

เขาหันกลับมาพูดปลอบประโลม “ไม่ต้องไปฟังเขา เขาก็เอาแต่พูดไร้สาระ ที่พูดมานั้นเชื่อไม่ได้”

“ลูก เรื่องสามร้อยตำลึงจะมีหรือไม่นั้นไม่ต้องพูดถึง แต่......ตระกูลฉีนั้นรังแกผู้อื่นมากเกินไป นี่คือการขู่กรรโชกอย่างชัดเจน” แม่เซียวที่ตกใจกลัว ส่ายหน้าและนั่งลงบนเก้าอี้ นางกล่าวออกมาทั้งน้ำตา หากไม่ใช่เพราะสามีของนางเสียชีวิตในสนามรบเร็วเกินไป นางซึ่งกลายเป็นม่ายและลูกของนางจะถูกคนอื่นรังแกถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?

“วางใจ เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ข้าต้องมอบเงินให้กับเขาสามร้อนตำลึง เขาก็ไม่กล้ารับมันไว้”

“อ่า ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว แม่แค่อยากรู้ว่างานแต่งงานที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นอย่างที่เขาพูดหรือไม่ เจ้า......” แม่เซียวกุมมือเขาด้วยความกังวล เวลานี้ชาวบ้านซึ่งอยู่ด้านนอกต่างพากันซุบซิบนินทา พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวอันแสนตลกของเซียวเฉวียน

การเป็นลูกเขยแต่งเข้าก็น่าอายมากพอแล้ว แต่กลับไม่ได้เข้าไปในห้องนอนในคืนแต่งงาน นี่เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือไม่?

นี่คือความอัปยศอย่างแท้จริง!

“แม่ ตระกูลฉินปฏิบัติต่อข้าดีมาก แม่ทัพฉินยินดีที่จะให้ข้าแต่งงานกับคุณหนูฉินคนใหญ่ เขาจะปฏิบัติต่อข้าเช่นนั้นได้อย่างไร? ตระกูลฉินเป็นตระกูลที่น่านับถือ ทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับทุกตระกูล เขาไม่มีทางทำเรื่องให้ลูกต้องอับอาย นี่ไง เงินจำนวนห้าสิบตำลึงนี้คือเงินที่ท่านยายฉินฝากข้ามามอบให้แม่ และท่านยังกล่าวว่าครอบครัวของพวกเราจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในอนาคต”

เซียวเฉวียนพูดออกมาเสียงดัง เมื่อเหล่าประชาชนได้ยินเกี่ยวกับเงินห้าสิบตำลึง ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างจนแทบจะทะลักออกมา สำหรับครอบครัวทั่วไปที่มีกันอยู่หกคน เงินจำนวนสองตำลึงก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้นานกว่าหนึ่งปี!

ชาวบ้านก็ได้เห็นถุงเงินในมือของแม่เซียว เมื่อเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าสนุก พวกเขาก็จากไปด้วยความไม่พอใจ

ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า เซียวเฉวียนอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งวันโดยไม่รู้ตัว ถึงคราวที่เขาต้องกลับจวนฉินแล้ว

แม่เซียวหยิบถุงใส่ของออกมาจากตะกร้า “ลูก เอานี่ไปด้วย”

“นี่มัน......”

เซียวจิงยิ้มและกล่าวออกมา “นี่คือหมูแดดเดียวที่แม่เหลือไว้ให้ท่านพี่”

ในหนึ่งปีตระกูลเซียวแทบจะไม่ได้ลิ้มลองของคาว เนื้อถือเป็นอาหารชั้นยอด

มองเซียวจิงที่ผอมบางและแม่ที่กำลังป่วยอยู่ของเขา ดวงตาของเซียวเฉวียนกลายเป็นสีแดง “ไม่เป็นไร แม่กับน้องเก็บไว้กินเถิด”

“ไม่ได้! ท่านพี่ต้องเอามันไป! หากตระกูลฉินไม่ให้ท่านพี่กินข้าว พี่ก็กินมัน!”

เมื่อแม่เซียวได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวออกมาทั้งน้ำตา “จิงเอ๋อร์ อย่าพูดจาเหลวไหล!”

ชีวิตของลูกเขยแต่งเข้านั้นยากลำบากแค่ไหน แม้แต่เซียวจิงที่อายุเพียงสิบขวบยังเข้าใจ แล้วแม่เซียวจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?

สายตาวิงวอนของแม่เซียวทำให้เซียวเฉวียนเปลี่ยนใจ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แม่ของเซียวติ้งก็คือแม่ของเขา น้องสาวของเซียวติ้งก็คือน้องสาวของเขา!

เขารับเนื้อมาแล้วกล่าวว่า “แม่ไม่ต้องกังวล แม่ดูแลอาการป่วยของตัวเองให้ดี! หนึ่งเดือนหลังจากนี้ข้าจะมารับท่านไปอยู่ในเมืองหลวง!”

“ลูก เจ้าพูดอะไรของเจ้า?” แม่เซียวไม่เข้าใจ จวนฉินจะยอมเลี้ยงดูและรับเลี้ยงสองแม่ลูกอย่างพวกนางได้อย่างไร?

“แม่ไม่จำเป็นต้องคิดมาก รอฟังข่าวดีก็พอ ลูกขอตัวก่อน”

พูดจบเขาก็คำนับให้แม่ของเขาหนึ่งครั้ง และรีบเดินทางกลับไปยังที่พักของจวนฉินพร้อมกับปากกาหมึก กระดาษ และหินหมึก

จวนฉิน ห้องครัวของคนรับใช้เผยให้เห็นแสงเทียนสลัว ๆ

เรือนร่างอันงดงามและผอมบางยืนถือตะเกียงเทียนห่างจากห้องครัวในระยะไกล แสงตะเกียงสว่างวาบสะท้อนแผ่นหิน

“คุณหนู คืนนี้ลมแรง เหตุใดพวกเราจึงต้องมายังคฤหาสน์ซึ่งห่างไกลเช่นนี้?”

ฉินซูโหรวยังคงเงียบ นัยน์ตาที่เปียกชุ่มของนางมองไปยังห้องครัวอันทรุดโทรมพร้อมกับคิ้วขมวด

เมื่อคืนวาน เซียวติ้งเพิ่งจะแต่งเข้ามาได้ไม่นานก็ถูกพี่ใหญ่ทำร้าย จากนั้นก็ลากออกไป

เดิมที่คิดว่าเซียวติ้งที่เป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอจะถอนหายใจอย่างสิ้นหวังและบ่นเกี่ยวกับภาระอันหนังอึ้งของเขา

คิดไม่ถึงว่าเมื่อนางมาถึงที่นี่ กลับเห็นแสงเทียนสว่างไสวในห้องครัว เงาของหนอนหนังสือผู้หนึ่งกำลังสะท้อนออกมาทางนอกหน้าต่าง

สาวใช้อาเชียงมองฉินซูโหรวที่กำลังวิตกกังวลอย่างมีความหมาย “หรือว่าเป็นเพราะบทกวีอันไพเราะของเขาก่อนหน้านี้ คุณหนูจึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อให้เขาสอน? คิดไม่ถึงเลยว่าแม้เซียวเฉวียนจะดูซอมซ่อ แต่ก็พอจะมีความสามารถทางการประพันธ์อยู่บ้าง......”

ปรากฏว่าคนที่แอบฟังบทกวีของเซียวเฉวียนอยู่ด้านนอกก็คือ ฉินซูโหรว

ถูกสาวใช้อ่านใจจนทะลุปรุโปร่ง ฉินซูโหรวไม่สามารถฝืนทนต่อไปได้ “ข้าก็แค่มาเยาะเย้ยเขาเท่านั้น! ผู้ซึ่งเป็นสตรีที่มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของเมืองหลวงต้องการคำสอนจากเขา? เขาเทียบไม่ได้แม้แต่ข้อนิ้วของพี่ชายข้าเลยด้วยซ้ำ!”

หลายวันที่ผ่านมา ฉินซูโหรวกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวง แม้นางจะไม่เคยรู้จักหรือพบเจอกับเซียวติ้ง แต่ก็ได้ข่าวมาไม่น้อย เซียวติ้งเป็นคนมีพื้นฐานปานกลาง และล้มเหลวในการจัดอันดับเป็นเวลาสามปีติดต่อกัน

นางฉินซูโหรวรู้สึกผิดจริง ๆ ที่แต่งงานกับคนที่ไร้ความสามารถเช่นนี้ เพียงแต่การแต่งงานครั้งนี้นางไม่สามารถปฏิเสธมันได้

นางไม่ชอบเซียวติ้ง แต่นางก็คิดไม่ถึงว่าเซียวติ้งจะต้องมาอาศัยอยู่ในครัวซึ่งแม้แต่คนรับใช้ของจวนฉินก็ยังไม่อยู่เช่นนี้

นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเขาจากหัวใจ แต่ก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกสงสารเท่านั้น

สามีในความฝันของฉินซูโหรวจะต้องเป็นชายที่มากไปด้วยความสามารถ อ่อนโยน เป็นคนรวยและมีชาติตระกูล แต่สำหรับเซียวติ้งที่มีเพียงหน้าตาเท่านั้นที่พอใช้ได้ เขาก็ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากความจนและความลำบาก

แน่นอนว่านางไม่มีวันหันมามองเซียวติ้ง

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงไม่เคยได้ยินบทกวีที่เขาท่องมาก่อนเลย?

“ฤดูใบไม้ร่วงในเดือนแปด เสียงคำรามของสายลม พัดโถมเข้ามายังหลังคามุงจาก หญ้าคาโบยบินข้ามลำห้วย กระจายอยู่ริมลำธาร หญ้าคาที่บินสูงจะติดอยู่บนยอดไม้ หญ้าคาที่บินต่ำจะตกลงและจมดิ่งสู่พื้นน้ำ

เด็กกลุ่มหนานชุนรุมรังแกข้าอยู่เสมอ ถึงกระนั้นก็ยังอดทนและมุ่งไปเพื่อขโมย วิ่งเข้าไปในป่าไผ่อย่างกล้าหาญพร้อมกับมุงจากในอ้อมแขน ริมฝีปากไหม้และแห้งเหือดอย่างหมดแรง กลับถึงบ้านถอนหายใจอยู่คนเดียวกับไม้ค้ำ

ลมหยุดและเมฆบนท้องฟ้าก็เป็นสีดำ ฤดูใบไม้ร่วงร้างราและมืดครึ้ม และค่อยๆ ผ้านวมเก่าแข็งเหมือนแผ่นเหล็ก ลูกนอนหลับไม่สนิทเพราะผ้านวมพัง

ฝนตกบ้านเปียกทุกพื้นที่ หยาดน้ำฝนโปรยลงมาไม่ขาดสาย พยายามดิ้นรนเพื่อหลับนอน แต่สุดท้ายก็เปียกโชกเกือบทั้งคืน!

ทำอย่างไรถึงมีบ้านอันกว้างใหญ่ คงต้องตรากตรำเพื่อบัณฑิต! จะได้มีบ้านกันลมกันฝน แข็งแรงดุจภูเขา

อนิจจา! เมื่อใดบ้านอันสูงตระหง่านจะปรากฏออกมาต่อหน้าข้า แม้กระท่อมของข้าจะแหลกสลาย และข้าต้องแข็งตายก็ยอม!”

เวลานี้มีเพียงบทกวีของตู้ฝู่เท่านั้นที่ทำให้เซียวเฉวียนนึกถึงความรู้สึกของตนเอง มันก็เข้ากับความทะเยอทะยานของเขาได้เป็นอย่างดี!

บทกวีนี้เขียนด้วยความเศร้าและสะเทือนใจ เปี่ยมล้นด้วยแรงปรารถนาและความหวัง กวีบทนี้ยิ่งทำให้ฉินซูโหรวใจสั่น ยากมากที่จะได้ยินบทกวีอันไพเราะในบ้านของตนเฉกเช่นวันนี้ เซียวเฉวียนเป็นคนแต่งมันขึ้นมางั้นหรือ?

ไม่ นางไม่เชื่อ! นางขมวดคิ้ว แววตาของนางดูประหลาดใจแต่ก็มีความเย็นชา “พวกเราไปกันเถอะ”

Unduh App untuk lanjut membaca

Daftar Isi

2108